บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 356 คุกเข่า
ตอนที่ 356: คุกเข่า
ตอนที่ 356: คุกเข่า
ฉาจิ่นพยายามระงับโทสะและความสะเทือนใจของตัวเองอย่างสุดกำลัง นางกวาดสายตามองดูผู้ใหญ่ในตระกูลเสิ่นทีละคนช้า ๆ พลางกล่าว
“ข้าเสิ่นฉาจิ่นไม่ใช่คนรักตัวกลัวตาย ขอเพียงพวกท่านบอกความจริงแก่ข้า หากพลีชีพของข้าแล้วสามารถช่วยเหลือคนทั้งตระกูลได้ ข้า… ยินดีรับปาก!”
ประโยคสุดท้าย แทบจะเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่เงียบสงัด
บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายแทบไม่มีใครกล้าสบตามองฉาจิ่น
“แม่หนูน้อย หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์บังคับ พวกเรามีหรือจะตัดใจทำร้ายเจ้าลง? เจ้าจงรับรู้เพียงแต่ว่า พวกเราทำไปเพราะความจำเป็น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
มีผู้ใหญ่คนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ฉาจิ่น ตระกูลเสิ่นเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่เช่นนี้ เคยทำให้เจ้าต้องลำบากหรือไม่? ตอนนี้ตระกูลของพวกเราเผชิญกับอันตราย เจ้าก็ควรจะรู้จักตอบแทนพระคุณตระกูล เกิดเป็นคน… จะเห็นแก่ตัวจนเกินไปไม่ได้!”
ผู้ใหญ่บางคนต่อว่าฉาจิ่นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เห็นแก่ตัว?”
ฉาจิ่นโมโหจนตัวสั่น ดวงตาทั้งสองแทบมีไฟลุก “กระทั่งเหตุผลก็ยังไม่บอกแก่ข้า พวกท่านก็ละทิ้งข้าเช่นนี้แล้ว ให้ข้าไปตาย แล้วยังมาหาว่าข้า… เห็นแก่ตัว?”
นางเริ่มควบคุมอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้แล้ว
ขณะที่พูด นางเบนสายตามองไปที่เสิ่นเหยียนสิง “พี่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของข้า ต้องการให้ข้าไปตายด้วยเช่นนั้นหรือ?”
สีหน้าของเสิ่นเหยียนสิงสับสนว้าวุ่น ฉับพลันกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “ฉาจิ่น อย่าทำตัวเป็นเด็ก ๆ อีกได้หรือไม่? หากว่าทำได้ ข้ายินดียอมตายแทนเจ้า แต่ต่อให้ข้าตายก็ไม่อาจช่วยเหลือตระกูลพวกเราได้ รู้หรือไม่!”
หัวใจของฉาจิ่นราวกับถูกคมมีดบาดเชือดเฉือน ใบหน้างามขาวซีด แล้วกล่าว “พูดไปพูดมา ใจของท่านพี่ทอดทิ้งข้าไปตั้งนานแล้ว…”
สูดลมหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่งแล้ว นางจึงเบนสายตามองไปที่เสิ่นฉางคงผู้เป็นบิดาซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ก่อนจะกล่าว “ท่านพ่อ ข้าเพียงอยากรู้เหตุผลข้อเดียวเท่านั้น ในเมื่อจะให้ข้าไปตาย อย่างน้อยก็ควรให้ข้าเข้าใจว่าที่แท้เพราะเหตุใดไม่ใช่หรือ?”
เพียะ!
เสิ่นฉางคงหน้าเขียวปั้ด ฟาดมือลงบนที่รองแขนของเก้าอี้ กล่าว “ในเมื่อเจ้าต้องการจะรู้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้า หากไม่ใช่เพราะเรื่องราวที่เจ้ากระทำตอนอยู่ในต้าโจว ตระกูลเสิ่นของพวกเราจะต้องพลอยเดือดร้อนด้วยเช่นนี้หรือ?”
เขายืดตัวลุกขึ้น กล่าวด้วยความโกรธ “ตัวเองก่อเรื่องขึ้น ก็ควรจะรับผลที่ก่อขึ้นด้วยตนเอง! ไม่ใช่กล่าวโทษผู้ใหญ่ในตระกูลว่าไร้หัวใจ!”
คำกล่าวแต่ละคำราวกับค้อนหนักที่ตอกลงบนหัวใจของฉาจิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ใบหน้างดงามของนางขาวซีด มือเท้าเย็นชาราวกับหล่นไปอยู่ในห้องน้ำแข็ง
ฉาจิ่นตื่นตระหนกอย่างแรง พลางกล่าวพึมพำ “เดิมทีข้าคิดว่า ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูลเสิ่น ควรจะเกิดและดับพร้อมกับวงศ์ตระกูล ไม่นึกเลยว่า เป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้น แม้กระทั่งบิดากับพี่ชายแท้ ๆ ของข้าก็ยังทอดทิ้งข้า…”
เวลานี้เอง…
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากนอกห้องโถง “ฉาจิ่น ท่านลุงเสิ่นกล่าวไม่ผิด เจ้าเป็นคนก่อเหตุวุ่นวายขึ้น จะให้คนอื่น ๆ ในตระกูลมาเดือดร้อนพร้อมกับเจ้าได้เช่นไรกัน?”
พร้อมกับเสียง ลู่หาวในชุดยาวสีแดงพาบ่าวรับใช้เฒ่าสองคนเดินเข้ามาในห้องโถง
“คารวะคุณชายลู่”
ฉับพลัน เสิ่นฉางคงกับผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องโถงก็ลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันและหันไปคารวะต่อลู่หาว แสดงความหวาดกลัวและนอบน้อมเชื่อฟังออกมาทางสีหน้า
“ศิษย์พี่ลู่หาว?”
ฉาจิ่นเบิกตากว้าง
“อย่าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ข้ามิกล้าอาจเอื้อม”
ลู่หาวกล่าวเสียงเย็นชา “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ตามข้าไป”
พูดจบ เขาก็กวาดสายตามองดูเสิ่นฉางคงกับคนอื่น ๆ พลางกล่าว “ทุกท่านไม่ขัดข้องกระมัง?”
“ย่อมไม่ขัดข้อง”
เสิ่นฉางคงฝืนยิ้มออกมา “ก่อนหน้านี้พวกข้าตั้งใจไว้ว่าจะพาฉาจิ่นไปส่งถึงสำนักวงเดือน ไม่นึกเลยว่าคุณชายลู่จะมารับนางด้วยตนเอง”
คนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มพลางพยักหน้า
ฉาจิ่นกล่าวแบบไม่อยากจะเชื่อ “ภัยพิบัติที่ตระกูลเสิ่นของข้ากำลังเผชิญเกี่ยวข้องกับเจ้า?!”
ลู่หาวกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าไม่ได้มีความสามารถถึงเพียงนั้น ถึงเวลานี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าสำนักวงเดือนต้องการจะจัดการกับศิษย์ทรยศอย่างเจ้า!”
สำนักวงเดือน!
ศิษย์ทรยศ!?
ร่างของฉาจิ่นสั่นสะท้าน ในที่สุดก็เข้าใจ แล้วกล่าว “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง… มิน่าเล่า แม้กระทั่งญาติมิตรเหล่านี้ของข้าก็ยังตัดใจทอดทิ้งข้าได้ลงคอ…”
เสิ่นเหยียนสิงกล่าวปลอบใจ “น้องสาว ในเมื่อเข้าใจแล้ว จงติดตามคุณชายลู่ไปเถิด ภัยพิบัติเช่นนี้ ตระกูลเสิ่นของพวกเราไม่อาจรับได้ไหว”
ชั่วขณะนี้ สีหน้าของฉาจิ่นแข็งกระด้าง หัวใจเย็นชา
ความเศร้าเสียใจใด ๆ ก็ไม่รุนแรงเท่ากับการที่หัวใจได้ตายไปแล้ว
สำหรับตระกูลเสิ่น นางผิดหวังอย่างแรง และไม่ต้องการจะมีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาอีกต่อไป!
“ฉาจิ่น รีบตามพวกเราไปดีกว่า”
พูดจบ ลู่หาวก็เอื้อมมือไปกระชากแขนของฉาจิ่น
เพียะ!
ฉาจิ่นพลิกฝ่ามือตบหน้าหล่อเหลาของลู่หาวอย่างแรง เสียงดังฟังชัด จนถึงกับตัวเซถลาลงไปนั่งกองกับพื้น ใบหน้าข้างหนึ่งแดงบวมขึ้นมา
“นังคนสารเลว กล้าดีอย่างไรถึงมาตบข้า?”
ลู่หาวเอามือกุมหน้า ร้องตะโกนด้วยความเจ็บใจ
สีหน้าของเสิ่นฉางคงกับผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ตระกูลเสิ่นต่างก็เปลี่ยนไป มองดูฉาจิ่นด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“คนสารเลว! ยังไม่รีบคุกเข่าขออภัยต่อคุณชายลู่อีก?”
เสิ่นฉางคงหน้าเขียวตาขวาง โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
“คุกเข่าลง!”
ผู้อาวุโสใหญ่เสิ่นซานจ้งตะคอกเสียงดังน่ากลัว
คนอื่น ๆ ต่างก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ
ฝ่ามือของฉาจิ่นทำให้พวกเขาตกตะลึง เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องผิดใจต่อลู่หาว ทำให้ตระกูลเสิ่นของพวกเขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“คุณชายลู่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เสิ่นเหยียนสิงรีบเดินไปข้างหน้าประคองลู่หาวให้ลุกขึ้น
“ไสหัวไป!”
ลู่หาวถีบท้องของเสิ่นเหยียนสิงจนถึงกับถอยออกไป เจ็บจนตัวบิดงอ หน้าแดงก่ำราวกับกุ้มต้มสุก
“คนสารเลว ข้าอดทนต่อเจ้ามานานมากแล้ว!”
ลู่หาวลุกขึ้น ก่อนจะพุ่งมาข้างหน้า แล้วยกมือจะตบหน้าฉาจิ่น
เสิ่นฉางคงรีบก้าวออกมาขวาง กล่าวพร้อมกับแย้มยิ้ม “คุณชายลู่อย่าได้โกรธ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ให้ข้าจัดการดีกว่า”
พูดจบ เขามองดูฉาจิ่นด้วยสายตาดุดัน พลางกล่าว “ลูกรัก ชีวิตของเจ้า ข้าเสิ่นฉางคงเป็นผู้มอบให้ ตอนนี้ หากว่าเจ้ายังคงนับถือข้าเป็นบิดา ก็จงคุกเข่าลงแต่โดยดี และไปขออภัยต่อคุณชายลู่ มิเช่นนั้น อย่าหาว่าข้าจับเจ้า!”
สีหน้าของฉาจิ่นแข็งกระด้างยิ่งกว่าเดิม นี่… คือคำพูดของผู้ที่เป็นบิดาเช่นนั้นหรือ?
“รีบคุกเข่าลง!!”
ไม่ไกลเท่าใดนัก เสิ่นเหยียนสิงถูกลู่หาวถีบ แต่กลับระบายความโกรธเอากับฉาจิ่น กล่าวด้วยความโกรธหน้าตาดุดัน “เจ้าต้องการจะทำร้ายพวกเราทุกคนให้ตายกันจนหมดเช่นนั้นหรือ!?”
ในที่สุดฉาจิ่นก็ตั้งสติได้ กล่าว “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าฉาจิ่นไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเสิ่นอีก!”
พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินออกไป
ที่นี่คือบ้านที่นางอยู่อาศัยมาตั้งแต่เล็กจนโต ทว่าตอนนี้ ที่นี่กลายเป็นสถานที่สร้างความเสียใจ ทำให้นางรู้สึกรังเกียจอย่างที่สุด จนไม่อยากจะอยู่ที่นี่แม้แต่ชั่วครู่เดียว
“หยุดก่อน! ใครให้เจ้าไปกัน? ไม่คุกเข่า ไม่ขอโทษ อย่าคิดว่าจะได้ไป!”
ลู่หาวตะคอกด้วยเสียงดุ
ขณะที่เขาพูด เสิ่นฉางคงก็ซัดฝ่ามือออกไปตบไหล่ฉาจิ่นเพื่อบีบให้นางคุกเข่า และกล่าวขอโทษต่อลู่หาว
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผู้ใหญ่ทุกคนในตระกูลเสิ่นต่างก็มีสีหน้าไม่พึงพอใจ ตั้งใจไว้ว่าหากฉาจิ่นคิดจะฉวยโอกาสหนี จะจับตัวนางในทันใด
และในขณะนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ฉาจิ่น เจ้าจากไปเช่นนี้ ไม่เท่ากับเข้าทางคนสารเลวพวกนี้หรอกหรือ?”
เสียงหนึ่งดังขึ้น…
เสิ่นฉางคงหน้ามืดตาลาย รู้สึกราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่ชนจนกระเด็นออกไปอย่างแรง ร่วงหล่นไปอยู่บนโต๊ะที่ไกลออกไปสิบกว่าจั้ง โต๊ะถึงกับยุบ เศษไม้ปลิวว่อน
ขณะที่สิ้นสุดเสียง ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็มายืนอยู่ข้างกายฉาจิ่น
ชุดคลุมยาวสีเขียวประดุจหยก งดงามเบาสบาย
ซูอี้นั่นเอง
“คุณชาย…”
ฉาจิ่นรู้สึกราวกับเพิ่งพบหลักที่พึ่ง ความน้อยเนื้อต่ำใจและผิดหวังเต็มหัวใจกลับกลายเป็นน้ำตาเอ่อล้นออกมานอกเบ้าตา หยุดไม่อยู่
ขณะที่บิดาแท้ ๆ กับพี่ชายตัดใจทอดทิ้งนาง การดำรงอยู่ของซูอี้ได้ทำให้หัวใจที่มีแต่ความหวาดกลัวและสิ้นหวังของนางค้นพบสถานที่พักพิง
“อย่าร้อง เจ้ามีข้าอยู่” ซูอี้กล่าวเบา ๆ
“เจ้าเป็นใคร บังอาจบุกรุกจวนตระกูลเสิ่นของข้า?”
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนร้องด่า
ซูอี้เบนสายตามองไป
ครืน!
จิตวิญญาณของผู้เฒ่าผมขาวโพลนราวกับถูกดาบแหลมคมเชือดเฉือน เลือดไหลทะลักออกจากเจ็ดทวาร ส่งเสียงร้องโอดครวญ ร่างอ่อนปวกเปียกอยู่กับพื้น
พลังจิตสัมผัสของซูอี้ในตอนนี้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด ผู้ฝึกยุทธ์ในโลกสามัญเช่นนี้ใช่จะต้านทานรับไหวได้ไม่
ทั้งหมดสงบนิ่งเงียบราวกับป่าช้า ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน
ในเวลานี้ ลู่หาวรู้สึกราวกับตื่นจากความฝัน ร้องตะโกนตกใจ “ซูอี้ เหตุใดจึงเป็นเจ้าได้!?”
ซูอี้!
เพียงแค่ชื่อ ๆ หนึ่งเท่านั้น ทว่าสำหรับผู้อาวุโสในตระกูลเสิ่นเหล่านั้นราวกับถูกสายฟ้าฟาดในวันฟ้าสว่าง ทุกคนต่างก็นิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นนครหลวงเทียนเชวียแห่งต้าเว่ย ทว่าสำหรับผู้อาวุโสในตระกูลเสิ่นแล้ว จะไม่รู้เรื่องการต่อสู้อันยิ่งใหญ่บนน่านฟ้านครหลวงอวี้จิงแห่งต้าโจวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่สี่เดือนห้าได้เช่นใด?
คนหนุ่มซูอี้เป็นดั่งตำนานที่เล่าขาน ฆ่าเทพเซียนเดินดินสิบกว่าคน ฟันคอขาดหัวกลิ้งขลุก ๆ ฟ้าดินเปลี่ยนสี การสู้รบอันน่าสยดสยองเช่นนี้รู้กันไปทั่วต้าเว่ยแล้ว!
เพียงแต่ว่า ผู้อาวุโสในตระกูลเสิ่นเหล่านี้ไม่คาดคิดมาก่อนว่า บุคคลในตำนาน ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจว’ จะมาปรากฏตัวอยู่ที่จวนตระกูลเสิ่นของพวกเขาในเวลานี้!
ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขางุนงงมาก
“คุกเข่าลง”
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจกับคนเหล่านี้ ทว่าเบนสายตามองไปที่ลู่หาว พูดสั้น ๆ ง่าย ๆ เพียงแค่คำเดียว ทว่าแฝงไว้ซึ่งพลังอันน่าเกรงกลัว
จากนั้นร่างของลู่หาวก็ร่วงตุบคุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นระริก หวาดกลัวอย่างขีดสุด ขณะที่กำลังจะร้องตะโกนก็พบว่าร้องไม่ออกแม้แต่แอะเดียว ราวกับถูกใครร่ายมนต์ใส่
“ประเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”
ซูอี้พูดพลางเบนสายตามองไปที่เสิ่นฉางคงซึ่งอยู่ห่างออกไป กล่าวเสียงราบเรียบ “ในฐานะที่เป็นบิดา กลับหวาดเกรงแรงกดดันจากคนภายนอก ตัดใจทอดทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ ของตน แย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน”
พูดจบ เขายกมือขึ้นตั้งท่าจะฆ่าเสิ่นฉางคง แต่กลับถูกฉาจิ่นห้ามเอาไว้ นางกล่าวเบา ๆ “คุณชาย ข้าตัดสัมพันธ์กับตระกูลเสิ่นแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันอีก ท่าน… อย่าได้โกรธเพราะเรื่องนี้อีกเลย”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร เห็นแล้วรู้สึกสงสาร
“โทษตายสามารถละเว้นได้ แต่โทษอยู่ยากนักจะละเว้น”
ซูอี้พูดพลาง ชี้ไปที่เสิ่นฉางคง “คุกเข่าลง”
ปัง!
เสิ่นฉางคงคุกเข่าตามเสียง ผมปล่อยยาวสยาย กระดูกหัวเข่าสองข้างแตกร้าว
เสิ่นฉางคงเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้มีชื่อเสียงดังไปทั่วต้าเว่ยเช่นกัน ทว่าเวลานี้กลับเปรียบดังมดตะนอยตัวหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำให้ผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูลเสิ่นต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ ร่างหนาวเหน็บ
“พวกเจ้าคุกเข่าด้วย”
ซูอี้ยื่นมือออกไปกดกลางอากาศ
ครืน!
อานุภาพอันน่าหวาดกลัวราวกับภูเขาถล่มมหาสมุทรทลายกดทับตัวเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเสิ่น ทำให้พวกเขาต้องคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ศีรษะของแต่ละคนแนบติดกับพื้น
ฉับพลัน ห้องโถงกว้างขวางโอ่อ่าเหลือแต่เพียงซูอี้กับฉาจิ่นเพียงสองคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ มองออกไป บนพื้นมีแต่คนคุกเข่ากราบด้วยความหวาดเกรง
ฉาจิ่นมีสีหน้าสับสน
ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสเหล่านี้ยังคงทำท่าบีบคั้นด้วยหน้าตาที่น่ากลัว ต้องการจะบีบบังคับให้นางคุกเข่าและกล่าวขอโทษต่อลู่หาว
ทว่าตอนนี้ เมื่อคุณชายปรากฏตัว เพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้นก็ทำให้คนเหล่านี้ล้วนต้องคุกเข่าลงกับพื้น!