บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 35 คู่สหายจิ้งจอก
ตอนที่ 35 คู่สหายจิ้งจอก
ขวดน้ำเต้าสีน้ำตาลอ่อนมีขนาดเพียงฝ่ามือ พื้นผิวเรียบลื่นเป็นมันวาว ปากขวดน้ำเต้าปิดด้วยจุกไม้
“จุกไม้นี้ทำมาจากไม้ที่ใช้ปิดผนึกวิญญาณ ดูเหมือนว่าอู๋รั่วชิวคงใช้น้ำเต้านี้เพื่อชุบเลี้ยงวิญญาณ”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะขยับนิ้วเปิดจุกไม้ที่ปิดผนึกน้ำเต้า ทันทีที่จุกไม้หลุดออกกลุ่มหมอกควันผีสิงสีแดงสดพวยพุ่ง
ฟู่~
ผีกลุ่มหมอกพลังงานรุนแรง ก่อบรรยากาศคลุ้มคลั่งชวนสยดสยอง
ร่างเงาเด็กคนหนึ่งปรากฏกายท่ามกลางกลุ่มไอหมอก เด็กผู้นี้มีอายุเพียงสามสี่ขวบเท่านั้น ผิวพรรณซีดเซียว นัยน์ตาแดงก่ำ ใบหน้าเดิมใสซื่อไร้เดียงสากลับเปรอะคราบเลือดแดงฉาน ชวนให้ฉงนใจ
เมื่อเด็กคนนี้โผล่ออกมา รังสีอาฆาตมาดร้ายแผ่กระจายไม่หยุดหย่อน ใบหญ้าและต้นไม้พลันเหี่ยวเฉาร่วงโรย
บนต้นแคฝรั่งที่อยู่ไม่ห่างออกไป ผีเด็กสาวชุดแดงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว “ผีเด็ก! นั่นผีเด็กที่นักพรตอู๋เลี้ยงเอาไว้ถึงหกปี!”
จังหวะเดียวกัน ผีเด็กเปิดปากร่ำไห้โยเย เมื่ออ้าปากออก ฟันแหลมคมราวใบมีดเรียวยาวสองแถวพลันเผยให้เห็น
ตรงเข้ามาหมายกัดซูอี้ซึ่งอยู่ห่างเพียงเอื้อมเต็มแรง!
ทว่าดาบไม้ในมือขวาของเขาว่องไวกว่า
ฉึก!
ดาบไม้ท้อเสียบเข้าในปากของผีเด็ก ทิ่มแทงผ่านร่างของมัน ตรึงกายมันไว้กับดาบ
ไม้ท้อมีพลังในการปราบผี
ไม้ท้อที่ซูอี้ให้หวงเฉียนจวินเลือกมานั้นอายุยี่สิบปี เต็มเปี่ยมด้วยพลังหยาง
ฉ่า!
ควันดำลอยออกมาจากร่างผีเด็ก แก้มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด กรีดร้องและดิ้นรนสุดกำลังเพื่อฆ่าซูอี้
ทว่ากลับไร้ประโยชน์
ในชั่วพริบตา ร่างผีเด็กแหลกสลายกลายเถ้าถ่านและจางหาย
เมื่อมองดาบไม้ท้อ สีไม้หม่นลง ยังคงเหลือร่องรอยการกัดกร่อน เห็นชัดว่าไม่สามารถใช้ได้อีก
ซูอี้โยนดาบทิ้ง ก้มมองน้ำเต้าอีกครา “เจ้าสิ่งนี้คงทำขึ้นในแดนวิญญาณ ยังมีร่องรอยพลังจากแดนวิญญาณหลงเหลือ และน้อยนักจะพบของเช่นนี้ในโลกมนุษย์”
เขาคาดว่าน้ำเต้านี้คงเป็นไพ่ลับไม้ตายของอู๋รั่วชิว
หากอีกฝ่ายนำสิ่งนี้มาใช้โจมตีอย่างฉับพลัน เขาคงไม่อาจเอาชนะได้ง่ายเหมือนอย่างเมื่อครู่
“ออกมาเสีย” ซูอี้นั่งลงบนเก้าอี้ไผ่พลางพลิกน้ำเต้าสีน้ำตาลอ่อนเล่นไปมา
ผีสาวในชุดแดงโผล่ออกมาจากต้นแคฝรั่ง ล่องลอยทั้งยังสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ ก้มหน้าขณะกล่าวอ้อนวอน
“ท่านปรมาจารย์ ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ให้ข้า…ข้าอยู่ปรนนิบัติท่านเถิดเจ้าค่ะ”
“งั้นเจ้าทำอะไรเป็นบ้างเล่า?” ซูอี้นึกสนใจ
นางใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนเอ่ยท่าทีนอบน้อม “ร้องเพลง เต้นระบำ เล่นพิณ เป่าขลุ่ย เล่นหมากรุกและวาดภาพ… ข้ารู้เรื่องเหล่านี้บ้างเจ้าค่ะ”
ซูอี้ชะงัก ผีสาวตนนี้มีความสามารถรอบด้านเพียงนี้เชียวหรือ?
ชิงหว่านสวมชุดกระโปรงสีแดง ร่างเล็ก ผิวขาวราวหิมะ ร่างโปร่งใส เครื่องหน้างดงามพร้อมแก้มอวบอิ่มพอเหมาะ เสริมให้ยิ่งน่ามอง
นางดูยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น อายุสิบห้าหรือสิบหกปี
เคราะห์ร้ายที่บัดนี้นางเป็นผี ไม่ใช่มนุษย์
เมื่อเห็นซูอี้นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ชิงหว่านยิ่งตื่นตระหนก โพล่งบอกด้วยหวาดหวั่น “ท่านปรมาจารย์ ขอเพียงท่านไว้ชีวิตข้า ข้ายอมทำทุกสิ่ง ข้ายอมแม้ช่วยท่านหลอกให้ผู้คนหวาดกลัว”
น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนหวานแฝงสะอึกสะอื้น น่าสงสารจับใจ
ซูอี้ถอนหายใจสั้น ก่อนกล่าวคำ “หากข้าฝึกตนสำเร็จวิถีต้นกำเนิด คงสามารถช่วยให้เจ้าเป็นอิสระและไปจากโลกนี้ได้ แต่ตอนนี้เกรงว่าข้าคงไม่อาจช่วยเจ้าได้”
ชิงหว่านตกตะลึง ก่อนจะกลายเป็นเบิกบาน “ท่านปรมาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้แปลว่าท่านไม่ได้คิดจะฆ่าข้า ดียิ่งนัก!”
นางยิ้มกว้างเสียจนตาหยี เผยเสน่ห์ตราตรึงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ด้วยรูปลักษณ์งดงาม และนิสัยใจคอชวนหลงใหล ก่อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน
ซูอี้เลิกคิ้ว หากนางฝักใฝ่สายมืด ภายภาคหน้านางคงไม่พ้นกลายเป็นผีร้ายที่สามารถล่อลวงและทำอันตรายผู้คนได้อย่างยิ่งยวดเป็นแน่
“เจ้าจำช่วงที่มีชีวิตไม่ได้เลยหรือ?” ซูอี้ถาม
ชิงหว่านนิ่งอึ้ง ก่อนส่งสีหน้าสลด ว่าอย่างหดหู่ใจ “บอกตามตรงจนถึงบัดนี้ข้าเองยังไม่รู้ว่าตนตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร…”
เขาจ้องมองชิงหว่านเนิ่นนาน กล่าวคำ “เวลานี้ข้ายืนยันได้สิ่งหนึ่ง ไม่เจ้าโกหกอยู่ก็คงมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าจนกลายเป็นผี”
ชิงหว่านร่างสั่นเทา นางเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน “ข้าไม่กล้าหลอกลวงท่านเด็ดขาด ข้าสามารถให้สัตย์สาบานต่อสวรรค์”
ซูอี้เอ่ยกลับเสียงเรียบ “แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด มันไม่ได้ข้องเกี่ยวกับข้าแม้แต่น้อย แต่ถึงข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ทว่าคงไม่อาจปล่อยเจ้าไว้เช่นนี้ได้”
ชิงหว่านถอนหายใจแรงอย่างโล่งใจ “ขอเพียงท่านไม่ฆ่าข้า ข้าก็นึกขอบคุณอย่างถึงที่สุดเจ้าค่ะ”
ซูอี้ยกน้ำเต้าในมือขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยคำ “น้ำเต้านี้ช่วยเก็บรักษาวิญญาณได้ หากเจ้ามาซ่อนตัวในนี้ เจ้าจะไม่ต้องกลัวแสงอาทิตย์ยามกลางวัน จงเข้ามาอยู่ด้านในเองเถิด”
ชิงหว่านลังเลใจ “แล้วท่าน… จะปล่อยข้าออกมาบ้างหรือไม่?”
ซูอี้เอ่ยยิ้มแย้ม “เจ้าสบประมาทข้าเกินไปเสียแล้ว ข้าผู้แซ่ซูไม่มีความคิดกักขังหน่วงเหนี่ยวเจ้าไว้ กลับกันเมื่อถึงเวลา ข้าจะสอนเคล็ดวิชาฝึกตนของภูตผีให้เจ้า”
นางตกตะลึงก่อนพยักหน้ารับไม่หยุด “ข…ข้าจะยอมเข้าไป!”
สิ้นคำ ร่างนางกลับกลายเป็นแสงสีแดงพุ่งหายเข้าไปในขวดน้ำเต้า
“ผีที่จิตวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนี้กลับลืมเลือนความทรงจำเมื่อครั้งมีชีวิต ต้องเกิดข้อผิดพลาดเป็นแน่…”
“แต่ถึงอย่างไรข้าจะหาวิธีหาคำตอบเรื่องนี้ให้จงได้” ซูอี้ลุกขึ้นไปสะสางสิ่งที่เหลือ
ไม่นานซากศพและคราบเลือดในลานบ้านก็ถูกชะล้าง
ซูอี้กลับเข้าห้องหลังจากนั้น
เขาแขวนน้ำเต้าข้างโต๊ะ เอนหลังนอนบนเตียงก่อนตกอยู่ในห้วงนิทรา
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซูอี้ตื่นแต่รุ่งสาง
เขามองน้ำเต้า ไม่ได้นึกใส่ใจนัก และเดินออกมาจากห้อง
น้ำเต้าเก็บวิญญาณไม่ได้ถูกปิดจุกไว้ ชิงหว่านที่ซ่อนตัวอยู่ภายในสามารถออกมาได้ทุกเมื่อดั่งใจต้องการ
ทว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาผีสาวงามแสนซื่อกลับเงียบสงบ ไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
หลังชำระร่างกาย ซูอี้เคี้ยวโสมราชันเก้าใบ ก่อนก้าวไปนั่งใต้ต้นแคฝรั่งกลางลานบ้านเพื่อฝึกเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง
กระทั่งฝึกถึงรอบที่สาม ซูอี้รู้สึกถึงเส้นเอ็นที่ยืดขยายทั่วร่าง กายเบาหวิว ราวกับจะล่องลอยได้
นี่เป็นสัญญาณของขั้น ‘ขัดเกลาเส้นเอ็น’!
“ท่านบุตรเขย นี่เป็นยาสมุนไพรที่หมออู๋เตรียมให้ท่านด้วยตนเองเป็นการเฉพาะ”
หูเฉวียนผู้ดูแลสำนักแพทย์ซิ่งหวงเข้ามามอบถ้วยยาให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ซูอี้พยักหน้าก่อนรับคำ “ฝากขอบคุณท่านหมออู๋แทนข้าด้วย”
เขามองถ้วยยาในถาด ดูเหมือนจะมีสมุนไพรหลากหลายชนิด ส่วนผสมอัดแน่นซึ่งเหมาะแก่การบำรุงร่างกายของผู้บ่มเพาะ
“ท่านบุตรเขย ไปทานอาหารก่อนเถิด ข้าขอตัวไปดูแลสำนักแพทย์ก่อน”
หูเฉวียนจากไปพร้อมรอยยิ้ม
“อยู่ที่นี่ดีกว่าที่จวนสกุลเหวินมากนัก” ซูอี้ว่าเสียงเบา
หลังมื้อเช้า เสียงหวงเฉียนจวินดังมาจากนอกบ้าน
“พี่ซู ข้าส่งคนไปแจ้งท่านหวังเทียนหยางแล้ว บัดนี้เราไปกันได้แล้ว”
เขาเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น แววตากระตือรือร้น
พลันสูดจมูกฟุดฟิดทันที นึกสงสัยขึ้น “เอ๋? เหตุใดถึงได้มีกลิ่นเลือดอยู่ในบ้าน?”
เจ้าเด็กคนนี้จมูกไวยิ่งนัก!
ซูอี้เหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยคำ “เมื่อคืนมีผีออกอาละวาดยังไงล่ะ”
“ออกอาละวาดหรือ?”
หวงเฉียนจวินผงะ ย้อนคิดถึงเลือดไก่ ช่อกิ่งหลิว และไม้ท้อที่เขาเตรียมให้ซูอี้เมื่อวาน ฉากกำราบผีน่าสยดสยองฉายชัดในหัว ชวนให้สั่นกลัวไปทั้งกาย
“ไปกันเถอะ” ซูอี้ก้าวเท้าเดินออกจากบ้าน
หวงเฉียนจวินไม่รีรอ ละทิ้งความคิดภายในหัว รีบติดตามไป
…
บนถนนแห่งหนึ่งในเมืองกว่างหลิงฟากตะวันออก มีร้านตีดาบของตระกูลหวงตั้งอยู่
เมื่อซูอี้และหวงเฉียนจวินมาถึง ลูกค้าหนุ่มสาวทั้งชายหญิงมากมายต่อแถวรอด้านนอกร้าน
“กิจการค้าขายดีถึงเพียงนี้เลยหรือ?” ซูอี้แปลกใจ
หวงเฉียนจวินแจง “แม้กิจการจะดีเยี่ยมมาโดยตลอด แต่มันก็ไม่ได้คึกคักเท่าช่วงนี้ที่ใกล้จะถึง ‘งานประลองประตูมังกร’ ที่จะจัดขึ้นที่แม่น้ำต้าฉางในอีกครึ่งเดือน”
“ในงานจะมีหนุ่มสาวจากเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋นที่อยู่ขนาบข้างแม่น้ำต้าฉางมาร่วมประลองดาบกัน”
“หากนักสู้จากเมืองกว่างหลิงเป็นผู้ชนะจะได้รับทองหนึ่งร้อยชั่ง โอสถระดับสูงสามเม็ด มุกสิบเม็ด และเคล็ดวิชาลับขั้นสูงจากจวนเจ้าเมืองลั่วอวิ๋น!”
“แต่ในทางกลับกัน หากนักสู้จากเมืองลั่วอวิ๋นชนะ เจ้าเมืองกว่างหลิงก็ต้องมอบรางวัลให้เหมือนกัน”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ซูอี้จึงพึมพำขึ้น “รางวัลไม่น้อยเลย”
หวงเฉียนจวินเล่าอย่างตื่นเต้น “นอกจากรางวัลพวกนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือชื่อเสียง! หากได้เป็นผู้ชนะในงานประลองประตูมังกรประจำปี ไม่เพียงแต่จะเป็นที่เลื่องลือในสองเมืองใหญ่ แต่ยังสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักดาบชิงเหอได้อย่างง่ายดาย!”
ซูอี้พยักหน้า
เขาฝึกที่สำนักดาบชิงเหอมาสามปี จึงย่อมรู้ว่าคนหนุ่มสาวในเขตปกครองอวิ๋นเหอ ยากยิ่งที่จะสามารถเข้าเป็นศิษย์ในสำนักดาบชิงเหอ
หากได้เป็นศิษย์ในสำนัก แน่นอนว่าย่อมถูกเชิดหน้าชูตา
เมื่อในอดีตซูอี้ใช้เวลาทุ่มเทฝึกสามปี ก่อนได้รับตำแหน่งหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ ทว่าด้วยอุบัติเหตุครั้งนั้น เขาจึงกลายเป็นศิษย์ที่สำนักทอดทิ้ง
แต่ในความโชคร้ายย่อมมีเรื่องดี เขาตื่นขึ้นมาพร้อมความทรงจำในชาติก่อน
ซูอี้เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นคนเหล่านี้จึงต่อแถวซื้อดาบเพื่อนำไปใช้ในงานประลองประตูมังกรถูกต้องหรือไม่?”
“ถูกต้องแล้ว”
หวงเฉียนจวินตอบก่อนนึกบางอย่างขึ้นได้ กระซิบแผ่วเบา “พี่ซู หวังเทียนหยางทั้งอารมณ์ร้ายและพูดจาขวานผ่าซาก แม้แต่พ่อข้ายังยอมแพ้เขา เดี๋ยวเราจะเข้าไปพบเขา หากเขาพูดจาไม่น่าฟัง ขออย่าถือสาเลย”
“นำทางไปเถิด” ซูอี้เอ่ยบอก
หวงเฉียนจวินเร่งฝีเท้า ในฐานะบุตรชายหวงอวิ๋นชง เขาจึงไม่จำเป็นต้องต่อแถว
ทว่าในขณะที่เดินไปเข้าในโรงฝีมือ ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งก้าวออกมา
นำโดยเหวินเจวี๋ยหยวน ผู้นำทายาทตระกูลเหวิน และเหล่าบรรดารุ่นเยาว์สกุลเหวินเดินตามมาเบื้องหลัง
เหวินเส้าเป่ยเป็นหนึ่งในนั้น
ครั้งเห็นซูอี้และหวงเฉียนจวิน เหวินเจวี๋ยหยวนอดตกตะลึงไม่ได้ ก่อนแสดงท่าทีเดียดฉันท์ ส่ายหน้าพร้อมเอ่ยปรามาส
“คนหนึ่งเป็นเพียงบุตรเขย อีกคนสันดานหยาบช้า ช่างเป็นคู่สหายจิ้งจอกเสียจริง*[1]!”
[1] คู่สหายจิ้งจอก หมายถึงคู่สหายที่น่ารังเกียจ