บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 348 ดั่งเทพนิยาย
ตอนที่ 348: ดั่งเทพนิยาย
ตอนที่ 348: ดั่งเทพนิยาย
เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิตใช้ไม่ได้ง่าย ๆ เพราะทุกครั้งที่ใช้ ล้วนสูญเสียพลังจิตวิญญาณไปมาก และต้องรวบรวมขึ้นมาใหม่
เดิมทีซูอี้ไม่ใช้วิชานี้กับคู่ต่อสู้เหล่านี้
แต่ยามนี้ เพื่อสังหารฉือเฟิงหลิวที่หลบหนี ซูอี้จึงต้องใช้ไพ่ใบนี้
ห่างไปหลายพันจั้ง
เมื่อฉือเฟิงหลิวรับรู้ถึงอันตราย เขาขับเคลื่อนปราณทั่วร่าง และแสดงเคล็ดวิชาป้องกันออกมา
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดาบเล็กสีครามที่อยู่ในอากาศ คล้ายกับวิธีการป้องกันทั้งหมดนั้นไม่มีอยู่จริง
“เคล็ดวิชาโจมตีจิตวิญญาณ!?”
ฉือเฟิงหลิวเพียงแผดเสียงออกมาเท่านั้น จากนั้นก็ถูกดาบเล็กสีครามตัดจิตวิญญาณไป
หลังจากที่ซูอี้ได้บรรลุบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แล้ว จิตสัมผัสนั้นน่าหวาดกลัวมาก เมื่อผ่านการหลอมจาก ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ ก็สามารถปลดปล่อยได้หลายร้อยจั้ง และพลังจิตวิญญาณที่สั่งสมก็มหาศาลนัก
ดาบเล็กสีครามที่แสดงจากเคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิตในยามนี้ เดิมทีใช้ตัดจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดโดยเฉพาะในขณะที่ถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วฉือเฟิงหลิวจะต้านทานไว้ได้อย่างไร?
ร่างของฉือเฟิงหลิวสั่นไหว แสงในดวงตาพลันดับมืดทันที
ในตอนนี้เอง ดาบเล็กสีครามตัดจิตวิญญาณเขาเป็นสองส่วน เมื่อเผชิญหน้าการโจมตีจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น แม้จะมีระดับการฝึกตนที่สูง เนื้อหนังฟันแทงไม่เข้า ก็ไม่สามารถใช้สิ่งใดได้
“ไม่นึกเลยว่า ข้ามิอาจรอถึงวันแสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึงได้ แต่กลับถูกฆ่า…”
ฉือเฟิงหลิวเผยสีหน้าไม่พอใจ พลันร่างตกลงสู่เบื้องล่างทันที
ตุบ!
ควันฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว พลังชีวิตถูกตัดขาดแล้ว
ผู้สิงสถิตจากต่างโลกต่างภพภูมิ เสียชีวิตไปในตอนนี้เอง
ท่ามกลางอากาศ เหลือเพียงซูอี้ที่สองมือไพล่หลัง ยืนหยัดอยู่บนน่านฟ้า
เมื่อมองไปรอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ต่างก็ตกตะลึงและสงบเงียบ
กลุ่มมังกรเร้นทั้งหกคล้ายกับเสาค้ำมหาสมุทร ปกครองไปทั่วใต้หล้า คุ้มครองเขตชายแดนต้าโจวไม่รู้มากี่ปี
ทว่ายามนี้ กลับถูกซูอี้ผู้เดียวสังหารอยู่เหนือน่านฟ้าหน้าเรือนตระกูลซู!
และเท่ากับว่าได้ตัดกำลังของราชวงศ์แห่งต้าโจวไปสิ้น!
อวิ๋นจงฉี ผู้อาวุโสสูงสุดสำนักวงเดือนแห่งแรกของต้าเว่ย คือยอดฝีมือท่านหนึ่งในบรรดาขอบเขตไร้เบญจธัญ และสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งอาณาจักรได้
จี้เหอ เจ้าอารามหลานฮั่นวัดซ่างหลินแห่งต้าฉิน คือบุคคลที่มีอิทธิพลไม่แพ้อวิ๋นจงฉี เคยสร้างชื่อเสียงมาหลายปี
คณะทูตที่ทั้งสองนำมาต้าโจวครั้งนี้ ยามนี้พวกเขาล้วนเก็บความแค้นครั้งนี้ไว้ในใจ และยอมจำนนแทบเท้าซูอี้!
ผนวกกับฉือเฟิงหลิว เซียนฮัวซง และเทพเซียนเดินดินสิบท่านเมื่อครู่ที่ล้วนสามารถส่งผลกระทบต่อต้าฉิน ต้าเว่ย ต้าโจวทั้งสามอาณาจักรได้ พวกเขาก็ตายด้วยน้ำมือซูอี้!!
ผลการต่อสู้ที่โดดเด่นเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่ตกใจกัน?
เมื่อหวนย้อนกลับไปในอดีต ทั่วทั้งใต้หล้า การต่อสู้นี้เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นการต่อสู้ที่โดดเด่นมาก!
ทุกคนต่างรับรู้ หลังจากวันนี้ไป ชื่อของซูอี้จะต้องแพร่หลายไปทั้งสามอาณาจักร ต้าโจว ต้าฉิน และต้าเว่ย ราวกับพายุโหม!
เช่นเดียวกัน คลื่นลูกใหญ่ที่เกิดจากการต่อสู้ยิ่งใหญ่ครานี้ ก็จะต้องกระทบกระเทือนไปทั่วใต้หล้าเช่นกัน!
…..
กลางอากาศ ซูอี้กวาดสายตาไปรอบ ๆ และเอ่ย “ยังมีผู้ใดต้องการตัดสินกับข้าซูผู้นี้หรือไม่?”
ทั่วทุกสารทิศ ไม่มีผู้ใดตอบกลับ
มีเพียงน้ำเสียงเฉยเมยของซูอี้ที่ยังคงดังก้องอยู่ในอากาศ
“น่าเสียดาย หนีไปได้หนึ่งคน” ซูอี้แอบเอ่ย
เขารู้ก่อนหน้านี้แล้ว ในสถานที่ไกล ๆ มีชายหนุ่มเก่งกาจผู้หนึ่งได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น
แต่ก่อนหน้าการต่อสู้จบลง คนผู้นั้นก็ได้จากไปอย่างเงียบ ๆ
หากซูอี้เดาไม่ผิด คนผู้นั้นคงเป็น ‘หรั่นฉงหยาง’ ศิษย์คนเล็กของปราชญ์หลิวฮั่วผู้อาวุโสสำนักเทียนอิ่น
หลายวันก่อน หลวงจีนหงจี้เคยเตือนเขา หรั่นฉงหยางผู้นี้ได้มาถึงมหานครหลวงอวี้จิงตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้ถึงได้คาดเดาออกมาเช่นนี้
ไม่นาน ซูอี้กวาดสายตามองไปทางมู่ซีและคนอื่น ๆ พลางเอ่ย “รบกวนช่วยข้ารวบรวมของรางวัลที”
เมื่อเอ่ยจบ ซูอี้หมุนตัวเดินออกไป
บุญคุณความแค้นของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงได้สะสางเรียบร้อยแล้ว ศัตรูตัวฉกาจก็หมดไปแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องอยู่ต่อ
จริง ๆ แล้วหลังจากบรรลุ ควรกลับไปลานซงเฟิงเปี๋ยเพื่อปรับรากฐานให้มั่นคง
เมื่อร่างซูอี้หายลับไปแล้ว
คนที่เหลือในสนามเหมือนเพิ่งตื่นมาจากความฝัน และได้สติกลับมาจากการตกใจ
ยามนี้ บรรยากาศที่หนักอึ้งได้ถูกทลายลง เสียงสนทนาและเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นไปทั่วประหนึ่งหม้อระเบิด
“ก่อนหน้านี้ไม่นึกเลย ว่าความสามารถของนายท่านซู จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!?”
มีคนถอนหายใจ
“ตอนแรกชนะซูหงหลี่ แล้วตอนนี้ยังสังหารกลุ่มเทพเซียนเดินดิน นี่มันช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว…”
มีคนพึมพำอย่างใจลอย
“การต่อสู้ในวันนี้จะต้องเปลี่ยนสถานภาพทั้งต้าโจว และต้องเกิดความวุ่นวายที่มิอาจคาดเดาได้แน่!”
มีคนรู้สึกทอดถอนใจ
ก่อนที่การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่จะเริ่ม ความขัดแย้งระหว่างซูอี้กับตระกูลซูได้ดึงดูดสายตาคนทั้งต้าโจวก่อนแล้ว
แต่ไม่นึกเลยว่า เมื่อการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นจริง กลับซับซ้อนไปมาและน่าตกใจเช่นนี้?
“พวกเจ้าว่า ซูอี้ผู้นี้คือเทพจากสวรรค์ที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือไม่? ไม่เช่นนั้น เหตุใดถึงสามารถสังหารเทพเซียนเดินดินมากมายด้วยระดับขอบเขตในวิถียุทธ์?”
“ที่ข้ายิ่งอยากรู้คือ บนโลกใบนี้ ผู้ใดจะเป็นศัตรูกับซูอี้ได้อีก?”
เสียงพูดคุยยังคงดังก้องอยู่
ขณะที่ฟังเรื่องสนทนาเหล่านี้ เมื่อมองใบหน้าที่ตกใจของผู้ฝึกตนเหล่านั้น เยว่ฉือซาน เก๋อฉางหลิง และคนอื่น ๆ ต่างล่วงรู้เป็นอย่างดี ว่าเมื่อผ่านการต่อสู้ในครานี้ไป ซูอี้ในความคิดของพวกเขา ย่อมไม่ต่างอะไรกับตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่!
“ด้วยความพ่ายแพ้ของตระกูลซู และการสยบแทบเท้าของเหล่าเทพเซียนเดินดิน มันย่อมก่อเป็นตำนานไร้พ่ายขึ้นมา ซูอี้ผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
อาจารย์อวิ๋นหลางอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชม “หากเทียบกันแล้ว ความสามารถยอดเยี่ยมเช่นนี้ ภายในอาณาเขตต้าเซี่ย มีน้อยยิ่งนัก!”
เขามาจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนแห่งต้าฉิน ตำแหน่งสูงส่ง มีความรู้มากมาย ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการต่อสู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีตและจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
โดยเฉพาะพลังของซูอี้ที่แสดงในระหว่างการต่อสู้ ทำให้ชายชราเช่นเขารู้สึกว่าสู้ไม่ได้จริง ๆ!
ด้านข้างอาจารย์อวิ๋นหลาง หลานซัวที่มีรอยยิ้มสว่างสดใส ก็เอ่ยขึ้น “ไม่นึกเลยว่า ผู้มีพระคุณของข้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้!”
ไม่ไกลนัก มู่ซี ผูอี้และคนอื่น ๆ ได้เริ่มเคลื่อนไหว ช่วยซูอี้รวบรวมของรางวัล
ของรางวัลมากมายนี้ ล้วนเป็นของที่เทพเซียนเดินดินเหล่านั้นเหลือเอาไว้ และนับว่าล้ำค่าไม่น้อย
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าแย่งหรืออยากได้เลย
แม้ของรางวัลจะยั่วยวน ทว่าก็ร้อนมือเป็นอย่างมาก ใครจะกินดีหมีหัวใจเสือริอาจแย่งอาหารจากปากซูอี้กัน?
…..
สำนักวงเดือน
เปลวเพลิงวิญญาณภายในตำหนักหลังเขาต้องห้าม จู่ ๆ ก็ดับไปอย่างเงียบ ๆ
นั่นคือพลังจิตวิญญาณที่อวิ๋นจงฉีเหลือเอาไว้ ทั้งสำนักวงเดือน มีบุคคลที่เป็นเทพเซียนเดินดินเพียงไม่กี่คน ที่สามารถถอดเปลวเพลิงวิญญาณอยู่ที่นี่ได้
แต่วันนี้ เปลวเพลิงวิญญาณของอวิ๋นจงฉีกลับดับไปแล้ว!
และทั้งวันนี้ ทั่วทั้งสำนักวงเดือนต่างตกใจ ไม่รู้มีศิษย์มากเท่าใดที่ตื่นตระหนก ไม่อยากเชื่อ
อวิ๋นจงฉี ผู้อาวุโสสูงสุดที่นำคณะทูตไปยังต้าโจว ถึงแก่กรรมแล้ว?!
……
วัดซ่างหลิน ต้าฉิน
เมื่อเสียงระฆังดังออกมาจากด้านในอารามหลานฮั่น
มีหลวงจีนชราแผดเสียงตะโกนออกมา “ผู้อาวุโสจี้เหอมรณภาพแล้ว!”
ทั่วทั้งวัดซ่างหลินต่างตกใจ และโศกเศร้าเสียใจ
……
สำนักดาบมังกรเร้น
เมื่อข่าวการตายของเซียนฮัวซงกับฉือเฟิงหลิวแพร่ออกมา เจ้าสำนักเนี่ยสิงคงที่ปลีกวิเวกมาหลายปีก็พลันออกมาจากการเก็บตัว
…..
เทพเซียนเดินดินคือตัวตนยิ่งใหญ่ และเป็นกำลังสำคัญของอาณาจักร!
มีผู้แข็งแกร่งระดับนี้อยู่ ก็เหมือนกับมีกำลังรบยอดเยี่ยมที่อยู่เหนือโลก ซึ่งมากพอจะข่มขู่อีกฝ่าย ปกครองที่ต่าง ๆ และปกป้องเขตชายแดน
แต่เมื่อเทพเซียนเดินดินหมดไป ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใหญ่ หรือกำลังจากอาณาจักรใด ต่างก็เสมือนว่าถูกจู่โจมและสั่นคลอน
เฉกเช่นตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง เมื่อซูหงหลี่ตาย ตระกูลที่มีอำนาจสูงสุดในต้าโจวอย่างตระกูลซู ก็ร่วงตกลงมาทันที กลายเป็นเนื้อหอมหวานในสายตากองกำลังอื่น!
แต่ยามนี้ ซูอี้ยังสังหารเทพเซียนเดินดินติดต่อกันสิบคน ซึ่งคนพวกนั้นแทบจะเป็นผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดของภูเขามังกรเร้นทั้งหมด จึงรู้ได้ทันทีเลยว่า ผลกระทบและการโจมตีที่เกิดขึ้นจะรุนแรงมากเพียงใด
สำหรับราชวงศ์แห่งต้าโจว เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียกำลังสำคัญไป!
“ซูอี้ทำเช่นนี้ เห็นแก่ตัวเกินไปหรือไม่ เขาสังหารผู้แข็งแกร่งของภูเขามังกรเร้น จากนี้ผู้ใดจะปกป้องต้าโจวกัน? และต่อจากนี้ หากต้าโจวถูกรุกรานจากศัตรูภายนอก แล้วจะทำอย่างไร?”
มีเสียงคล้ายกันดังขึ้น คิดว่าซูอี้ทำเกินไป และไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเลย
ณ วังหลวง
หลังจากรู้ข่าวการตายของโจวฉางอี้และกลุ่มมังกรเร้น จักรพรรดิองค์ปัจจุบันกำหมัดแน่นทันที มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นในฉับพลัน
ราชครูหงเซินชางนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน
การต่อสู้ในวันนี้ แม้เขาและจักรพรรดิโจวจะไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง ทว่าสนใจการเคลื่อนไหวของการต่อสู้อยู่ตลอด
หลังจากรู้ข่าวการต่อสู้ระหว่างซูหงหลี่กับซูอี้ ทั้งสองพลันตกใจและไม่อาจสงบใจลงได้ พลางแสดงท่าทางลืมตัวออกมาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พวกเขาคาดไม่ถึงว่า ไพ่ไม้ตายของซูหงหลี่จะมีมาก และน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงที่สุดคือ สุดท้ายผู้ที่คว้าชัยชนะไปกลับเป็นซูอี้!!
ข่าวเช่นนี้ ทำให้ทั้งสองเงียบไปอยู่นาน ก่อนที่จะฝืนใจยอมรับ
แต่เมื่อได้ข่าวการตายของโจวฉางอี้และคนอื่น ๆ อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิโจวหรือหงเซินชาง ต่างก็มิอาจควบคุมอารมณ์ได้อีก และลืมตัวเสียกิริยาอย่างมาก!
ภายในโถงใหญ่พลันกลายเป็นกดดันทันที
จักรพรรดิโจวสูดหายใจเข้าออกหลายครั้ง จากนั้นตบมือลงบนพนักแขนเก้าอี้มังกร พลางเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังก้อง คล้ายกับสบายใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
จนสุดท้าย เขาลุกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว สองมือกำแน่นจนสั่น พลางเอ่ย “กี่ปีมาแล้ว ภูเขาใหญ่ที่กดทับบนตัวข้า ในที่สุดก็พังลง!”
หงเซินชางเอ่ยด้วยท่าทางสับสน “ฝ่าบาท หากไม่มีกลุ่มมังกรเร้นเหล่านั้นแล้ว จากนี้ใครจะช่วยราชวงศ์ควบคุมสำนักดาบมังกรเร้น? และใครจะมาช่วยพระองค์สยบเหล่าผู้ฝึกตนทั่วใต้หล้า? แล้วใคร… จะช่วยต้าโจวสยบต้าเว่ย ต้าฉินทั้งสองอาณาจักร?”
จักรพรรดิโจวพลันเงียบทันที
เป็นเวลานาน แววตาเขาแน่วแน่ขึ้น พลางเอ่ยอย่างเด็ดขาด “ต้าโจวมีซูอี้อยู่ คนเดียวก็สามารถสยบทั้งทวีปได้!”
หงเซินชางมิอาจโต้แย้งได้
จากการต่อสู้ครั้งนี้ ซูอี้ได้แสดงความน่าหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อมีเขาอยู่ จะต้องสามารถสยบศัตรูทั้งหมดภายในและนอกต้าโจวได้แน่!
แต่…
หงเซินชางอดที่จะเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “ฝ่าบาท นิสัยเฉกเช่นซูอี้ ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้ใดแน่ เกรงว่าคงจะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติ พระองค์… ”
จักรพรรดิโจวเอ่ยขัดทันที “ข้าเข้าใจเรื่องเหล่านั้นดี ข้าไม่หวังให้ซูอี้มาอยู่ใต้อาณัติข้า แต่หวังจะผูกไมตรีกับเขา เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว!”
หงเซินชางเอ่ยอย่างทนไม่ไหว “ผูกไมตรีอย่างไร?”
จักรพรรดิโจวยกยิ้มขึ้นพลางเอ่ย “หรือท่านราชครูลืมแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างลูกหกกับซูอี้นั้นไม่เลวเลย เพียงแค่เขารักษาความสัมพันธ์กับซูอี้ดี ๆ หลังจากนี้ทั่วทั้งต้าโจว จะมอบให้แก่ลูกหกก็ไม่เสียหายอะไร!”
หงเซินชางชะงักค้าง
เขาเพิ่งรับรู้ ว่าที่แท้จักรพรรดิโจวมีแผนการมานานแล้ว!