บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 353 งานเลี้ยงหารือเรื่องสำนัก
ตอนที่ 353: งานเลี้ยงหารือเรื่องสำนัก
ตอนที่ 353: งานเลี้ยงหารือเรื่องสำนัก
ซูอี้รับรู้ได้ เยว่ฉือซานหวังให้เขาเดินทางไปต้าเซี่ยด้วยกันกับนางจริง ๆ
แต่… เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ยามนี้ยังไม่ได้”
ซูอี้ไม่ได้เจอเหวินหลิงเสวี่ยกับฉาจิ่นมาหนึ่งเดือนแล้ว ในเมื่อต้องเดินทางไปต้าเซี่ย เขาต้องจัดการคนข้างกายเหล่านั้นให้เรียบร้อยก่อน
เดิมทีเขาก็คิดอยากมีประสบการณ์ในโลกนี้ ทว่าซูอี้เองใช่ว่าจะไร้ความรู้สึก แล้วจะปลีกตัวเดินจากไปได้อย่างไร?
เขาชื่นชมเยว่ฉือซานจริง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะชื่นชม ถึงได้ไม่สนสิ่งใดและเดินทางไปต้าเซี่ยกับนาง
เยว่ฉือซานรู้สึกผิดหวังทันที
ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ว่างานชุมนุมมวลพฤกษาเริ่มอีกครึ่งปีรึ รอไว้จัดการเรื่องทางนี้เสร็จ ข้าค่อยไปก็ยังทันไม่เสียหายอันใด”
เยว่ฉือซานจัดการอารมณ์ตัวเองครู่หนึ่ง พลางพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะรอสหายเต๋าอยู่ที่ต้าเซี่ย”
ขณะเอ่ย นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนถอดกระดิ่งเล็กสีม่วงบนข้อมือขาว จากนั้นส่งให้กับซูอี้
“นี่คือ ‘กระดิ่งสื่อจิต’ หากสหายเต๋าเดินทางมาต้าเซี่ย เพียงท่านนำสิ่งนี้มาด้วย ข้าจะรู้ได้ทันทีว่าสหายเต๋ามาถึงแล้ว เชิญรับเอาไว้”
ซูอี้จับขึ้นมาดู กระดิ่งเล็กนี้ค่อนข้างประณีต มันทำมาจาก ‘หยกเขาแรดขนม่วง’ ที่ละเอียดอ่อนนุ่ม ให้ความรู้สึกนุ่มลื่นและเจือไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ซูอี้สูดดม และแยกออกได้ทันที กลิ่นหอมอ่อน ๆ นี้คือกลิ่นเดียวกับร่างของเยว่ฉือซาน
ไม่แปลกใจนัก นางพกกระดิ่งเล็กนี้ติดตัวมาหลายปี กลิ่นอายบางส่วนบนตัวนางจึงค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไป
เมื่อสังเกตเห็นจมูกซูอี้ขยับเล็กน้อยราวกับกำลังดอมดมกลิ่นหอม เยว่ฉือซานจึงตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง ดวงหน้างดงามดุจหยกขาวแข็งทื่อเล็กน้อย ขนตาแพงอนสั่นระริกบางเบา
ทันใดนั้น นางแอบสูดหายใจเข้าลึก พลางลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนสหายแล้ว ขอตัวลา”
“ช้าก่อน”
ซูอี้เรียกนางไว้ “รอครู่หนึ่ง”
ขณะเอ่ย เขาได้นำแผ่นหยกว่างเปล่าออกมา พลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนใช้จิตสัมผัสสลักผังค่ายกลยันต์ขนาดเล็กไว้ในนั้น
จากนั้นเขาก็นำแผ่นหยกนั้นส่งให้เยว่ฉือซาน “นี่คือยันต์ห้าธาตุ เมื่อพบกับอันตราย ใช้ปราณกระตุ้นแผ่นหยกนี้ ก็สามารถเคลื่อนที่ได้ถึงร้อยลี้ทันที แม้แต่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณ ก็มิอาจหยุดได้”
“ยันต์นี้สามารถใช้ได้สามครั้ง แต่ยันต์นี้ใช้พลังปราณไม่น้อย ในตอนที่ไม่มีอันตรายใด อย่าได้บุ่มบ่ามใช้มัน”
ดวงตาสดใสของเยว่ฉือซานฉายแววแปลกใจ“นี่… นี่คือแผ่นหยกที่เจ้าหลอมเมื่อครู่รึ?”
แค่ได้ฟังผลที่น่าอัศจรรย์ของยันต์นี้ ก็ทำให้เยว่ฉือซานรู้ทันที ว่ายันต์นี้ถือว่าเป็นอาวุธช่วยชีวิต แม้แต่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณยังหยุดไม่ได้ นี่มันแข็งแกร่งมากเท่าใดกัน?
เย่วฉือซานไม่มีของล้ำค่าและไพ่ไม้ตายเป็นของตัวเอง แต่ที่นางตกใจมากคือ ตอนที่ซูอี้หลอมยันต์นี้ ใช้เวลาไปเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น!
วิธีการเช่นนี้ ช่างเป็นความคิดที่ล้าสมัยแต่มหัศจรรย์มากจริง ๆ!
ซูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “การฝึกฝนมีจำกัด ทำได้เพียงหลอมยันต์เช่นนี้ออกมาเท่านั้น แต่นำมาใช้กับการช่วยชีวิตและหลบหนีก็ถือว่าใช้ได้”
เย่วฉือซานชะงักค้าง คล้ายกับชายหนุ่มผู้นี้ยังไม่พอใจกับแผ่นหยกนี่!?
“รีบเก็บไปเถิด”
ซูอี้เอ่ยขณะถือแผ่นหยกอยู่
เยว่ฉือซานรีบใช้สองมือรับไป นางเหลือบมองซูอี้อย่างลึกซึ้ง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสหายเต๋ามาก!”
ภายใต้แสงสุริยัน ชายหนุ่มชุดเขียวหล่อเหลาดั่งหยก เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน เพิ่มกลิ่นอายความลึกลับที่คาดเดาไม่ได้ออกมา
จนกระทั่งขอตัวลากลับ ก็มีภาพเช่นนี้ปรากฏอยู่ในหัวเยว่ฉือซาน มิอาจลบเลือนไปได้
“ชายหนุ่มผู้นี้… เป็นคนแบบไหนกันแน่?”
ณ ลานซงเฟิงเปี๋ย
ซูอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายเอ่ยกับตัวเอง “ไม่นึกเลยว่า จะเจอ ‘กายวิญญาณหยั่งเห็นลึกล้ำ’ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ รากฐานร่างกายเช่นนี้หาได้น้อยยิ่ง เป็นเมล็ดพันธ์การฝึกตนโดยธรรมชาติ หากเหล่ามหาปราชญ์สวรรค์ในเก้ามหาแดนดินรู้เข้า จะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อเก็บเข้าสำนักแน่…”
“อืม หากมีโอกาส ย่อมควรเก็บนางมาฝึกฝนข้างกาย เมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ มิควรถูกฝังไว้!”
…..
ในวันเดียวกัน เยว่ฉือซานแบกดาบออกเดินทางไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย
และในวันเดียวกันนั้น ทั้งภายในและนอกมหานครหลวงอวี้จิง นามของซูอี้ยังคงแพร่กระจายไปทั้งต้าโจว ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่า ซูอี้ได้เดินทางออกจากมหานครหลวงอวี้จิงไปแล้ว
หนึ่งวันต่อมา
นกอินทรีสีทองที่มีกำลังเต็มเปี่ยมตัวหนึ่ง มาถึงด้านหน้าภูเขาชิวเยี่ยนอกมหานครกุ่นโจว และร่อนลงสู่พื้น
ซูอี้ที่สวมชุดสีเขียวอ่อนลุกขึ้นจากหลังนกอินทรีสีทอง เดินลงมาอย่างช้า ๆ พลางโยนศิลาวิญญาณระดับสี่หนึ่งก้อนให้นกอินทรีสีทอง “นี่คือค่าเดินทาง”
นกอินทรีสีทองรับมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ขณะมองซูอี้ด้วยตัวสั่นเทา
เมื่อวาน มันกำลังหลับสบายในส่วนลึกของหุบเขา ไม่นึกเลยว่าจะถูกชายหนุ่มสวมชุดเขียวตรงหน้าใช้ฝ่ามือตบให้ตื่นขึ้นมา บอกให้มันเป็นสัตว์สารถีให้
มันคือเจ้าปกครองในหุบเขานั้น จะตกลงได้อย่างไร?
สุดท้าย ก็ถูกฝ่ามือนั้นปราบปรามราบคาบ และในที่สุดก็ยอมจำนนต่อซูอี้…
“อึ้งอยู่ทำไม รีบกลับไปได้แล้ว” ซูอี้โบกมือไล่
สัตว์ปีกดุร้ายระดับเก้าพลันทะยานขึ้นไปบนฟ้าอย่างรีบร้อน
ซูอี้นำมือไพล่หลัง เดินไปทางตำหนักเทียนหยวนที่สร้างบนภูเขาชิวเยี่ย
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามายังตำหนักเทียนหยวน
ครั้งก่อนคือตอนที่เพิ่งมาถึงมหานครกุ่นโจว และเดินทางไปยกเลิกการหมั้นหมายต่อหน้าเหวินหลิงเจา ภายใต้การนำทางของเจิ้งมู่เหยา
และครั้งนี้ที่มาอีกครั้ง นามเขาสั่นสะเทือนทั้งต้าโจว เป็นบุคคลในตำนานที่สังหารกลุ่มเทพเซียนเดินดินภายในมหานครหลวงอวี้จิง
แน่นอนว่าซูอี้ไม่สนชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านี้
ศาลาหมิงเฉวียน
ฉาจิ่นกับหนิงซือฮวากำลังแข่งหมากรุกกันอยู่
เมื่อเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของฉาจิ่น หนิงซือฮวาจึงเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “แม่นางฉาจิ่น คุณชายเจ้าไม่ได้บาดเจ็บอะไรแล้ว เหตุใดถึงทำเหมือนไร้จิตวิญญาณเช่นนี้อีก”
ฉาจิ่นก้มหน้าอย่างอึดอัดใจ พลางเอ่ยอย่างเขินอาย “ข้า… ข้ากำลังคิดว่าเมื่อใดคุณชายจะกลับมา จึงได้ใจลอยเล็กน้อย”
ขณะเอ่ย นางรีบยกตัวหมากรุก และกำลังจะวางลง
พลันมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ฝีมือการเล่นหมากรุกของเจ้าแย่เช่นนี้ แม้จะเปลี่ยนเป็นเทพเซียนลงมา ก็มิอาจช่วยเหลือได้”
ฉาจิ่นแข็งทื่อไปทั่วร่าง
ตุบ
ตัวหมากรุกที่อยู่บนมือเรียวขาวหล่นลงสู่กระดานหมากรุก กลิ้งหมุนไปไม่หยุด
แต่ฉาจิ่นกลับไม่สนเรื่องเหล่านี้ พลันรีบลุกขึ้น เมื่อเห็นด้านข้างมีร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคย นางก็นิ่งอึ้งไปทันที
“คุณ…คุณชาย!?”
ดวงตางามเบิกกว้าง ริมฝีปากมันวาวเผยอขึ้นเล็กน้อย ใบหน้างดงามแฝงไว้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ราวกับสงสัยว่ากำลังฝันอยู่และไม่ใช่เรื่องจริง
เมื่อเห็นนางตกใจเช่นนี้ ซูอี้จึงหัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ชั่วขณะนั้น ฉาจิ่นกอดซูอี้ไว้แน่นทันที การกระทำนี้ ทำให้ซูอี้ชะงักค้าง ดีใจขนาดนี้เชียวรึ?
หนิงซือฮวารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน จึงได้ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ
“คุณชาย ท่านกลับมาก็ดีแล้ว หลายวันนี้ ข้ากังวลตลอดว่าท่านไม่ต้องการข้าแล้ว… ข้า… ข้ากลัวมากจริง ๆ …”
ร่างฉาจิ่นสั่นเล็กน้อย สองมือกอดซูอี้ไว้แน่น คล้ายกับว่ากลัวเขาจะหายไป ปล่อยความรู้สึกที่กดดันอยู่ภายในใจให้พรั่งพรูออกมาราวเขื่อนแตก นางสูญเสียการควบคุมเล็กน้อย หยดน้ำตาดั่งไข่มุกไหลพรากลงมา
ซูอี้ที่รู้สึกไม่สบายใจตอนแรก ค่อย ๆ รู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในใจ พลางยื่นมือออกไปตบหลังฉาจิ่นเบา ๆ “พอแล้ว ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่ชอบผู้หญิงร้องไห้ฟูมฟายมากที่สุด”
ฉาจิ่นส่งเสียงตอบรับเข้าใจ และรีบคลายสองมือที่กอดซูอี้ไว้ พลางเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ก่อนเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย ข้าเพียงแค่ควบคุมตัวเองไม่ได้เท่านั้น…”
ซูอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ ก็มองออกได้”
ฉาจิ่นรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ใบหน้านางร้อนดั่งไฟเผา น้ำเสียงแหลมเล็กราวกับยุง “ทำให้คุณชายยิ้มออกแล้ว…”
“เจ้าจัดการความรู้สึกตัวเองให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นก็ไปเรียกคนอื่นมาเลี้ยงฉลองกัน”
ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
คนที่พักอยู่ในตำหนักเทียนหยวนยามนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ฉาจิ่น เหวินหลิงเสวี่ยและคนอื่น ๆ แต่ยังมีสองพี่น้องเฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหราน
หลังจากที่ไม่ได้พบกันมานาน ควรจะดื่มเลี้ยงฉลองกัน
ฉาจิ่นรีบพยักหน้า
สาวงามที่มีท่าทีอ่อนช้อย งดงาม เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ เหมือนกับเป็นเด็กที่เชื่อฟังและยอมจำนนโดยสิ้นเชิง
เมื่อราตรีย่างกรายเข้ามา ด้านหน้าศาลาหมิงเฉวียนก็แปรเปลี่ยนเป็นคึกคัก
ซูอี้ หนิงซือฮวา ฉาจิ่น เหวินหลิงเสวี่ย เฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหรานและคนอื่น ๆ อยู่ในงานเลี้ยงนี้ สุราที่กลั่นจากดอกสน น้ำชาจากฤดูใบไม้ผลิ ยังมีอาหารรสเลิศ และของว่างผลไม้จัดเรียงไว้
พวกเขาดื่มสุราไปด้วย พูดคุยไปด้วย ช่างมีความสุขสนุกสนานยิ่งนัก
หลิงเหวินเสวี่ยมีความสุขมาก และนั่งอยู่ตรงนั้น บางทีอาจเป็นเพราะสุรา จึงทำให้ใบหน้าขาวสวยเผยรอยแดงออกมา ตางามสั่นไหว เสียงหัวเราะสดใส เมื่อเทียบกับความงามและเงียบสงบในอดีต ตอนนี้กลับมีกลิ่นอายสวยยั่วยวนที่มีชีวิตชีวากว่ามาก
นางนั่งอยู่ข้างซูอี้ มีรอยยิ้มงดงาม มีความสุขระคนดีใจเผยให้เห็นบนใบหน้า
ฉาจิ่นนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงตางามกวาดมองหลิงเหวินเสวี่ยที่แนบชิดกับซูอี้ พลันเกิดความคิดหึงหวงและอยากแย่งชิงความโปรดปรานมา
นางรู้ดี ตำแหน่งหลิงเหวินเสวี่ยที่อยู่ในใจซูอี้นั้น เรียกได้ว่ามิอาจเข้ามาแทนที่ได้
“สหายเต๋าตั้งใจจะทำสิ่งใดต่อไป?”
เมื่อดื่มสุราผ่านไปสามรอบ หนิงซือฮวาจึงเอ่ยถาม
“หยุดพัก มุ่งปรับให้รากฐานมั่นคงเสียก่อน”
ซูอี้เอ่ยทันที
เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะใช้เวลาว่างที่หาได้ยาก หลอมยาสวรรค์สองขั้ว จากนั้นหลอมค่ายกลเสวียนจวินห้าธาตุ ตามด้วยหลอมยันต์เพิ่ม
หากมีเวลาว่าง ก็ชี้แนะการฝึกฝนให้แก่ทุกคน ทำให้พลังของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หากต้องออกเดินทางไปท่องโลกกว้าง จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของคนข้างกายเหล่านี้อีก
หนิงซือฮวาเอ่ยด้วยความลังเล “สหายเต๋า ไม่สู้… พวกเราสร้างสำนักขึ้นมาดีหรือไม่? เชิญมู่ซี เฉินเจิ้ง ผูอี้ และมิตรสหายคนอื่นมาเข้าร่วมด้วย”
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ดี”
สร้างสำนักขึ้นมา ไม่เพียงจะสามารถรวบรวมจิตใจของทุกคน แต่ยังสามารถปกป้องทุกคนได้ด้วย
เมื่อรวมกับมีซูอี้บัญชาการ กองกำลังธรรมดาบางส่วน ย่อมมิอาจทำร้ายคนในสำนักพวกเขาได้แน่
หนิงซือฮวาหัวเราะขึ้นมา พลางเอ่ย “ได้ เรื่องจุกจิกในการสร้างสำนัก ให้ข้าจัดการ ส่วนสหายเต๋า… ตั้งชื่อสำนักก็พอ”
นางรู้ว่าซูอี้เกียจคร้านมาก หากให้เขาจัดการเรื่องจุกจิกเหล่านั้น จะต้องทนไม่ไหวแน่ ดังนั้นนางจึงจัดการเรื่องทั้งหมดเอง
ซูอี้โบกมือ “ก็แค่ชื่อเท่านั้น เจ้าตัดสินใจเองเถิด”
สำหรับเขา จุดประสงค์ในการสร้างสำนัก ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมสั่งสอนคนทั้งหลาย หรือแผ่อิทธิพลไปกว้างขวาง และยึดอำนาจไปทั่วหล้า
จุดประสงค์เขาคือ เพียงแค่อยากปกป้องผู้คนที่อยู่ข้างกายก็เท่านั้น
ไม่ถือว่าเป็น ‘การก่อตั้งสำนัก’ ฉะนั้นไม่ว่าจะตั้งชื่ออะไร มอบให้หนิงซือฮวาเป็นคนตัดสินใจก็พอแล้ว
หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน นางรู้ว่าซูอี้เกียจคร้านมาก แต่ไม่นึกว่าจะคร้านถึงขนาดไม่อยากคิดชื่อสำนัก!