บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 358 พายุโหมขึ้นหน้าหุบเขารังอสูร
ตอนที่ 358: พายุโหมขึ้นหน้าหุบเขารังอสูร
ตอนที่ 358: พายุโหมขึ้นหน้าหุบเขารังอสูร
เวลาผ่านไป
ฉู่อวี้โค่วคำนับค้างโดยไม่เคลื่อนไหว ซึ่งแสดงถึงความอดทนอันใหญ่ยิ่ง
หลังผ่านไปหนึ่งเค่อเต็ม ๆ พลันมีเสียงร้องอันเย็นเยือกเสียดกระดูกของดาบดังมาจากในถ้ำ
ร่างของฉู่อวี้โค่วแข็งค้าง เพียงได้ยินเสียงของดาบก็ทำให้วิญญาณของเขาสั่นสะท้าน ร่างกายหนาวเย็น สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน
ประตูถ้ำถูกเปิดออกเงียบ ๆ เผยร่างตรงตระหง่านดุจหอกที่ก้าวออกมา
เขาสวมชุดเทา มีคิ้วคมดั่งกระบี่ ดวงตาดุจดารา เส้นผมยาวถูกรัดไว้หลังศีรษะ และมีเพียงยามดวงตาสีน้ำตาลขยับจึงเกิดความผันผวนของชีวิตออกมา
มือซ้ายของเขาถือตำราไม้ไผ่ไว้เล่มหนึ่ง ส่วนมือขวาไขว้หลัง
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือในมวยผมของเขามีมีดบินสีเขียวขุ่นวาววับดุจหยกปักเอียง ๆ ไว้
“อาจารย์ลุง!”
ฉู่อวี้โค่วทักทายอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ
ชายหนุ่มชุดเทาผู้นี้คือผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักวงเดือน ชิวเหิงคง! มองไปทั่วต้าเว่ยสามารถเรียกได้ว่าผู้ฝึกตนวิถีดาบในตำนาน!
เขาฝึกดาบตั้งแต่อายุเก้าขวบ เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ตั้งแต่อายุสิบสาม และก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดตอนอายุสิบเก้า
ในเวลานั้นผู้อาวุโสทั้งหลายที่ระดับสูงกว่าต่างถูกทักษะดาบอันเจิดจ้าของเขาทำให้มัวหมองไป
ซึ่งยามนั้น ชิวเหิงคงเป็นผู้ฝึกดาบที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก และกลายเป็นเทพเซียนเดินดินที่อายุน้อยที่สุดในต้าเว่ย!
แต่ตัวตนที่ยากหาผู้ใดเทียมเช่นนี้ ยามอายุยี่สิบสี่ เขากลับเก็บตัวฝึกตนในถ้ำแถวทิวเขา และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวคราวของเขาปรากฏขึ้นในโลกอีก
ห้าสิบปีผ่านไปในพริบตา!
“คนหนุ่มนามซูอี้ที่เจ้าพูดถึงวันก่อนมาที่นี่รึ?”
ชิวเหิงคงถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน
แต่พลังที่มองไม่เห็นซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขากลับกดดันเสียจนทำให้ฉู่อวี้โค่วและยอดฝีมือวิถีต้นกำเนิดขอบเขตไร้เบญจธัญคนอื่น ๆ รู้สึกหายใจไม่ออกและร่างแข็งทื่อ
ฉู่อวี้โค่วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กล่าวด้วยความเคารพ “รายงานอาจารย์ลุง ภายในครึ่งชั่วยามซูอี้จะมาถึงประตูสำนักวงเดือนขอรับ”
ชิวเหิงคงแค่นเสียงเย็น แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ข้าอ่านเรื่องราวความสำเร็จในอดีตของเขาแล้ว แล้วจึงได้ข้อสรุปว่าเจ้าหนูนี่มีความแข็งแกร่งเหนือขอบเขตของผู้ฝึกตนในโลกสามัญไปไกล ซึ่งไม่นับว่าประเมินสูงไป แม้แต่ข้าหากเจอกับเขาก็ไม่อาจแน่ใจว่าจะชนะได้”
ฉู่อวี้โค่วตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเคารพ “อาจารย์ลุง ท่านได้ย่างเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญตั้งแต่ห้าสิบปีก่อน และท่านยังได้เข้าไปยังใจกลาง ‘หุบเขาอสูรรุ้งทอง’ และได้สืบทอดมรดกวิถีดาบอันไร้เทียมทานมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วซูอี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านไปได้อย่างไรกัน?”
หุบเขาอสูรรุ้งทองรู้จักกันในนามแดนลับอันดับหนึ่งของต้าเว่ย
ห้าสิบปีก่อน ชิวเหิงคงก้าวเข้าไปเพียงลำพังและได้รับมรดกกลับมา ซึ่งเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงได้เลือกกักตนฝึกฝน
ในสายตาของฉู่อวี้โค่ว ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของชิวเหิงคง การกักตนตลอดห้าสิบปีมานี้จะต้องทำให้เขาไปถึงระดับที่เหนือจินตนาการแล้ว!
“อย่าประมาท”
สีหน้าของชิวเหิงคงอ่อนโยนขณะที่เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “ผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกับข้า ไม่ว่าจะเป็นที่ใดหรือเมื่อไรก็ไม่สามารถประมาทศัตรูคนใดได้ โดยเฉพาะซูอี้ผู้นี้ ซึ่งแปลกประหลาดและไม่สามารถใช้สามัญสำนึกตัดสินได้ หากไม่ใช่เพราะซูอี้ผู้นี้สังหารศิษย์น้องอวิ๋นจงฉีลง ข้าเองก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับตัวตนเช่นเขา”
ฉู่อวี้โค่วประหลาดใจ
ห้าสิบปีก่อน อาจารย์ลุงเปรียบเสมือนดาบ เขาเฉียบแหลมและดุดัน กล้าหัวเราะเยาะผู้ฝึกดาบทั่วต้าเว่ยว่าเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกร*[1]
วันนี้หลังจากห้าสิบปีผ่านไป อาจารย์ลุงคล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคน อ่อนโยนดุจสายน้ำ ทั่วร่างไร้ร่องรอยอันดุดันในอดีต มีการอดกลั้น และดูเรียบง่ายนัก
หากเปลี่ยนเป็นแต่ก่อนเมื่อได้ยินเรื่องซูอี้ เกรงว่าอาจารย์ลุงคงจะสังหารเขาลงด้วยดาบเดียวไปแล้ว!
“ในเมื่อซูอี้ผู้นี้มาเยือนถึงหน้าประตู ข้าจะไปพบกับเขาสักครู่”
ชิวเหิงคงกล่าวเบา ๆ “เจ้าไปบอกคนอื่น ๆ ในสำนักว่าเมื่อซูอี้มาถึงอย่าเข้ามายุ่ง ให้ข้าจัดการกับเขาเอง”
ฉู่อวี้โค่วรับคำสั่งด้วยท่าทางหวาดหวั่น “ขอรับ!”
“ไปเถิด”
ชิวเหิงคงโบกมือ
จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังใจกลางสระแล้วนั่งขัดสมาธิ
มองไปยังดอกบัวในสระ มันยังคงนิ่งงันไร้ความเคลื่อนไหว
เห็นเช่นนี้ฉู่อวี้โค่วก็หมุนตัวจากไปเงียบ ๆ
……
“นายท่าน หุบเขารังอสูรอยู่ด้านหน้าเจ้าค่ะ”
ฉาจิ่นชี้ออกไปยังภูเขาตระหง่านที่ตั้งอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกฝนอันดับหนึ่งของต้าเว่ย
“ภูเขานี้ไม่เลวเลย มันเชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินและมีปราณพลุ่งพล่านเต็มอากาศ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกอันหาได้ยาก”
ซูอี้วิจารณ์
“ย้า! ย้า! ย้า!”
ที่ด้านหลังมีกลุ่มชายหญิงขี่ม้าป่ากันอยู่
เมื่อตามมาทันฉาจิ่นกับซูอี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเงินก็ดึงบังเหียนให้หยุดอยู่กับที่ แล้วมองไปยังฉาจิ่นพร้อมกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ศิษย์น้องฉาจิ่น เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย!”
ทันทีที่ชายชุดสีเงินหยุด หนุ่มสาวที่ตามมาเองก็หยุดเช่นกัน พวกเขานั่งบนหลังม้ามองไปที่ซูอี้กับฉาจิ่น
โดยเฉพาะเมื่อเห็นฉาจิ่น ดวงตาของกลุ่มรุ่นเยาว์ต่างเปล่งประกายประหลาดใจ
ซูอี้เหลือบมองกลุ่มคนหนุ่มสาวก่อนเมินพวกเขา
เพียงมองดูเสื้อผ้าก็รู้ว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่ร่ำรวยก็มีฐานะดี ม้าที่ขี่อยู่ล้วนเป็นม้ามีชื่อ
ส่วนระดับการฝึก…
คนกลุ่มนี้มียอดยุทธ์ขอบเขตไร้แพร่งพรายอยู่เช่นกัน อย่างชายหนุ่มชุดสีเงินที่เป็นคนนำมานั้นเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์
แต่มีขอบเขตปรมาจารย์อยู่มากกว่า และมีกระทั่งตัวตนที่ไม่แม้แต่แตะขอบเขตปรมาจารย์เลยอยู่ด้วย!
“ศิษย์พี่หงหยาง?”
ฉาจิ่นตกใจ ก่อนจำชายชุดสีเงินได้ว่าเป็นผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลหง ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย
คนผู้นี้เป็นที่รู้จักดี เพราะหลายปีก่อนได้ร่วมฝึกฝนที่สำนักวงเดือนและกลายเป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดบุตรแห่งจันทรา’ เขาได้รับการยอมรับในต้าเว่ยว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ฝึกฝนชั้นดี!
เมื่อพบกับซูอี้ในต้าโจวครั้งแรก ฉาจิ่นเองก็เคยใช้เหล่า ‘เจ็ดบุตรแห่งจันทรา’ มาเปรียบเทียบกับซูอี้
ด้วยเวลาที่ผ่านไป ฉาจิ่นก็ไม่ใสซื่อจนใช้ซูอี้เปรียบเทียบกับ ‘เจ็ดบุตรแห่งจันทรา’ อีก
ชายหนุ่มชุดเงินหงหยางมีสีหน้าประหลาด ขณะกล่าว “ศิษย์น้องฉาจิ่น ข้าขออภัยที่ต้องถาม แต่เป็นความจริงหรือที่ตระกูลเสิ่นของเจ้าตั้งใจส่งตัวเจ้าให้สำนักวงเดือนลงโทษ?”
หนุ่มสาวที่อยู่รอบ ๆ เองก็มีสีหน้าแปลกประหลาด
ใครไม่รู้บ้างว่าตอนนี้ฉาจิ่นถูกมองว่าเป็นคนทรยศต่อสำนัก?
แม้แต่เจ้าสำนักเองยังมีโทสะกับเรื่องนี้ และขู่ว่าจะทำลายตระกูลเสิ่น หากตระกูลเสิ่นไม่ส่งตัวฉาจิ่นมา เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในสำนักวงเดือน
“ลงโทษรึ?”
ฉาจิ่นขมวดคิ้วน้อย ๆ นางไม่สนใจที่จะอธิบาย ก่อนจะกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่หงหยาง ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องถามอีก”
“ฉาจิ่น เจ้าเป็นแค่คนทรยศสำนัก เจ้าพูดกับพี่หงหยางเช่นนี้ได้อย่างไร?”
สตรีในชุดสีฉูดฉาดที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยวาจาแดกดัน
นามของนางคือเสอจื่ออิ๋ง ศิษย์ของสำนักวงเดือน และชื่นชอบหงหยางมาโดยตลอด
ทุกคนต่างส่ายหัวอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่มีบุรุษหลายคนอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ฉาจิ่นผู้นี้ไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ของตัวเองเลยรึ?
ด้วยทางสำนักมักปฏิบัติต่อผู้ทรยศอย่างรุนแรงเสมอ!
“พี่น้องทุกท่านไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้ ศิษย์น้องฉาจิ่นน่าสงสารพออยู่แล้ว แม้นางจะทำพลาดครั้งใหญ่และต้องถูกสำนักจัดการ แต่ทุกคนก็ไม่ควรกล่าวต่อว่านาง”
หงหยางกล่าว ก่อนหันมาเอ่ยกับฉาจิ่น “ศิษย์น้องฉาจิ่น หากจำยอมกลับตัวอย่างจริงใจ ข้าไม่รังเกียจที่จะช่วยขอร้องผู้อาวุโสให้ลดโทษเจ้า”
ทุกคนตกตะลึง
หญิงสาวบางส่วนรู้สึกริษยา เนื่องจากตระหนักว่าหงหยางทำเช่นนี้เพราะมีความคิดเป็นอื่นกับฉาจิ่น
ไม่เช่นนั้น ด้วยระดับของเขาก็ไม่จำเป็นต้องช่วยขอร้องให้คนทรยศเช่นนี้
เห็นเช่นนี้ฉาจิ่นเองก็ตะลึง นางกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็น”
สีหน้าของหงหยางแข็งค้าง ความมึนตึงปรากฏที่หว่างคิ้วของเขา
เขาไม่คาดคิดเลย ว่าแม้จะยินดียื่นมือเข้าช่วย ฉาจิ่นนอกจากจะไม่ทราบซึ้ง… นางยังปฏิบัติเขาอย่างเย็นชาอีกด้วย!
นี่ทำให้เขารู้สึกอับอายเล็กน้อย
หนุ่มสาวที่เหลือเองก็ตะลึงไปเช่นกัน ไม่มีผู้ใดคาดว่าในฐานะคนทรยศ ฉาจิ่นจะปฏิเสธน้ำใจของหงหยางเช่นนี้!
“ศิษย์พี่หงหยาง ฉาจิ่นผู้นี้ไม่รู้ดีชั่ว ปล่อยให้คนทรยศเช่นนางเอาตัวรอดเองเถิด!”
เสอจื่ออิ๋งในชุดสีฉูดฉาดเอ่ยเย้ยหยันอย่างไม่พอใจ
“ใช่แล้ว มาดูกันว่ายามที่เจ้าสำนักจัดการ นางจะยังอวดดีได้อยู่หรือไม่?”
คนอื่น ๆ เองก็พูดสำทับ
เห็นเช่นนี้หงหยางจึงแค่นเสียงเย็น เขาโบกมือก่อนกล่าว “ลืมเสียเถิด เป็นข้าที่ผิดเอง คิดว่าในฐานะศิษย์สำนักเดียวกัน ย่อมทนถูกเห็นนางโดนลงโทษไม่ได้ แต่คิดดูแล้ว… เป็นข้าที่ยุ่งมากไปเอง ไปกันเถิด”
กล่าวจบก็เดินย่ำม้าต่อไป
คนอื่น ๆ เองก็จากไป พวกเขามองเหยียดหยันไปยังฉาจิ่นด้วยสายตายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น
โดยเฉพาะเสอจื่ออิ๋ง นางกระทั่งหัวเราะและเอ่ยขู่ “ฉาจิ่น ยามเจ้าถูกลงโทษ ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองแน่นอน!”
ฉาจิ่นไม่ได้โกรธ นางเพียงส่ายหัวอย่างหมดหนทางแล้วกล่าวกับซูอี้ “ให้นายท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว”
ตั้งแต่ต้นซูอี้ไม่ได้เอ่ยอะไรเลย เขาเพิ่งกล่าวขึ้นตอนนี้ว่า “โลกนี้ไม่ขาดคนโยนหินลงบ่อซ้ำ นี่เป็นธรรมดาของโลก แต่ครั้งนี้พวกเขาคิดผิดแล้ว”
ฉาจิ่นย่อมเข้าใจความหมายของซูอี้
พวกเขามาสำนักวงเดือน ไม่ใช่เพื่อมารับบทลงโทษ!
“ไปกัน มาจัดเรื่องสำนักวงเดือนให้เสร็จก่อนมืดเถิด”
ซูอี้กล่าวพลางเดินออกไป
ถึงเขากับฉาจิ่นจะเดินด้วยเท้า แต่ก้าวเดียวก็มีระยะทางมากกว่าสามจั้งแล้ว แม้ว่าจะไม่เร็วนัก แต่ก็เป็นวิธีที่ประหยัดพลังงานมากที่สุด
เพียงหนึ่งเค่อให้หลัง สองร่างก็มาปรากฏที่ตีนเขาของหุบเขารังอสูร
นี่คือประตูหลักของสำนักวงเดือน ทางปูด้วยกระเบื้องเรียบเนียน มีแท่นบูชาขนาบอยู่สองข้างดูเคร่งขรึมและยิ่งใหญ่นัก
ยามนี้ใกล้เย็นย่ำแล้ว ท้องฟ้าลุกโชติดุจเปลวไฟ ซึ่งทั่วหุบเขารังอสูรได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองอร่ามจากฟากฟ้า และไกลออกไปมีกลุ่มนกกระเรียนขาวบินวนไปมาพลางส่งเสียงร้องดังกังวาน
เป็นภาพของแดนสวรรค์
“ดูสิ ศิษย์น้องฉาจิ่นกลับมาแล้ว!”
“เป็นนางจริง ๆ…”
“ดูเหมือนว่าตระกูลเสิ่นจะทนต่อแรงกดดันของสำนักของเราไม่ไหว พวกเขาจึงให้คนทรยศเสนอตัวมารับโทษเอง”
เมื่อซูอี้กับฉาจิ่นมาถึง เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นที่ประตูหุบเขาของสำนักวงเดือน
มีคนหนุ่มสาวรวมตัวกันมากมาย รวมถึงหงหยางด้วย
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่หงหยางกับคนอื่น ๆ มาถึงสำนักวงเดือนก่อนกำหนด พวกเขาก็ได้กระจายข่าวฉาจิ่นกลับมาสำนักออกไป ซึ่งผู้คนมากมายในสำนักวงเดือนมากมายต่างมารอชมข่าว
พูดง่าย ๆ คือรอชมเรื่องสนุก
[1] หัวมังกุท้ายมังกร เป็นสำนวน หมายถึงไม่เข้ากัน ขัดกันในตัว หรือก็คืออะไรที่ในตัวมีลักษณะต่างกัน ไม่เป็นไปตามที่ควรเป็น เข้ากันไม่ได้ ขัดกัน ขืนกัน ไม่กลมกลืนกัน