บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 347 เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต
ตอนที่ 347: เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต
ตอนที่ 347: เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด จนรู้สึกอึดอัดมาก
พลังดาบนั้นของซูอี้ ทำให้เยว่ซือฉาน เก๋อฉางหลิง และคนอื่น ๆ ที่มองเหตุการณ์ล้วนสั่นกลัวและตกใจ
ผู้ชมที่อยู่ไกล ๆ ต่างนิ่งอึ้งเช่นเดียวกัน
คล้ายกับดาบนั้นสามารถสังหารเทพบนสวรรค์ได้!
ยามนี้ สายตาโจวฉางอี้เจือไปด้วยความหวาดผวา
เขาไม่นึกเลยว่า เพลงดาบที่ซูอี้สะบัดออกมานั้น จะแข็งแกร่งเช่นนี้ แม้แต่ค่ายกลหกชนกลายมารที่พวกเขาตั้งก็ถูกดาบนั่นพังทลายราวกับกระดาษเปียก
และการตายของโจวถูหง โจวอวิ๋นไห่ โจวเป่ยหลิน โจวชิงเซวียน ทั้งสี่คน ทำให้โจวฉางอี้สะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
เขามั่นใจว่า หากดาบนี้มุ่งเป้ามาที่ตนโดยเฉพาะ เกรงว่าเขาคงจะมิอาจหลบหนีหายนะนี้ได้!
“ซูอี้ ครั้งนี้เป็นกลุ่มมังกรเร้นของเราทำเรื่องผิดเอง เจ้าสามารถจบเรื่องนี้ และให้โอกาสข้าได้ชดเชยสิ่งที่ทำพลาดไปได้หรือไม่?”
โจวฉางอี้สูดหายใจเข้าลึก “ข้ามิได้กลัวตาย แต่หากไม่มีกลุ่มมังกรเร้นแล้ว ทั่วต้าโจวต้องเกิดความโกลาหลเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น โลกนี้ต้องตกอยู่ในความวุ่นวายมิสิ้นสุด เกิดการทำลายล้างซึ่งกันและกัน โลกจะไม่เกิดสันติสุข ผลที่ตามมาเช่นนี้ เจ้าจะนิ่งดูดายได้จริง ๆ รึ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดกลุ่มมังกรเร้นที่สงบเย็นชามาโดยตลอด กลับไม่มีความมั่นใจเป็นครั้งแรก
ซูอี้หัวเราะเยาะออกมา พลางเอ่ยอย่างเฉยเมย “ก่อนหน้านี้ พวกเจ้ายังมองข้าว่าเป็นหายนะของต้าโจว หากไม่สังหารจะต้องเป็นภัยไปทั่วหล้า เหตุใดยามนี้ถึงได้เปลี่ยนแล้วกัน?”
โจวฉางอี้เอ่ยด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ “ครานี้กับครานั้นไม่เหมือนกัน พวกข้าผิดเองที่ตาต่ำ ไม่ดูสถานการณ์ให้ดี เพียงแค่เจ้ายอมหยุด ข้ารับรองว่าจะชดใช้ความผิดในวันนี้นับร้อยเท่า!”
“สายไปแล้ว”
ซูอี้มีท่าทางเย็นชา
สีหน้าโจวฉางอี้เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที
จู่ ๆ ซูอี้กวาดสายตามองจี้เหอ อวิ๋นจงฉี ฉือเฟิงหลิว และคนอื่น ๆ ก่อนเอ่ย
“หากพวกเจ้ากล้าหนี วันหน้าข้าจะไปเยือนถิ่นของพวกเจ้าแต่ละคนแน่ และเมื่อถึงครานั้น คนที่ตายจะไม่ใช่พวกเจ้าเพียงผู้เดียว”
พลันจี้เหอและคนอื่น ๆ มีสีหน้าเปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้ พวกเขาตกใจหวาดกลัวเพลงดาบนั้นของซูอี้ และเสียใจที่มาพัวพันเกี่ยวข้องแล้ว
แต่ยามนี้ เมื่อถูกซูอี้เตือนเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหมดหวัง
“ทุกท่าน มาถึงขั้นนี้แล้ว มีเพียงแค่สู้จนตัวตายเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแม้พวกเราจะหนีได้ แต่กองกำลังและญาติสนิทมิตรสหายของพวกเราคงมิอาจหนีได้!”
โจวฉางอี้สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
ลมปราณบนตัวเขา พลันโหมซัดขึ้นมา พรั่งพรูสูงขึ้นจนมิอาจอธิบายได้ คล้ายกับทั้งตัวผสานเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน และทุกการเคลื่อนไหวล้วนแฝงไว้ด้วยพลังแห่งฟ้าดิน
“สู้!”
นัยน์ตาอวิ๋นจงฉีฉายประกายโทสะ มือหนึ่งควบคุมตราประทับ อีกมือหนึ่งขยับไหว พลังทั้งหมดปลดปล่อยออกมา ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวงเดือนผู้นี้ มีระดับการบำเพ็ญที่ไม่เลวเลย
“อมิตาพุทธ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องสละร่างข้า เพื่อทางแห่งสวรรค์”
จี้เหอมีท่าทางน่าเกรงขาม ไม่สุขไม่ทุกข์ มีแสงทรงกลดเจิดจ้าไปทั่วร่าง
ฉือเฟิงหลิวและเซียนฮัวซงตั้งใจเหลือบมองหน้ากัน และต่างเผยท่าทางแน่วแน่ออกมา
ดั่งเช่นโจวฉางอี้กล่าว หากซูอี้มีใจคิดแก้แค้น คงมิอาจหนีพ้นได้
ตูม!
ชั่วพริบตาหนึ่ง บุคคลโดดเด่นเหล่านี้ต่างร่วมมือกัน อำนาจอันน่าเกรงขามปลดปล่อยออกมา ทำให้น่านฟ้าเปลี่ยนไป
“นี่ค่อยเหมือนกับผู้ฝึกตนหน่อย เพียงแค่พวกเจ้าไม่หนี ในตอนที่คร่าชีวิตพวกเจ้า ข้าจะให้พวกเจ้าตายอย่างมีเกียรติ”
ซูอี้พยักหน้า
ร่างสูงใหญ่เขายังคงไม่มีอาวุธเช่นเคย ทว่ามีปราณสีโปร่งใสแผ่ออกมา คล้ายกับเป็นเรื่องเพ้อฝันและไม่มีจริง
“โจมตี!”
โจวฉางอี้กระตุ้นดาบสายฟ้าอินทนิล
ตูม!
ในอากาศเผยปราณดาบสายฟ้าสีม่วงที่หนาราวกับถังน้ำ ผ่าลงมาจากน่านฟ้า อานุภาพน่าทึ่งอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกัน โจวฉางอี้ก็คายไข่มุกเทพออกมาจากปาก มันสว่างจ้าดั่งสุริยันสีแดง เปลวไฟดั่งกระแสน้ำ มีพลังเผาทลายสวรรค์
ไข่มุกเทพอัคคี!
คือสมบัติวิญญาณที่มีอานุภาพทำลายล้างชิ้นหนึ่ง
“สังหาร!”
ในขณะนั้นเอง อวิ๋นจงฉีทะยานขึ้นสู่เบื้องบน พลางประสานมือออกท่า แล้วโจมตี
จี้เหอกระตุ้นบาตรพระที่เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า แผ่ปกคลุมไปทางซูอี้
ฉือเฟิงหลิวขี่ดาบพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว ปราณดาบนั้นแข็งแกร่งมาก
และยามนี้เซียนฮัวซงอัญเชิญสมบัติล้ำค่าของตัวเองออกมา มันคือแท่งหยกสีทอง ที่ถูกกวัดแกว่งออกไปในอากาศ มีแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์มหาศาล พุ่งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตู้ม
ผืนดินสนั่นสั่นไหว การต่อสู้ได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง
แต่ซูอี้ในตอนนี้คร้านที่จะยืดเยื้อต่อไปอีก
ทันใดนั้น ร่างเขาก็ทะลวงวงล้อม พุ่งทะยานมาอยู่ด้านหน้าอวิ๋นจงฉี
หมัดแรก ซูอี้ทำลายตราผนึกในมืออวิ๋นจงฉี เปลี่ยนภายนอกตราผนึกปรากฏรอยร้าวราวกับใยแมงมุม
หมัดที่สอง ชกไปที่ใบหน้าหวาดผวาของอวิ๋นจงฉีโดยตรง แม้แต่อาวุธป้องกันมากมายบนตัวเขา ก็แตกเป็นผุยผง
เพียงสองหมัดเท่านั้น ร่างกายของผู้อาวุโสสูงสุดสำนักวงเดือนจากต้าเว่ยผู้นี้พลันฉีกขาด และแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“คนต่อไป”
ไม่รอให้ทุกคนได้ฟื้นคืนสติ ร่างซูอี้ที่หายวับราวกับสายฟ้า ก็พุ่งไปสังหารจี้เหอ
“ดียิ่งนัก!”
ทว่าจี้เหอกลับเผยสีหน้าอาฆาตแค้นออกมาทันที พลางพนมมือ และส่งเสียงสวดคลุมเครือออกมา
ตูม!
ทันใดนั้นร่างของเขาเปล่งแสงขนาดใหญ่ ราวกับไฟเผาไหม้ขึ้นมา เปลวไฟรุนแรงกลายเป็นนกหลวนขยับปีกอาบอัคคี พลางพุ่งไปสังหารซูอี้
คาถาปักษาอัคคี!
เป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามสังเวยตัวเอง โดยใช้วิธีเผาการบำเพ็ญของตัวเอง
เมื่อแสดงวิชานี้ คล้ายกับจุดไฟธาตุวิถีและสามหัวใจหลักของร่างกาย รวมพลังทั้งหมดโจมตีในคราวเดียว ซึ่งคือความน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง
เคล็ดวิชาต้องห้ามนี้ ไม่ได้สนใจตั้งแต่แรกแล้วว่าตนจะเป็นหรือตาย ขอเพียงให้ศัตรูพังพินาศไปพร้อมกันเท่านั้น!
แววตาซูอี้เคร่งขรึมเล็กน้อย พลางสูดหายใจเข้าลึก และประสานมือทำท่าออกมา
ครืน!
ลมปราณแรกกำเนิดสีใสปรากฏออกมา แปรเป็นรอยฝ่ามือแปลกประหลาด คล้ายกับกลีบดอกไม้ที่วางซ้อนทับกัน ก่อรวมกันอยู่ด้านหน้าซูอี้!
หัตถ์อสงไขย!
นี่คือเคล็ดวิชาลับของสำนักพุทธเช่นกัน สืบทอดมาจาก ‘แดนบูรพาน้อย’ หากใช้ออกโดยหลวงจีนขอบเขตจักรพรรดิ จะสามารถหลอมรวมแปดพันสี่ร้อยวิถีป้องกันเป็นมนต์ผนึกได้ในเสี้ยววินาที
ยามนี้ หัตถ์อสงไขยที่แสดงออกมาโดยซูอี้ แม้จะมีมนต์ผนึกถึงยี่สิบชั้น แต่ความลี้ลับที่แฝงไว้กลับผิวเผินยิ่ง
หากแต่ในด้านพลังป้องกัน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับวิถีต้นกำเนิด เรียกได้ว่าแกร่งกล้ายากสั่นคลอน!
ปัง!
นกหลวนอาบอัคคีกระพือปีกเข้ามา มันปะทะเข้ากับหัตถ์อสงไขยอย่างรุนแรง เพียงพริบตาเดียว รอยฝ่ามือที่คล้ายกลีบดอกไม้วางซ้อนทับกันพลันแตกเป็นทอด ๆ และเกิดเสียงระเบิดขึ้น
ทั่วน่านฟ้าปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงลุกโชติช่วง อานุภาพน่าทึ่งยิ่ง
แต่เมื่อควันหนาทึบที่ปกคลุมไปทั่วค่อย ๆ หายไป ก็เห็นหัตถ์อสงไขยที่อยู่ด้านหน้าซูอี้ ยังเหลือมนต์ผนึกอีกสามชั้น ทำให้ซูอี้ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
ส่วน ‘คาถาปักษาอัคคี’ ที่จี้เหอต้องชดใช้ด้วยชีวิตจากการเผาไหม้การบำเพ็ญและสามหัวใจหลัก กลับถูกทำลายไปหมดสิ้น!
เมื่อจี้เหอเห็นเช่นนี้ ก็ถอนหายใจยาวอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะใช้พลังชีวิตทดแทน ก็มิอาจทำร้ายซูอี้แม้แต่ปลายขน เช่นนี้จะไม่รู้สึกท้อใจได้อย่างไร?
จากนั้น ร่างจี้เหอพลันแปรเป็นเถ้าถ่านโรยราท่ามกลางเปลวเทวะที่แสบตา
เจ้าอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลิน ก็เสียชีวิตลงตรงนี้
ทั่วทั้งบริเวณต่างสั่นเทา
เพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น เทพเซียนเดินดินอย่างอวิ๋นจงฉีและจี้เหอที่มาจากต้าเว่ยและต้าฉิน ต่างถูกสังหารตายคาที่!
คนหนึ่งถูกสองหมัดสังหาร
อีกคนเผาการบำเพ็ญตัวเองจนตาย!
ภาพนั้น ทำให้คนที่มองดูรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
“คนต่อไป”
ซูอี้มีสีหน้าเรียบนิ่ง เขาไม่แม้แต่จะหยุดเลยสักนิด ในขณะที่จี้เหอตาย ร่างเขาพลันหายวับปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ เซียนฮัวซงและจู่โจมทันที
เซียนฮัวซงสีหน้าเปลี่ยน พลันหลบเลี่ยงทันที พลางกระตุ้นแท่งหยกสีทอง ตวัดแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนออกไป ประหนึ่งดาบแหลมคมนับพันคำรามและพุ่งออกมา
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ
ตูม!
แสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ทั่วฟ้าพลันพังทลาย
ในขณะเดียวกัน เขาก็ตวัดดาบออกไป
พรึบ!
ปราณดาบที่สดใสตวัดขึ้นไป ยาวราว ๆ หนึ่งร้อยจั้ง ปรากฏอยู่เหนือเซียนฮัวซง พลางบั่นลงมา
ฉัวะ!
เซียนฮัวซงถูกสังหารคาสนาม ศพแยกเป็นสองส่วน
เดิมทีการฝึกตนเขาอยู่แค่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ยังไม่แข็งแกร่งเท่าโหยวเทียนหง เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ที่เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ก็ไม่ต่างอะไรกับปั้นไก่เครื่องเคลือบสุนัข*[1]
“ท่านอาจารย์…”
ในที่ไกล ฉางกั้วเค่อมองภาพนั้นด้วยดวงตาแดงก่ำ สองมือกำหมัดแน่น ในใจอึดอัดและขมขื่น
ในคราแรก เขากังวลว่าผู้มีพระคุณอย่างซูอี้จะถูกสังหาร
แต่ยามนี้ หลังจากที่เห็นซูอี้สังหารอาจารย์ของตัวเอง ในใจกลับไม่รู้ว่าควรเกลียดซูอี้อย่างไรดี เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างผิดหวัง และเสียใจอยู่ผู้เดียว
ชิงจินมีสีหน้าเรียบนิ่ง ในใจสับสันจนหาที่สุดมิได้
“สังหาร!”
เป็นตอนนี้เอง คล้ายกับโจวฉางอี้ถูกภาพการสังหารนี้กระตุ้นจนดวงตาเดือดดาล แผดเสียงคำรามเกรี้ยวกราดสั่นสะเทือนไปทั่ว สายฟ้าสีม่วงคำราม พลังฟ้าดินระเบิดออก ทั้งตัวกลายเป็นรุ้งสีม่วง พุ่งไปทางซูอี้
สถานการณ์รุนแรงดุจบ้าคลั่ง!
ซูอี้แสดงใช้ออกดาบแห่งดวงดาว กลุ่มดาวบนอากาศ พลันพุ่งลงมาอย่างรุนแรง
ผู้อาวุโสสูงสุดของกลุ่มมังกรเร้นที่ถูกปราณดาบซูอี้ฟันจนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้เมื่อครู่ ต้องรับการจู่โจมนี้อีกครั้ง จะต่อต้านไหวได้อย่างไร?
แควก!
ไข่มุกอัคคีที่โจวฉางอี้อัญเชิญออกมาแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และปราณดาบสายฟ้าสีม่วงที่เขาตวัดออกมาแตกกระจายก่อน
จากนั้น เกิดเสียงระเบิดขึ้น ในตอนที่ร่างโจวฉางอี้ถูกดวงดาวพุ่งโจมตี เสียงกรีดร้องยังคงดังก้องอยู่ ทว่าร่างเขาได้ถูกกระแทกจนฉีกขาดและกระดูกแหลกละเอียดไปแล้ว
ในตอนนี้เอง กลุ่มมังกรเร้นหกคนต่างถูกสังหารสิ้น! ไม่มีทางหวนกลับมาอีก!
ที่ทำให้แปลกใจคือ ในที่แห่งนี้เหลือเพียงแค่ฉือเฟิงหลิวที่สั่นไปทั่วร่าง ก่อนเจ้าตัวจะพลันแปลงเป็นเงาโลหิตพุ่งออกไปทันที
เขารู้ว่าหากยังอยู่จะต้องตายแน่ จึงหลบหนีไปโดยไม่หันกลับไปมอง!
“เป็นถึงผู้สิงสถิต กลับขี้ขลาดเช่นนี้เชียวรึ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว “เอาเถอะ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นความสามารถของข้าซูผู้นี้เอง”
ยามนี้ ดวงตาเขาฉายแววคมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ชิ้ง!
เห็นเพียงระหว่างคิ้วซูอี้มีรอยแยกแปลกประหลาด ปลดปล่อยแสงเจิดจ้าสีครามออกมา ก่อตัวเป็นรูปร่างท่ามกลางอากาศ และกลายเป็นดาบเล็กสีครามแข็งดั่งเหล็กกล้า
ดาบเล็กเล่มนี้ ยาวเพียงหนึ่งชุ่น และว่างเปล่าราวกับไม่มีรูปร่าง ด้านบนปกคลุมเต็มไปด้วยลวดลายที่คลุมเครือ
เพียงดาบเล็กปรากฏออกมาแม้ผู้คนที่มองอยู่รอบ ๆ ที่ห่างไปหลายร้อยจั้ง ล้วนรู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณตัวเองถูกฉีกขาด
“วิชานี้มีชื่อว่าเคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต คมดาบหลอมมาจากจิตสัมผัส ธาตุแท้ และสามหัวใจหลัก ใช้ตัดจิตวิญญาณโดยเฉพาะ หลังจากฝึกฝนสำเร็จ ไม่เคยแสดงออกมาก่อนเลย วันนี้เจ้าฉือเฟิงหลิวควรรู้สึกเป็นเกียรติที่ตายเป็นคนแรกด้วยเคล็ดวิชานี้”
น้ำเสียงซูอี้ยังคงดังก้อง พลันดาบเล็กผนึกจิตพุ่งหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ห่างไปหลายพันจั้ง
ฉือเฟิงหลิวที่กำลังหลบหนี พลันแข็งทื่อไปทั้งร่าง!
[1] ปั้นไก่เครื่องเคลือบสุนัข เป็นสำนวนจีน สื่อความว่าอ่อนแอแตกหักง่าย