บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 357 โลกซ่อนในข้าวหนึ่งเมล็ด
ตอนที่ 357: โลกซ่อนในข้าวหนึ่งเมล็ด
ตอนที่ 357: โลกซ่อนในข้าวหนึ่งเมล็ด
“เป็นเพราะสำนักวงเดือนบุกฆ่าถึงที่ บอกว่าหากไม่มอบตัวฉาจิ่นออกมา พวกเขาจะฆ่าทุกคนในตระกูลเสิ่นของข้า พวกเราตระกูลเสิ่นต่างจนปัญญา หากว่าเจ้าเก่งจริง ก็ไปเอาเรื่องกับสำนักวงเดือนเสียสิ”
เสิ่นเหยียนสิงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นร้องตะโกนออกมาอย่างสุดแรง
พอเขาพูดเช่นนี้
ทุกคนในห้องโถงต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เสิ่นฉางคงตกใจจนหน้าถอดสี หน้ามืดจะเป็นลม
คนหนุ่มอย่างเสิ่นเหยียนสิง อยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการเอาอกเอาใจจากผู้อาวุโสในตระกูล และยังใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรต้าเว่ยมาโดยตลอด เข้าใจว่าโลกทั้งใบก็คืออาณาจักรต้าเว่ย จะรู้ถึงตัวตนอันน่ากลัวเช่นซูอี้ได้เช่นไร?
“หากว่าข้าต้องการจะเอาเรื่องตระกูลเสิ่นของเจ้าจริง ที่ตรงนี้คงมีแต่หัวคนกลิ้งขลุก ๆ เลือดไหลเป็นแม่น้ำไปนานแล้ว ยังจะให้โอกาสเจ้าได้พูดพร่ำเพรื่ออยู่ตรงนี้อีกหรือ”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
พูดจบ เขาก็เอื้อมมือออกไปหิ้วตัวลู่หาว แล้วกล่าวกับฉาจิ่นว่า “ไปกันเถิด”
เขาก็คร้านจะอยู่ที่นี่ต่อเช่นกัน
“ซูอี้ ปล่อยคุณชายน้อยของพวกข้าเดี๋ยวนี้!”
เวลานี้ หนึ่งในบ่าวรับใช้เฒ่าสองคนที่ติดตามลู่หาวมาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วจึงเอ่ยปากร้องด่า
“ที่นี่เป็นแผ่นดินต้าเว่ย เป็นถิ่นของสำนักวงเดือน ไม่ใช่ของ…”
“หืม?”
ยังพูดไม่จบ ซูอี้ก็หรี่ตา ประกายสายตาสองข้างจับตัวเป็นหนึ่งและพุ่งออกจากดวงตาของเขา
พอบ่าวรับใช้เฒ่าคนนั้นมองเห็นจิตสัมผัสของซูอี้ ทั้งร่างพลันสั่นสะท้านราวกับถูกค้อนหนักทุบ ทันใดก็อ่อนยวบ ถอยร่นไปเจ็ดแปดก้าว สุดท้ายก็ร่วงไปกองอยู่กับพื้น เลือดไหลทะลักออกจากเจ็ดทวารจนตาย
ทุกคนสูดปากอย่างแรง
บ่าวรับใช้เฒ่าคนนั้นก็เป็นคนของสำนักวงเดือนเช่นกัน ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง แต่ผลปรากฏว่าไม่อาจทำได้แม้กระทั่งต้านทานสายตาของซูอี้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าต่อหน้าซูอี้ ทุก ๆ คนก็มิต่างกับมดตะนอยตัวหนึ่งเท่านั้นหรือ?
คนหนุ่มผู้เปรียบประหนึ่งตำนาน แข็งแกร่งมากจนทำให้ทุกคนสิ้นไร้ซึ่งความหวัง!
ถัดจากนั้น ภายใต้สายตาหวาดกลัวของทุก ๆ คน ซูอี้กับฉาจิ่นก็เดินออกไปไกลทุกที
จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน
เสิ่นฉางคงกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในตระกูลเสิ่นจึงกล้าลุกขึ้นจากพื้น แต่ละคนมีสีหน้าตื่นตระหนกหวาดกลัว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นและหมองหม่น
ใครจะคาดคิดว่าฉาจิ่นกลับมาครั้งนี้จะพาซูอี้ผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานคนนี้กลับมาด้วย?
หากรู้เช่นนี้เสียแต่แรก พวกเขาจะกล้าปฏิบัติต่อฉาจิ่นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ไหนบอกว่าฉาจิ่นเป็นเพียงแค่หญิงรับใช้ที่คอยยกชายกน้ำข้างกายซูอี้เท่านั้นไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดซูอี้จึงได้ให้ความสำคัญต่อนางถึงเพียงนี้ จนถึงขั้นช่วยออกหน้าแทนนางด้วย?”
สีหน้าของเสิ่นเหยียนสิงสับสน
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในตระกูลเสิ่นต่างก็สงสัยเช่นกัน พวกเขาเคยได้ยินลู่หาวบอกว่า ฉาจิ่นอยู่ข้างกายซูอี้ในฐานะที่ต่ำต้อย และเป็นเพียงแค่หญิงรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเข้าใจไปว่าพวกตนสามารถจัดการกับฉาจิ่นเช่นใดก็ได้ ทว่าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าซูอี้จะเดินทางไกลมาสู่อาณาจักรต้าเว่ยพร้อมกับฉาจิ่น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
และในเวลานี้เอง บ่าวรับใช้อีกคนที่ติดตามลู่หาวมาก็หัวเราะเสียงดังออกมา
บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเคียดแค้น พลางกล่าวคำ “เป็นไปตามที่เจ้าสำนักคาดคิดไว้จริง ๆ ซูอี้คนนี้ก็ตามมาด้วยเช่นกัน! คราวนี้ รับรองว่าเขามาแล้วจะไร้วันกลับ!”
เสิ่นฉางคงกับคนอื่น ๆ พากันตื่นตะลึงงง
“ใต้เท้า เรื่องนี้… ที่แท้มันเป็นอย่างไรกันแน่ขอรับ?”
เสิ่นฉางคงอดถามขึ้นมาไม่ได้
บ่าวรับใช้เฒ่าคนนั้นกวาดตามองดูเสิ่นฉางคงกับคนอื่น ๆ แล้วหัวเราะพลางกล่าว “ยินดีกับทุกท่านด้วย ครั้งนี้ตระกูลเสิ่นของพวกเจ้าสร้างความชอบยิ่งใหญ่! เมื่อสำนักวงเดือนของพวกเราฆ่าซูอี้แล้วจะมอบรางวัลอย่างงามให้แก่พวกเจ้า!”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ ไม่สนใจแม้กระทั่งศพของสหาย…
จนกระทั่งบ่าวรับใช้เฒ่าคนนั้นจากไป เสิ่นฉางคงราวกับได้สติกลับมา สีหน้าย่ำแย่ กัดฟันพลางกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว! ที่แท้สำนักวงเดือนไม่ได้ต้องการตัวฉาจิ่น เพียงแต่ใช้ฉาจิ่นเป็นเหยื่อล่อ เพื่อดักจับปลาตัวใหญ่อย่างซูอี้เท่านั้น!!”
พอพูดเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างก็ร้องอ้อ
มีคนอดกลั้นไม่ไหวถามขึ้นมา “เหตุใดสำนักวงเดือนจึงมั่นใจนักว่าหากฉาจิ่นกลับมา ซูอี้จะต้องกลับมาด้วย?”
คนอื่น ๆ ก็สงสัยเช่นกัน
“พวกเราต่างก็เข้าใจว่า ซูอี้จับตัวฉาจิ่นไปเป็นเพียงแค่หญิงรับใช้เท่านั้น แต่สำนักวงเดือนจะต้องรู้ก่อนแต่แรกแล้วว่าสำหรับซูอี้แล้ว ฉาจิ่นอยู่ในสถานะที่ไม่ธรรมดาเลย!”
เสิ่นฉางคงหน้าเขียว เจ็บใจจนกัดฟันกรอด ๆ ในใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ในอาณาจักรต้าเว่ย ตระกูลเสิ่นของพวกเขาก็เป็นตระกูลใหญ่ระดับสุดยอด มีชื่อเสียงโด่งดัง ทว่าต่อหน้ากองกำลังผู้ฝึกตนไม่ว่าจะเป็นสำนักวงเดือนก็ดี หรือว่าต่อหน้าซูอี้ผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานเช่นนี้ก็ดี ล้วนเปรียบได้กับมดตะนอยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น ใครจะทำอะไรก็ได้!
“ท่านพ่อ พวกเรา… ยังสามารถหว่านล้อมน้องสาวให้กลับมาได้อีกหรือไม่?”
เสิ่นเหยียนสิงอดกล่าวออกมาไม่ได้ “หากว่ามีซูอี้คอยหนุนหลัง วันข้างหน้าตระกูลเสิ่นของพวกเรายังจำเป็นต้องดูสีหน้าของคนอื่นอีกเช่นนั้นหรือ?”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา คนจำนวนไม่น้อยต่างก็คิดคล้อยตาม
“เหลวไหล!”
ทว่าเสิ่นซานจ้งผู้อาวุโสใหญ่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ซูอี้แข็งแกร่งก็จริง ทว่าในเมื่อสำนักวงเดือนกล้าใช้ฉาจิ่นเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ซูอี้มาถึงอาณาจักรต้าเว่ย คิดหรือว่าพวกเขาจะไม่มีวิธีฆ่าซูอี้?”
สายตาสีหน้าของคนทั้งหลายแปรเปลี่ยน
“ตระกูลเสิ่นของพวกเราไม่อาจผิดใจต่อซูอี้ได้ คอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน วันตายของซูอี้ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”
สายตาของเสิ่นซานจ้งมีความอาฆาต
เดิมทีเสิ่นเหยียนสิงยังคิดอยู่ว่าจะสานสัมพันธ์กับฉาจิ่น จะได้ถือโอกาสรู้จักกับซูอี้ไปด้วย เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วถึงกับเงียบไป
เสิ่นฉางคงกับคนอื่น ๆ ก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน
——
ออกจากจวนตระกูลเสิ่นแล้ว ซูอี้จึงได้หาสถานที่พักที่ห่างไกลผู้คน
จากนั้นก็โยนลู่หาวที่ทำท่าทางราวกับสุนัขตายแล้วลงกับพื้น แล้วถาม “พูดมา เหตุใดจึงคิดหาเรื่องฉาจิ่น?”
ลู่หาวตอบด้วยความตื่นตระหนก “ข้าบอกไปแล้ว เจ้าจะไว้ชีวิตข้าใช่หรือไม่?”
ซูอี้ดีดนิ้ว
เอื๊อก!
หัวไหล่ของลู่หาวถูกแทงจนเป็นรูเลือดไหล เจ็บจนต้องร้องโอดครวญ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น” สีหน้าของซูอี้ราบเรียบ
ไม่มีการข่มขู่ ไม่มีการบีบบังคับ ทว่าคำกล่าวที่เรียบง่ายนั้นกลับทำให้ลู่หาวตื่นตระหนกเสียขวัญ เขาจึงรีบเอ่ยออกมา
“ข้ารู้แต่เพียงว่า หลังจากที่รู้ว่าฉาจิ่นทำงานรับใช้อยู่ข้างกายเจ้าแล้ว เจ้าสำนักวงเดือนของพวกข้าโกรธมาก คิดว่าฉาจิ่นเป็นศิษย์ทรยศของสำนักวงเดือน จะต้องลงโทษอย่างหนัก จึงเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น”
“ไม่มีสาเหตุอื่นอีกแล้วเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย
ทั้ง ๆ ที่สำนักวงเดือนก็รู้ว่าฉาจิ่นเป็นคนข้างกายของเขา ยังกล้าใช้วิธีนี้บีบบังคับตระกูลเสิ่นเพื่อจัดการกับฉาจิ่น เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดนัก
นอกเสียจากว่า สำนักวงเดือนทำเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาไม่กล้าประกาศศึกกับตนเองโดยตรง ดังนั้นจึงมาลงที่ฉาจิ่น
ทว่าหากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ของสำนักวงเดือนจะดูด้อยเกินไป
ลู่หาวแย่งพูด “นี่เป็นคำสั่งของเจ้าสำนัก ข้าเพียงแต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เรื่องอื่น ๆ ข้าไม่รู้แม้แต่น้อย”
“ช่างเถิด ข้าไปที่สำนักวงเดือนโดยตรงก็รู้”
ซูอี้ส่ายหน้า พลันสะบัดแขนเสื้อ
เพลิงไฟสีเขียวผุดออกมา ลู่หาวยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างก็กลายเป็นผุยผงเสียแล้ว
“คุณชายจะไปที่สำนักวงเดือนเช่นนั้นหรือ?”
ใบหน้างดงามของฉาจิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ถึงแม้ตระกูลเสิ่นจะทำสิ่งเลวร้าย ก็ยังถือได้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ แต่สำนักวงเดือนไม่อาจหนีความผิดของตัวเองไปได้”
ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ข้ามาพร้อมกับเจ้า คงไม่รู้เลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด ครั้งนี้หากไม่ไปสำนักวงเดือนสักครั้ง จะไม่เป็นการเข้าทางพวกเขาหรอกหรือ?”
ความเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกตงิด ๆ ในใจแล้วว่าเหตุการณ์ที่ฉาจิ่นเจอ ที่แท้แล้วเจาะจงมาที่ตัวเขา!
“ไปกันเถิด”
ซูอี้พูดพลางเดินไปข้างหน้าแล้ว
——
สำนักวงเดือนเป็นสถานที่ฝึกตนอันดับหนึ่งในอาณาจักรต้าเว่ย ซึ่งตั้งอยู่บน ‘หุบเขารังอสูร’ และอยู่ห่างจากนครหลวงเทียนเชวียออกไปสามร้อยกว่าลี้
เจ้าสำนักวงเดือนคนปัจจุบันมีนามว่าฉู่อวี้โค่ว มีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ เขาดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลาสี่สิบกว่าปีแล้ว
เขาเป็นคนเข้าใจยาก ไม่แสดงความรู้สึก อยู่ในอาณาจักรต้าเว่ยได้รับฉายาว่าเป็น ‘เซียนดาบหน้าเหล็ก’
ยอดเขากระเรียนบิน
ซึ่งเป็นตำหนักใหญ่ของสำนัก
“เจ้าสำนัก ซูอี้มาถึงเมืองเทียนเชวียแล้ว!”
ผู้อาวุโสสายในของสำนักวงเดือนคนหนึ่งรีบมารายงาน
“เช่นนั้นหรือ? จงเล่ามาให้ละเอียด”
ฉู่อวี้โค่ววางจอกน้ำชาในมือลง สายตาเป็นประกายราวกับสะเก็ดแสงระยิบระยับ น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เขามีรูปร่างผอม ผมยาวปล่อยสยาย สวมชุดคลุมยาวสีเขียวหยก สวมหมวกทรงสูง นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางน่ายำเกรงราวกับมังกรผงาด
“เมื่อสักครู่นี้ ซูอี้กับฉาจิ่นไปถึงจวนตระกูลเสิ่น…”
ผู้อาวุโสผู้นั้นรายงานอย่างรวดเร็วราวกับเห็นมากับตา เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลเสิ่นออกมาอย่างละเอียดยิบ
เล่าจบแล้ว ฉู่อวี้โค่วถึงกับหัวเราะพลางลูบหมัด พลางกล่าว “ตามความคาดหมาย ข้อมูลที่พวกเราสืบมาได้นั้นไม่ผิดเลย ซูอี้คนนี้เป็นห่วงฉาจิ่นมาก ไม่เช่นนั้นจะโกรธเกรี้ยวเพื่อหญิงงามได้เช่นใด? แล้วตัวของซูอี้เล่า ตอนนี้ยังคงอยู่ในนครหลวงหรือไม่?”
ผู้อาวุโสคนนั้นยังกล่าวรายงานต่อ “ตามที่นกกระจอกสีเทากลับมาแจ้ง หลังจากที่ซูอี้กับฉาจิ่นออกจากจวนตระกูลเสิ่นแล้ว ก็เดินทางออกจากนครหลวง มุ่งตรงมายังสำนักของพวกเรา”
ฉู่อวี้โค่วตะลึง ทันใดกล่าวรำพึงออกมา “ไม่เสียแรงเลยที่เป็นบุคคลในตำนานของอาณาจักรต้าโจว เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ก็ยังกล้าพาตัวถ่วงอย่างฉาจิ่นมายังสำนักวงเดือนของพวกเรา ความอาจหาญเช่นนี้ข้ามิอาจเทียบเทียมได้”
ผู้อาวุโสท่านนั้นพยักหน้าเช่นกัน พลางกล่าว “ซูอี้คนนี้ช่างเหลือเชื่อเสียจริง บางคนกล่าวว่าเขาเป็นผู้สิงสถิต บางคนก็บอกว่าเขาสืบทอดเชื้อสายวิถีโบราณ และก็มีบางคนกล่าวว่า โชคลาภในตัวของเขามาจากเยี่ยอวี่เฟยผู้เป็นมารดา ทว่าตอนนี้ ยังไม่มีใครคนใดสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ คน ๆ นี้… ราวกับปมปริศนาแท้ ๆ”
“เหตุผิดปกติจะต้องมีเหตุประหลาดนำพา หากว่าซูอี้อยู่ในอาณาจักรต้าโจวดี ๆ บางทีสำนักวงเดือนของพวกเราอาจไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่ในเมื่อเขามาถึงที่แล้ว พวกเราจะไม่ออกไปต้อนรับเขาให้เต็มที่สักหน่อยได้เช่นไร?”
พูดจบ ฉู่อวี้โค่วก็ลุกขึ้น “ผู้อาวุโสเฉา เจ้าไปบอกกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในสำนัก ให้เตรียมการตามแผนที่ข้าเคยบอกไว้”
“ขอรับ!” ผู้อาวุโสคนนั้นรับคำสั่ง
“ปลาติดเบ็ดแล้ว ถึงเวลาที่ต้องไปพบผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว”
ฉู่อวี้โค่วสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไปจากตำหนักใหญ่ประจำสำนัก
สันเขาบึงน้อย
ที่นี่คือสถานที่ต้องห้ามหลังเขาของสำนักวงเดือน หากไม่มีคำอนุญาตของเจ้าสำนักฉู่อวี้โค่ว อย่าว่าแต่ผู้สืบทอดสำนักเลย แม้กระทั่งผู้อาวุโสในสำนักเหล่านั้นก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้แม้แต่ก้าวเดียว
‘ชิวเหิงคง’ ผู้อาวุโสสูงสุดปิดตนฝึกฝนอยู่ที่สันเขาบึงน้อยแห่งนี้มานานมากแล้ว จนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาห้าสิบปีแล้ว!
ปราณวิญญาณเดือดพล่าน ภูเขามืดสลัว
ใต้สันเขาบึงน้อย มีบึงสีดำรูปสี่เหลี่ยม ในบึงมีดอกบัวช่อหนึ่งเบ่งบาน มีก้านสีเขียว กลีบดอกสีทอง
บึงล้างใจ
มีความหมายว่า ‘ชำระล้างฝึกจิตวิญญาณ ตัดสิ้นทางโลก’
ด้านหนึ่งของบึงล้างใจมีถ้ำแห่งหนึ่ง สองข้างของตัวถ้ำสลักอักษรคำกลอนไว้ว่า
‘โลกซ่อนในข้าวหนึ่งเมล็ด ครึ่งกระทะต้มเฉียนคุน’
ฉู่อวี้โค่วมาถึงหน้าถ้ำ อันดับแรกเขามองดูดอกบัวโยกย้ายส่ายขยับในบึงล้างใจ จากนั้นชื่นชมคำกลอนที่ ‘ผู้ถ่องแท้ไป๋ฮัว’ บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเขียนจารึกไว้ สุดท้ายจึงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วประสานมือคารวะ
“ศิษย์หลานฉู่อวี้โค่วกราบพบอาจารย์ลุง!”