บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 349 ปีติยินดี
ตอนที่ 349: ปีติยินดี
ตอนที่ 349: ปีติยินดี
ภูเขามังกรเร้น
ภูเขานี้ยืนตระหง่านอยู่ในบริเวณต้องห้ามหลังวังหลวง ทั้งภูเขาเต็มไปด้วยอาคารและสิ่งปลูกสร้างอันงดงามมากมาย
ที่นี่คือสถานที่สำหรับฝึกฝนเหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจวซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มมังกรเร้น
“พวกเขาตายกันหมดแล้ว…”
ในตำหนักอันหรูหรา โจวจงตกตะลึงจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
กลุ่มมังกรเร้นมีผู้อาวุโสเจ็ดคน โจวจงคือผู้ที่อยู่ในลำดับเจ็ด
ระหว่างที่โจวฉางอี้และคนอื่น ๆ ออกไปจัดการกับซูอี้ โจวจงเป็นผู้เดียวที่รับหน้าที่คอยปกป้องภูเขามังกรเร้น
ทว่าโจวจงไม่เคยคิดเลยว่าท้ายที่สุดการตัดสินใจของพวกเขาจะกลายเป็นหายนะ!
ผ่านไปนาน โจวจงจึงได้สติจากความเศร้าโศก ดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นและเอ่ยออก “องค์ชายใหญ่อยู่ที่นี่หรือไม่”
ท่ามกลางความเงียบงัน ชายหนุ่มในชุดปักลวดลายหงส์มังกรเดินเข้ามาในตำหนัก ก่อนจะโค้งกายและกล่าวอย่างสุภาพ “ผู้อาวุโสมีคำสั่งใดหรือ?”
โจวจงเอ่ยถาม “ท่านได้ยินข่าวแล้วหรือไม่?”
องค์ชายใหญ่พยักหน้า
จากการแสดงออกอย่างสงบ โจวจงไม่เห็นร่องรอยของความตื่นตระหนกหรือความเศร้าโศก
“ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสใหญ่และข้าได้ตัดสินใจว่าเมื่อใดที่ท่านทะลวงเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด เราจะส่งท่านไปที่ ‘สำนักดาบเทียนชู’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในต้าเซี่ย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าท่านควรจะออกเดินทางในทันที”
โจวจงสูดหายใจเข้าลึกและพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ฝ่าบาท ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
องค์ชายใหญ่ ‘โจวจือเฉียน’ ประสานมือพร้อมกับเอ่ยตอบ
“ความประสงค์ของผู้อาวุโส จือเฉียนยินดีทำตาม!”
“ก่อนจะออกเดินทาง ท่านจงไปที่คลังสมบัติของภูเขามังกรเร้นเสียก่อน และนำทรัพยากรการบ่มเพาะติดตัวไปให้สิ้น และเมื่อท่านไปถึงสำนักดาบเทียนชู ท่านจงไปหาลุงของท่าน โจวเฟิงจื่อ”
“เขาเป็นคนของสำนักดาบเทียนชูตั้งแต่เมื่อแปดสิบปีที่แล้ว จากข่าวล่าสุดที่ข้าได้รับมา ขณะนี้ลุงของท่านได้กลายเป็นผู้อาวุโสสายในสำนักดาบเทียนชูแล้ว และมีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นวิถีต้นกำเนิด ณ จุดสูงสุดของขอบเขตรวบรวมดารา อยู่ห่างจากวิถีวิญญาณอีกเพียงก้าวเดียว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้โจวจงเพ่งมององค์ชายใหญ่และเตือนว่า “อย่างไรก็ตามอย่าพูดถึงการล้างแค้นกับลุงของท่าน และอย่าพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในภูเขามังกรเร้น ไม่เช่นนั้นเรื่องราวเหล่านี้จะรบกวนจิตใจในระหว่างที่ฝึกฝนในสำนักดาบเทียนชูแล้ว”
“ด้วยภูมิหลังและพรสวรรค์ ท่านจะเปล่งประกายในสำนักดาบเทียนชูได้อย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็วท่านจะกลายเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ โจวจือเฉียนก็ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ท่านหมายถึงให้ข้าแก้แค้นซูอี้ได้เฉพาะเมื่อข้าก้าวเข้าสู่วิถีวิญญาณอย่างนั้นหรือ?”
โจวจงไม่อาจปิดบังความขมขื่นในใจ เพียงพูดด้วยเสียงเบา “ฝ่าบาท ตัดสินจากความแข็งแกร่งที่ซูอี้แสดงในวันนี้ นอกเสียจากว่าท่านจะได้รับสืบทอดมรดกโบราณที่เหนือกว่าหรือทัดเทียมกับซูอี้ หากท่านยังไม่บรรลุวิถีวิญญาณข้าเกรงว่าท่านคงไม่อาจต่อกรกับซูอี้ได้”
โจวจือเฉียนขมวดคิ้วแน่นทันทีและเอ่ยถาม “แต่กว่าที่ข้าจะบรรลุเข้าสู่วิถีวิญญาณก็คงต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี เมื่อนั้นความแข็งแกร่งของซูอี้จะไม่ยิ่งรุดหน้าไปจนสูงเสียดฟ้าเลยหรอกหรือ?”
โจวจงเงียบไปครู่หนึ่ง
ความจริงข้อนี้โหดร้ายนัก
ต้องรู้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซูอี้ยังเป็นเพียงบุตรเขยของตระกูลเหวินที่สูญเสียการบ่มเพาะอยู่เลย แต่ตอนนี้ซูอี้ได้กลายก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้แพร่งพรายหรือที่ผู้คนเรียกอีกอย่างว่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แล้ว!
ความเร็วในการบ่มเพาะขนาดนี้ นับได้ว่าไม่มีใครเคยพบเห็นหรือได้ยินมาก่อน
ดังนั้นแล้ว กว่าที่โจวจือเฉียนจะก้าวเข้าสู่วิถีวิญญาณ ตอนนั้นขอบเขตการฝึกฝนของซูอี้ไม่ยิ่งรุดหน้าไปไกลเกินเอื้อมเลยงั้นหรือ?
“บุคลิกของซูอี้นั้นยอมหักไม่ยอมงอ เป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ต้านกระแสลม บางทีท่านอาจไม่จำเป็นต้องแก้แค้นในอนาคต แค่เพียงรอฟังข่าวการตายของเขาก็เพียงพอแล้ว”
โจวจงทำได้เพียงปลอบใจด้วยวิธีนี้ “นอกจากนี้ ฝ่าบาทต้องไม่ลืมว่าในอีกไม่กี่ปีอุบัติการณ์แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึง ในตอนนั้นพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีมาตั้งแต่บรรพกาลที่เลือนหายไปจากโลกของเรานานมากแล้วจะกลับมา และเหล่าตัวตนอันน่าสะพรึงจากต่างโลกจะเดินทางมาที่โลกเรา”
“ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้นยิ่งซูอี้โด่งดังมากเท่าใด เขาก็จะยิ่งตกเป็นเป้าของตัวตนทรงพลังเหล่านั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
หลังจากฟัง โจวจือเฉียนก็พยักหน้าและเอ่ยตอบอย่างนิ่งสงบ “เช่นนั้นข้าจะเลิกหมกมุ่นกับการล้างแค้นซูอี้ และไม่ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้รบกวนการฝึกฝนของข้า”
“อย่างไรก็ตามผู้อาวุโส มีความคิดหนึ่งของข้าซึ่งข้าอยากให้ท่านรับรู้ไว้ เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างอุบัติขึ้น มหาทวีปคังชิงแห่งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตราบใดที่ข้าฉวยโอกาสเอาไว้ได้ ข้าย่อมจะมีพลังพอที่จะบดขยี้ซูอี้อย่างแน่นอน!”
โจวจงตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มทันทีอย่างมีความสุข
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มมังกรเร้นได้ใช้ความพยายามสุดตัวเพื่อฟูมฟักองค์ชายใหญ่
เมื่อเห็นว่าตอนนี้องค์ชายใหญ่หาได้มีอาการหวั่นวิตกต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดไม่ ในที่สุดโจวจงก็รู้สึกว่าความทุ่มเทอย่างหนักที่ผ่านมาของเขานั้นไม่สูญเปล่าเลย
ในวันเดียวกันนั้นเองโจวจงได้ส่งตัวองค์ชายใหญ่โจวจือเฉียนเดินทางออกจากต้าโจวเป็นการส่วนตัว
…
วังหลวง ตำหนักมังกรผงาด
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับพระองค์ด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พระองค์จะกลายเป็นรัชทายาทผู้ชอบธรรมแห่งต้าโจว… ไม่สิ กระหม่อมขออภัยเป็นอย่างสูง กระหม่อมควรเรียกพระองค์นับตั้งแต่นี้ว่าองค์รัชทายาทจึงจะถูกต้องกว่า”
ชายชราในชุดคลุมสีแดงพูดอย่างถ่อมตน
องค์ชายหกโจวจือหลีตกตะลึงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะชี้ที่จมูกของตัวเองแล้วพูดว่า “เจ้าพูดว่า… ข้ากลายเป็นองค์รัชทายาทแล้วงั้นหรือ!?”
ชายชราในชุดคลุมสีแดงที่แท้คือขันทีซึ่งรับใช้ในวังหลวงมาเป็นเวลานาน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ยินคำถามของโจวจือหลี “องค์รัชทายาท บ่าวชราไม่มีความกล้าหาญพอจะกล้าพูดล้อเล่นเรื่องแบบนี้กับพระองค์แน่พ่ะย่ะค่ะ”
โจวจือหลีรู้สึกเวียนหัวกับข่าวดีอย่างกะทันหันนี้ มันทำให้เขารู้สึกไม่สมจริงราวกับฝัน
ผ่านไปนานเมื่อได้สติ โจวจือหลีจึงรีบเอ่ยถามต่อ “กงกง บิดาของข้ามีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่?”
ชายชราชุดแดงยิ้มแล้วกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิตรัสว่าพรุ่งนี้เช้า พระองค์จะทรงนำเหล่าข้าราชบริพารออกเดินทางไปภูเขาชิงฉีซึ่งอยู่นอกเมืองด้วยตนเอง ทุกคนที่ร่วมขบวนจะต้องแต่งกายให้สมฐานะที่สุด”
โจวจือหลีสงสัย “บิดาของข้าจะไปที่นั่นเพื่อเหตุใด?”
ชายชราในชุดคลุมสีแดงตอบอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาท พรุ่งนี้เป็นวันที่ห้าเดือนห้า มันคือวันที่สหายสนิทของท่าน ซูอี้จะไปที่ภูเขาชิงฉีเพื่อกราบไหว้หลุมศพของเยี่ยอวี่เฟย ผู้เป็นมารดาของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
หัวของโจวจือหลีราวกับถูกกระแทก เขาเข้าใจในทันทีก่อนจะถามกลับอย่างตื่นเต้นว่า “กงกง พี่ซูอี้เอาชนะตระกูลซูได้แล้วใช่หรือไม่?”
ชายชราชุดแดงพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่ใช่เพียงแค่เอาชนะได้ แต่เป็นการเอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายชีวิต องค์รัชทายาททอดพระเนตรด้วยตัวเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้โจวจือหลี
โจวจือหลีตกตะลึงจนตาเบิกกว้างหลังจากอ่าน
เป็นเวลาพักใหญ่กว่าที่เขาจะฟื้นคืนสติ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมวันนี้ถึงได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าโจวอย่างกะทันหัน!
“ข้าเชื่อมาตลอดว่าพี่ซูอี้คือบุรุษที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบเปรียบได้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าผ่านไปเพียงไม่นาน แค่อาศัยชื่อเสียงของเขา ข้ากลับได้กลายเป็นองค์รัชทายาทโดยที่ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย…”
โจวจือหลีกำมือแน่น ระงับความรู้สึกภายในซึ่งมีทั้งตกใจ ตื่นเต้น เขารู้สึกว่าตอนนี้โลกมันช่างสดใสกว่าที่เคยเป็นมา
การมีมิตรที่ยอดเยี่ยมทำให้เขาไม่ต้องพยายามปีนป่ายไปสู่จุดหมายเหมือนพี่น้องคนอื่น ๆ
ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างมหัศจรรย์!
…
แคว้นกุ่น ตำหนักเทียนหยวน
ยามค่ำ หนิงซือฮวาได้รับข่าวผลการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตระกูลซู
แม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดมากมายนักในข่าวที่นางได้รับรู้มา แต่เมื่อนางเห็นรายชื่อผู้ที่ถูกซูอี้สังหาร หนิงซือฮวาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนตาแข็งค้าง
ผ่านไปนาน นางก็ถอนหายใจยาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวแสดงอาการผ่อนคลายและบ่นอุบอิบว่า “ข้ารู้ว่าเขาจะไม่แพ้…”
ในไม่ช้าหนิงซือฮวาก็เรียกฉาจิ่นเข้ามาพบ นางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยออก “แม่นางฉาจิ่น ข้าได้รับข่าวจากนครหลวงอวี้จิง โปรดเตรียมใจรับฟังข่าวด้วยแล้ว”
ทั้งร่างของฉาจิ่นสั่นสะท้าน ร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าอันงดงามสมบูรณ์แบบ นางถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าตำหนักหนิง ท่านอย่าได้บอกนะว่า…”
วันนี้เป็นวันที่สี่เดือนห้า
นางรู้ดีว่าวันนี้คือวันที่ซูอี้จะไปหาตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงเพื่อสะสางความคับข้องใจทั้งหมด และด้วยเหตุนี้ นางจึงดูกระสับกระส่ายกังวลทั้งวันเกี่ยวกับผลที่จะออกมาในท้ายที่สุด
ในเวลานี้ เมื่อนางได้เห็นหนิงซือฮวาทอดถอนหายใจ ฉาจิ่นจึงยิ่งรู้สึกใจสั่นและหวาดเกรงว่านางอาจได้ยินข่าวอันไม่เป็นมงคล
ขณะนี้ดวงตาของนางจึงเริ่มแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตา ปากสีแดงสดเริ่มสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
หนิงซือฮวาตกตะลึงกับอาการของอีกฝ่าย นางตั้งใจจะหยอกเย้าฉาจิ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจะรุนแรงขนาดนี้
นางไม่กล้าเก็บงำอีกต่อไปแล้วจึงรีบบอกข่าว
หลังจากฟังข่าวทั้งหมด ฉาจิ่นก็ตกตะลึงไปครู่ จากนั้นรอยยิ้มซึ่งผุดออกจากก้นบึ้งของหัวใจก็ค่อย ๆ เบ่งบานปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามของนาง
นางยิ้ม แต่น้ำตาใสสองสายก็ไหลออกจากดวงตาของนางเช่นกัน
มันเป็นน้ำตาแห่งความปีติยินดี
แลเห็นเช่นนี้ หนิงซือฮวาจึงอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวเล็กน้อย นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความรักที่หยั่งรากของฉาจิ่นที่มีต่อซูอี้
อีกส่วนหนึ่งของตำหนักเทียนหยวน
ภายในเรือนไม้ไผ่หลังหนึ่ง เหวินหลิงเสวี่ยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจสุดขีดก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดเหวินหลิงเจาพี่สาวของนางแน่นเหมือนลูกแมว และตะโกนด้วยเสียงที่ชัดใส “ชนะ! พี่ซูอี้ชนะแล้ว! เย้! ข้ามีความสุขที่สุดเลยพี่หลิงเจา~~~”
ในสายตาของเหล่าศิษย์ในตำหนักเทียนหยวน สาวน้อยคนนี้สูงส่งราวกับนางสวรรค์ แต่ในเวลานี้เพราะความสุขอันล้นเหลือ นางจึงไม่สนใจกิริยาของตนเองเลยแม้แต่น้อยและกระโดดโลดเต้นเฉกเช่นสาวชาวบ้านสามัญชนทั่วไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความปีติและตื่นเต้น
เหวินหลิงเจาตกตะลึง เขาชนะงั้นหรือ?
ปรากฏว่า… เขาทำได้จริง ๆ…
เหวินหลิงเสวี่ยมีความสุขยิ่ง รอยยิ้มที่สดใสซึ่งออกมาจากใจอย่างแท้จริงประจักษ์แก่สายตาของเหวินหลิงเจา ทว่าเหวินหลิงเจาไม่กล้ามองหน้าน้องสาวของตนเองตรง ๆ
“ปรากฏว่ากลายเป็นข้าที่โง่เง่าที่สุด…”
เหวินหลิงเจาถอนหายใจ หัวใจของนางว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อปีที่ผ่านมาของการแต่งงานกับซูอี้ อารมณ์มากมายปะทุขึ้นในใจนาง ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นอารมณ์ที่ทำให้นางรู้สึกหม่นหมอง
…
คืนเดียวกัน
นครหลวงอวี้จิง ลานซงเฟิงเปี๋ย
ซูอี้กำลังนั่งสมาธิ
การต่อสู้วันนี้ หากมองจากมุมมองคนทั่วไปมันนับได้ว่าเป็นการต่อสู้อันน่าจดจำและตื่นตะลึงในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา
แต่สำหรับซูอี้มันหาได้นับเป็นอะไรไม่
เมื่อเทียบกับการต่อสู้หลายต่อหลายครั้งที่เขาเคยเผชิญเมื่อตอนโลดแล่นอยู่ในเก้ามหาแดนดิน ความรุนแรงของการต่อสู้ในวันนี้ไม่ต่างอะไรจากการบี้มดปลวก
หลังจากกลับมาที่เรือน ซูอี้ได้กลืนโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรที่เหลืออยู่อีกเพียงสามเม็ดสุดท้ายในคราวเดียวเพื่อเสริมรากฐานการบ่มเพาะของขอบเขตใหม่ที่ซึ่งเขาเพิ่งทะลวงให้มั่นคงยิ่งขึ้น