บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 354 หลอมยา ตั้งค่ายกล จดหมายทางบ้าน
ตอนที่ 354: หลอมยา ตั้งค่ายกล จดหมายทางบ้าน
ตอนที่ 354: หลอมยา ตั้งค่ายกล จดหมายทางบ้าน
เช้าวันต่อมา
ซูอี้นำแขนขาวดุจหิมะที่พาดอยู่บนคอออก สองมือดันพื้นลุกขึ้นนั่ง พลันถอนหายใจยาวออกมา
เหมือนเมื่อคืนจะดื่มสุรามากไป จึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และในตอนที่มีความสุขกับฉาจิ่น ก็แทบจะควบคุมความเร่าร้อนในการฝึกบำเพ็ญคู่ไม่ได้หลายครั้ง
ยามนี้ ฉาจิ่นยังหลับสนิท เส้นผมดำขลับสยาย ไหล่ที่หอมนุ่มโผล่พ้นออกมาครึ่งหนึ่ง ดวงหน้างามยังคงมีสีแดงเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงภาพที่หลุ่มหลงเมื่อคืน ซูอี้นวดระหว่างคิ้วตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนั้นผีเสื้อดอมดมยอดผกาสั่นไหว หมู่มวลแมลงหยอกล้อนทีเริงร่า
ทว่าความสนุกสนานดุจตัณหาลุ่มลึก อย่าได้ลืมเลือนความทะนุถนอม
แต่เมื่อคิดดูแล้ว ซูอี้ก็รู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ความงามของหญิงวัยแรกรุ่น เปรียบเสมือนคมดาบที่ทิ่มแทงคนโง่เขลา แม้จะมองไม่เห็น แต่กลับแอบสูบเลือดเนื้อคนจนเหือดแห้ง’!
โชคดีที่ตัวเขาเชี่ยวชาญวิชาฝึกบำเพ็ญคู่ และมีธาตุวิถีมากมาย ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้น เกรงว่าคงมิอาจทนตลอดทั้งคืนได้
หลังจากลุกจากเตียงอย่างช้า ๆ และล้างหน้าแล้ว ซูอี้ก็เดินออกจากศาลาหมิงเฉวียน เห็นบนยอดเขามีทิวทัศน์งดงามสว่างไสว เสียงหวีดหวิวของสายลมดังออกมา เมื่อมองไปยัง แสงยามเช้าสาดส่องทะเลเมฆดั่งทองที่แตกกระจาย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น
“สหายเต๋าเมื่อคืนไม่ได้นอนรึ?”
ซูอี้เห็นหนิงซือฮวาสีหน้าดูอ่อนเพลียและกำลังนั่งหาวอยู่ด้านหน้าต้นสน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวของหนิงซือฮวาเผยความอับอายและไม่พอใจออกมา “สหายเต๋า ข้าว่าจากนี้ในตอนที่เจ้าพักผ่อน สมควรตั้งค่ายกลกั้นเสียงรอบ ๆ ศาลาหมิงเฉวียนไว้ โชคดีที่เมื่อคืนมีข้าผู้เดียวที่พักอยู่ใกล้ ๆ หากคนอื่นได้ยินเข้า…”
ซูอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเข้าใจความหมายในประโยคนั้น พลางพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าสะเพร่าไปหน่อย ครั้งหน้าข้าจะระวังกว่านี้”
บนใบหน้าไม่มีความกระดากอายและความเก้อเขินเลยแม้แต่น้อย ท่าทางใจกว้างเช่นนั้น ทำให้หนิงซือฮวาที่มองดูอยู่ก็อดตะลึงไม่ได้
นางส่ายหน้ากับตัวเองทันที และไม่กล้าคุยเรื่องความรักที่คลุมเครือนี้อีก พลางรีบเอ่ยเปลี่ยนเรืองทันที “สหายเต๋า ข้าเตรียมเตาหลอมที่เจ้าต้องการเรียบร้อยแล้ว”
ตอนงานเลี้ยงเมื่อคืน ซูอี้บอกว่าต้องการหลอมยา หนิงซือฮวาจึงนำเตาหลอมยาที่เก็บไว้หลายปีออกมา
“อืม”
ซูอี้พยักหน้า
ตั้งแต่วันนี้ไป ซูอี้จะปรับรากฐานอยู่ในตำหนักเทียนหยวน และไม่สนเรื่องภายนอกอีก
ในยามว่าง ก็ชี้แนะการฝึกฝนให้แก่หลิงเหวินเสวี่ย ฉาจิ่นและคนอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่ เขาใช้เวลาไปกับเรื่องหลอมยา สร้างค่ายกล ยันต์ลับ และอื่น ๆ
…..
สามวันต่อมา
ซูอี้เปิดเตาหลอมยาที่อยู่ด้านหน้าศาลาหมิงเฉวียน
ใช้สมุนไพรวิญญาณระดับห้าไปทั้งหมดสี่สิบเก้าชนิดเป็นส่วนผสมหลัก ใช้โอสถวิญญาณระดับสี่ถึงเจ็ดสิบสองชนิดเป็นวัสดุเสริม ด้วยแสงเบญจธาตุบนตัวซูอี้หมุนเวียนในเตาหลอม และด้วย ‘เคล็ดวิชาเก้าหลอมพันกระแส’ ของสำนักโอสถกระจ่าง ทำการดึงดูดพลังชีวิตทั่วใต้หล้ามาช่วยในการจุดไฟ
ในที่สุด ใช้เวลาหลอมไปสามชั่วยามเต็ม ๆ ก็หลอม ‘ยาสวรรค์สองขั้ว’ ออกมาสำเร็จ
หลังจากหลอมสำเร็จแล้ว แสงเจิดจ้าเก้าสีพุ่งทะยานขึ้น กลิ่นหอมของยาแผ่กระจายไปสิบจั้ง หญ้าต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างเติบโตอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ทำให้หนิงซือฮวา ฉาจิ่นและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ประหนึ่งเห็นสิ่งมหัศจรรย์
ในตอนที่เปิดเตา พบว่าหลอมยาสวรรค์สองขั้วได้ทั้งหมดสามสิบสามเม็ด มีขนาดใหญ่ดั่งไข่นกพิราบ ครึ่งหนึ่งใส ครึ่งหนึ่งขุ่น แสงเก้าสีปกคลุมหนาทึบราวกับหมอก กลิ่นหอมของยาเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็ง
ซูอี้เก็บเอาไว้เองสิบห้าเม็ด ส่วนที่เหลือแบ่งให้แก่หนิงซือฮวาและคนที่เหลือ
ตามขอบเขตการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ หลังจากกลืนยาวันละเม็ดติดต่อกันสิบห้าวัน ย่อมสามารถหลอมการบำเพ็ญบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์บรรลุไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบได้
…..
เจ็ดวันต่อมา
ในกลุ่มภูเขาลึกที่ห่างจากภูเขาชิวเยี่ยไปเก้าสิบลี้
ภูเขาที่เรียงต่อกันราวกับง้าวขนาดใหญ่ขนาบไปกับน่านฟ้า
หนึ่งในนั้นมีรูปร่างคล้ายฉากกั้นงดงาม ยอดเขาทรงพลังสูงตระหง่าน ชื่อว่า ‘ภูเขาม่านหยก’ สูงราว ๆ พันจั้ง บนนั้นมีน้ำตกรินไหล ต้นสนต้นไผ่สลับเรียงรายกันไป สวยและเงียบสงบมาก
ซูอี้ที่ยืนอยู่บนยอดเขาม่านหยก พลันพุ่งทะยานขึ้นและยืนอยู่กลางอากาศ
“ลุก!”
หลังจากที่เขาสะบัดมือ ใต้เชิงเขา กลางภูเขา ยอดเขาและอีกเจ็ดสิบสองส่วนภายในภูเขาม่านหยก ต่างมีแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์แสบตาพุ่งขึ้นมา สว่างไสวไปทั่ว
ตูม!
แสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบสองสายตัดสลับกันในอากาศ ปรากฏค่ายกลยันต์อักษรราวกับน้ำตกออกมา งดงามหลากสี คล้ายกับน้ำฝนที่ตกลงมาปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาม่านหยก
“ผนึก!”
หลังจากซูอี้ประสานมือออกท่า พลังค่ายกลขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าดุจกระแสน้ำ ค่อย ๆ หายไปในอาณาเขตภูเขาม่านหยกทุก ๆ หนึ่งชุ่น
“ค่ายกลนี้ชื่อว่า ‘ค่ายกลเสวียนจวินห้าธาตุ’ ใช้พลังหมุนวนห้าธาตุเป็นฐานในการสร้างค่ายกล ขนย้ายพลังแห่งภูเขาและแม่น้ำ แปรเป็นความลึกลับในอากาศโดยรอบ”
ซูอี้ยกมือไพล่หลัง ใบหน้าเผยความพึงพอใจออกมา “หากใช้พลังทั้งหมดหมุนเวียน ก็มากพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดได้ และแม้ว่าผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณจะมา ก็มิอาจทำลายค่ายกลนี้ได้หากไม่พร้อมจ่ายด้วยราคาที่หนักหนา”
หนิงซือฮวาที่อยู่ด้านข้างตะลึงค้าง
นางไม่รู้เลย เพื่อหลอมค่ายกลเสวียนจวินห้าธาตุ หลายวันมานี้ ซูอี้แทบจะหลอมวัตถุวิญญาณทั้งหมดที่มี และในตอนที่กลั่นธงค่ายกล เขาก็สูญเสียกำลังกายและกำลังสมองไปมาก เพราะใช้วิธีการกลั่นมากกว่าสิบสองรูปแบบ และแต่ละรูปแบบต่างก็เป็นวิชาลึกลับสูงสุดของวิถียันต์
หากไม่ใช่เพราะเขามี ‘จิตสัมผัส’ และเคยค้นคว้าเกี่ยวกับวิถียันต์มากมายในชาติก่อน เกรงว่าคงมิอาจกลั่นค่ายกลขนาดใหญ่ที่น่าอัศจรรย์และทรงพลังมากเช่นนี้ได้
“ไปกันเถิด ยังเหลืออีกขั้นตอนหนึ่ง”
ขณะเอ่ย ร่างซูอี้ก็ร่อนลงสู่ใต้เชิงเขา และเดินเข้าไปในอุโมงค์ลึกที่ถูกขุดเจาะอยู่ในส่วนล่างสุดของภูเขาม่านหยก
หนิงซือฮวารีบตามไปติด ๆ
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงภายในถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ภูเขาลงไป
ตรงกลางถ้ำ มีภาพวาดผังค่ายกลขนาดสิบจั้งอยู่ ลวดลายแน่นขนัดคล้ายกับลายเมฆ ลึกลับยอดเยี่ยมจนมิอาจคาดเดาได้
“นี่คือค่ายกลรวมวิญญาณดาวเหนือ สะท้อนดาวเทียนซู เทียนเสวียน เทียนจี เทียนเฉวียน อวี้เหิง ไคหยาง เหยากวางดาวเหนือบนฟ้าทั้งเจ็ด ผสานกับเทือกเขาและกระแสน้ำบนโลก”
ในขณะที่ซูอี้เอ่ย ก็เดินไปถึงตรงกลางผังค่ายกล พลางสะบัดแขนเสื้อ
พรึบ!
พลันแผ่นหินแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา มันคือแผ่นหินลึกลับหลอมมาจากผลึกเอกภพที่เก๋อฉางหลิงมอบให้ และด้านหนึ่งมีคำทำนายสลักไว้
อาศัยแผ่นหินนี้ในการสะกดพลังภูเขาและแม่น้ำ รวบรวมพลังวิญญาณฟ้าดิน เมื่อทำแบบนี้เป็นเวลานาน ก็จะสามารถทำให้ภูเขาและแม่น้ำแปรเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมและเหมาะสมในการฝึกตน
ตูม!
ซูอี้นำแผ่นหินใส่เข้าไปภายในหลุมตรงกลางค่ายกล ทันใดนั้น ผังค่ายกลราวสิบจั้งส่องแสงออกมาอย่างเงียบ ๆ ยันต์ลายเมฆนับไม่ถ้วนเปล่งแสงริบหรี่เหมือนกับมีชีวิตขึ้นมา
ในอากาศ สะท้อนลวดลายดวงดาวที่ยอดเยี่ยมคาดเดาไม่ได้ออกมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของค่ายกลดาวเหนือ
และจากเวลานี้ไป พลังภูเขาและแม่น้ำพันจั้งที่อยู่ตรงกลางภูเขาม่านหยก ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก พลังวิญญาณฟ้าดินโหมซัดมาทั่วทิศทาง รวมกันอยู่ในภูเขาม่านหยก ผ่านการดึงดูดจากพลังค่ายกลเสวียนจวินห้าธาตุ และทะลักเข้าไปในค่ายกลรวมวิญญาณดาวเหนือในท้องภูเขาลึก
ครืน
หมอกวิญญาณหมุนวนเก็บสะสมไม่หยุด ประหนึ่งกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก
การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์นี้ ทำให้หนิงซือฮวานิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
นางเพิ่งตระหนักได้ว่า ความรู้เรื่องค่ายกลยันต์ของซูอี้ได้มาถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้แล้ว!
“ใช้ค่ายกลรวมวิญญาณดาวเหนือกับแผ่นหินนี้ ดึงดูดพลังวิญญาณฟ้าดินเข้ามา ก็สามารถเป็นแหล่งกำเนิดที่ขับเคลื่อนค่ายกลเสวียนจวินห้าธาตุ สามารถแทรกซึมต้นไม้ใบหญ้าทั่วภูเขาม่านหยก ไม่เกินหนึ่งปี ที่แห่งนี้จะก่อตัวเป็นเทือกเขา ทำให้ภูเขาม่านหยกกลายเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมและเหมาะสมในการฝึกตน”
ซูอี้เดินออกมาจากค่ายกลรวมวิญญาณดาวเหนือ พลางเอ่ย “แม้จะฝึกตนอยู่ในภูเขาตอนนี้ ก็สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ เพียงแต่มันค่อนข้างซับซ้อน ต้องฝึกฝนอย่างหนักและต่อเนื่องถึงจะสามารถใช้ได้”
หนิงซือฮวามองซูอี้อย่างนิ่งเงียบครู่หนึ่ง และเอ่ยอย่างจริงจัง “ที่แท้แล้วสหายเต๋าเป็นเทพเซียนจุติลงมาใช่หรือไม่?”
วิธีการและความชำนาญเช่นนี้ โลกสามัญแห่งนี้จะมีกี่คนที่ทำได้กัน?
ซูอี้กลับส่ายหน้า “วิธีการนี้ก็ไม่นับเป็นอันใดหรอก”
หากเป็นชาติก่อน เพียงแค่เขาดีดนิ้ว ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งปฐพี ทำให้ภูเขาและแม่น้ำปกตินี้ กลายเป็นสถานที่ที่วิเศษสุด
สถานการณ์ในยามนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงวัตถุวิญญาณที่สูญเสียไปมาก อย่างน้อยก็สามารถทำให้ภูเขาม่านหยกก่อตัวเป็นสถานที่ล้ำค่าเหมาะแก่การฝึกตนวิถีต้นกำเนิดได้
ในตอนที่สนทนากัน ทั้งสองได้เดินออกมาด้านนอกภูเขาแล้ว
“นี่คือแผ่นหินค่ายกลที่ควบคุมค่ายกลเสวียนจวินห้าธาตุ คงให้เจ้ารักษาเก็บไว้แล้ว จากนี้ไปภูเขาม่านหยกแห่งนี้คือสถานที่ตั้งสำนักของพวกเรา”
ซูอี้นำแผ่นหินค่ายกลส่งให้แก่หนิงซือฮวา “จริงสิ เรื่องของสำนักต่อจากนี้ ก็ต้องรบกวนเจ้าด้วย”
หนิงซือฮวารู้สึกกดดันในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจไปด้วย จากสิ่งนี้รู้ได้ทันทีว่าซูอี้เชื่อใจนางมาก!
เมื่อคิดครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้น “สหายเต๋า ในเมื่อภูเขาม่านหยกติดตั้งค่ายกลเสวียนจวินห้าธาตุ เช่นนั้นเรียกว่า ‘สำนักเสวียนจวิน’ ไปเลยดีหรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า “ได้”
“เช่นนั้นพวกเราจัดพิธีก่อตั้งสำนักเพื่อป่าวประกาศไปทั่วโลกดีหรือไม่?” หนิงซือฮวาถาม
ซูอี้ส่ายหน้า “ช่างเถิด ไม่ต้องระดมผู้คนมากมาย จากนี้ไปไม่ช้าก็เร็วการมีอยู่ของสำนักเสวียนจวินคงรู้กันไปทั่ว”
หนิงซือฮวาพยักหน้า และตัดสินใจไปเชิญมู่ซี ผูอี้และพันธมิตรคนอื่น ๆ มาเพื่อหารือเรื่องสำนัก
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว
ทั้งสองก็เดินทางกลับตำหนักเทียนหยวน
ทันทีที่ซูอี้กลับมาถึง หลิงเหวินเสวี่ยก็มาหาทันที พลางเอ่ยด้วยความรู้สึกว้าวุ่น
“พี่ซูอี้ ท่านรีบไปดูพี่ฉาจิ่นเร็ว วันนี้นางได้รับจดหมายทางบ้าน จากนั้นนางก็เปลี่ยนเป็นวิตกกังวลขึ้นมาทันที”
ซูอี้ชะงัก และเมื่อมาถึงศาลาหมิงเฉวียน ก็เห็นท่าทางฉาจิ่นที่แบกถุงผ้าไว้ กำลังจะออกเดินทาง
“นี่เจ้ากำลังจะทำสิ่งใด?” ซูอี้ถาม
ฉาจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย ข้าได้รับจดหมายจากทางบ้าน บอกว่าบิดาข้าประสบเหตุร้าย ชีวิตตกอยู่ในอัตราย ข้าอยากจะกลับบ้านไปดู”
คิ้วนางขมวดมุ่น เต็มไปด้วยความวิตก
“เหตุร้ายอันใด?” ซูอี้เลิกคิ้วถาม
ฉาจิ่นเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ในจดหมายบอกว่า บิดาข้าไม่รู้ว่าเหตุใดถึงถูกถอดตำแหน่งและยศจวิ้นอ๋อง ถึงขั้นล้มป่วย ด้วยเหตุนี้ครอบครัวข้าจึงถูกรุกรานจากคนภายนอก สถานการณ์ไม่มั่นคง แม้แต่พี่ชายข้าก็ถูกจับตัวไป…”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฉาจิ่นมาจากต้าเว่ย มีฐานะเป็นศิษย์ของสำนักวงเดือน และเป็นบุตรสาว ‘เสิ่นฉางคง’ หนึ่งในแปดจวิ้นอ๋องแห่งต้าเว่ย เรียกได้ว่าเป็นบุตรสาวของผู้มีอำนาจในอาณาจักรต้าเว่ย
และยามนี้ เสิ่นฉางคงถูกถอดออกจากตำแหน่งจวิ้นอ๋อง ก็รู้ได้ทันทีว่า มันจะส่งผลกระทบต่อตระกูลพวกเขามากเพียงใด
เขาไม่โทษฉาจิ่นที่ยามนี้จะกังวลและกลัดกลุ้มเช่นนี้
เมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง ซูอี้ก็ตัดสินใจ “เอาเถิด ไหน ๆ เวลาว่างข้าไม่มีเรื่องอะไรทำแล้ว ไปต้าเว่ยกับเจ้าสักรอบหนึ่งก็ไม่เป็นไร”