บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 359 ขอเชิญอาจารย์ลุงลงมือสังหารซูอี้ด้วย
ตอนที่ 359: ขอเชิญอาจารย์ลุงลงมือสังหารซูอี้ด้วย
ตอนที่ 359: ขอเชิญอาจารย์ลุงลงมือสังหารซูอี้ด้วย
ข้างกายหงหยาง เสอจื่ออิ๋งในชุดสีฉูดฉาด ใช้สองแขนกอดรอบดันทรวงอกขึ้นพลางแค่นเสียง
“ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หงหยางเห็นแก่ความสัมพันธ์ร่วมสำนักจึงต้องการช่วยเหลือเจ้าคนทรยศ แต่ไม่คิดว่าเจ้าคนทรยศนี่จะไม่รู้ดีชั่วหักหน้าศิษย์พี่หงหยาง จริงอย่างที่คำโบราณว่าไว้ คนที่น่าสงสารล้วนมีจุดโสมมทั้งสิ้น*[1]”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมา ศิษย์สำนักวงเดือนต่างตกอยู่ในความโกลาหล
หงหยางถอนหายใจยาวก่อนโบกมือ “จื่ออิ๋ง ไม่ต้องพูดแล้ว เป็นความผิดข้าเองที่ยังนึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนมากเกินไป”
ด้วยท่าทีใจกว้างและเปิดเผยของหงหยาง ทำให้มีหลายคนรู้สึกไม่ยุติธรรมแทน
ฉาจิ่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เพื่อเอาใจหงหยางแล้ว เสอจื่ออิ๋งพยายามกดนางทุกวิถีทางจริง ๆ
สำหรับหงหยาง เขาใช้โอกาสนี้แสดงบุคลิกและนิสัยของตัวเองออกมา
ช่างเป็นคู่ชายหญิงที่น่าขันเสียกระไร!
“ฉาจิ่น เจ้าจะยังไม่โดนจับตอนนี้ แต่รอคำตัดสินก่อนเถิด!”
ชายหนุ่มท่าทางแข็งแกร่งในชุดเลิศหรูตะโกนเสียงดังราวกับฟ้าผ่า
ฉาจิ่นเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ศิษย์น้องฟางซิว ยามอยู่ในสำนักข้าดูแลเจ้าไม่น้อย ก่อนนี้หากไม่ใช่เพราะข้า เกรงว่าเจ้าคงไม่ได้เข้าเป็นศิษย์สายในเร็วถึงเพียงนี้! ทำไมกัน? …ตอนนี้เจ้าคิดเนรคุณและเหยียบข้าขึ้นไปรึ?”
นางทั้งผิดหวังและโกรธเคือง
ศิษย์สำนักวงเดือนมองกันและกัน เพราะสิ่งที่ฉาจิ่นพูดนั้นถูกต้อง กระทั่งที่ฟางซิวได้เข้ามาฝึกในสำนักวงเดือนก็เพราะอาศัยความสัมพันธ์กับฉาจิ่น!
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของฟางซิวก็ดิ่งลง เขากล่าวอย่างโมโห “นังแพศยา! ตอนนี้เจ้าเป็นคนทรยศของสำนัก! หากข้ายังเห็นแก่น้ำใจในอดีต ไม่ใช่ว่าข้าเองก็ไม่จงรักภักดีต่อสำนักรึ?”
คำพูดดูชอบธรรมและคมคายนัก
ฝูงชนโห่ร้องเสียงดัง
ในฐานะลูกศิษย์สำนักวงเดือน พวกเขาควรขีดเส้นแบ่งกับคนทรยศให้ชัดเจน!
ฟางซิวพลันยิ้มอย่างภูมิใจ
“ช่างไร้ยางอาย!”
ซูอี้เหลือบมองฟางซิว ขณะที่มีประกายวาบผ่านในดวงตาของเขา
ด้วยขอบเขตฝึกฝนของเขา ณ ตอนนี้ สามารถสังหารเทพเซียนเดินดินได้อย่างง่ายดาย จะนับประสาอะไรกับตัวตนเล็กจ้อยเช่นนี้?
ด้วยเสียง ‘ตุบ!’ ฟางซิวพลันคุกเข่าบนพื้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งทื่อ มีเลือดออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ด …ตายคาที่!
ฝูงชนที่พากันปรบมือเมื่อครู่ต่างหวาดกลัวจนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
ฉับพลันหลังจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความตระหนกดังขึ้น
“ใคร… ใครสังหารศิษย์น้องฟางซิว!?”
“บัดซบ มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
“เป็นคนผู้นั้น!”
สายตาหลายคู่หันไปมองซูอี้ด้วยความโกรธเคือง
ก่อนนี้พวกเขาเมินเฉยตัวตนของซูอี้ คิดว่าเป็นเพียงสมาชิกของตระกูลเสิ่นที่ติดตามมา เพื่อให้แน่ใจว่าฉาจิ่นจะมารับโทษจากสำนัก
แต่ยามนี้ พวกเขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ…
เพราะคนผู้นี้กล้าสังหารคนหน้าประตูสำนักวงเดือน!!
ฉาจิ่นเองก็ประหลาดใจ
เท่าที่นางรู้ ด้วยนิสัยของซูอี้ เขามักเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจตัวละครเล็ก ๆ เหล่านี้
“เขาทำให้ข้านึกถึงฉางกั้วเค่อ”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ อย่างแฝงด้วยอารมณ์บางอย่าง
ฉาจิ่นพลันเข้าใจ ซูอี้คือผู้มีพระคุณของฉางกั้วเค่อ แต่ก็เป็นศัตรูของสำนักดาบเร้นมังกร ซึ่งครั้งหนึ่งทำให้ฉางกั้วเค่อตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉางกั้วเค่อไม่เคยมีท่าทีจะเนรคุณเลย
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฟางซิวน่ารังเกียจและไร้ยางอายเกินไป
“เหตุใดพวกเจ้าจึงทำเสียงดังกันที่นี่?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้นจากด้านในสำนัก ชายวัยกลางคนในชุดดำเดินออกมาด้วยสีหน้าโกรธเคือง
จ้าวฉือ!
ผู้ดูแลฝ่ายในของสำนักวงเดือน
“ผู้ดูแลจ้าว! คนผู้นั้นสังหารคนหน้าประตูสำนักวงเดือนของพวกเรา!”
ศิษย์สำนักวงเดือนพากันเปิดปากกล่าวทีละคนพลางชี้ไปยังซูอี้ที่อยู่ไกลออกไป
สีหน้าของจ้าวฉือเริ่มมืดหม่น สายตาดุจสายฟ้าของเขากำหนดเป้าไปยังซูอี้ซึ่งอยู่ไกลออกไป พลางกล่าวอย่างเฉียบขาด
“เจ้าเป็นใครกัน กล้ามาก่อเรื่องหน้าประตูสำนักวงเดือนของข้า? รีบบอกนามมา ไม่เช่นนั้นจะตายโดยไร้ที่ฝัง!”
เสียงนั้นสั่นสะเทือนท้องฟ้า
หงหยางเองก็ใช้โอกาสนี้กล่าวเสียงเย็น “ฉาจิ่น ยังไม่ให้คนของเจ้ายอมรับผิดแล้วรอการลงโทษอีกหรือ?”
เสอจื่ออิ๋งเอ่ยอย่างโมโห “ช่างเสียสติและไร้กฎเกณฑ์เสียจริง!”
การปรากฏตัวของจ้าวฉือ คล้ายทำให้พวกเขาได้รับแรงหนุนหลัง
“ไม่มีตัวตนที่พอจะสะดุดตาบ้างเลยหรือนี่?”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ ราวกับผิดหวัง
จากนั้นเขาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดของหุบเขารังอสูรด้วยสายตาลึกล้ำ แล้วกล่าวอย่างสงบว่า
“เจ้าสำนักวงเดือนอยู่ที่ใดกัน? จงรีบออกมาเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ซูผู้นี้ฟันประตูสำนักทิ้งด้วยดาบแล้วลบสำนักวงเดือนของเจ้าให้หายไปจากโลก!”
เสียงคำรามนั้นสะท้อนไปยังสวรรค์และโลก สร้างแรงสะเทือนที่ทำให้จิตวิญญาณของศิษย์สำนักวงเดือนสั่นสะท้าน ปราณและเลือดปั่นป่วน
สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนไป มันเผยความไม่อยากเชื่อออกมา ชายผู้นี้เสียสติหรือไรกัน เขากล้าท้าทายเจ้าสำนักวงเดือนของพวกเราเชียวรึ?
จ้าวฉือตัวแข็งค้าง ‘ซูผู้นี้?’ หรือว่าชายหนุ่มในชุดคลุมคือคนจากต้าโจวนั่น!?
เวลานี้เสียงอันสง่างามได้ดังมาจากหุบเขารังอสูร
“ซูอี้ ในที่สุดเจ้าก็มา!”
ถ้อยคำที่กล่าวออกเต็มเปี่ยมไปด้วยเจตนาฆ่า
ซูอี้!?
ทันใดนั้นศิษย์สำนักวงเดือนในบริเวณนั้นทั้งหมดตะลึงงันราวกับโดนฟ้าผ่า
จะมาตีอกชกตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว! ใครจะไปคิด… ว่าชายหนุ่มในชุดคลุมที่ติดตามฉาจิ่นมาจะเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจวที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเวลานี้
ซูอี้
ตัวตนอันน่าสะพรึง!
“เป็นเขานี่เอง!”
จ้าวฉือสูดไอเย็น ความเหน็บหนาวแล่นไปตามกระดูกสันหลังของเขา
เมื่อคิดว่าเมื่อครู่นี้… ตัวเขาเพิ่งบอกว่าจะทำให้ซูอี้ตายโดยไร้ที่กลบฝัง!!
“อะไรนะ? ขะ เขา …คือซูอี้?”
ดวงตาของหงหยางเบิกกว้าง หัวชาหนึบ
เมล็ดพันธุ์ฝึกฝน หนึ่งในเจ็ดบุตรแห่งจันทราผู้นี้ราวกับถูกทุบอย่างแรง ทั่วร่างรู้สึกหนาวเหน็บ
มองดูเสอจื่ออิ๋งอีกรอบ อีกฝ่ายเองก็ยืนอยู่แบบเดิม ทว่าหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นศิษย์สำนักวงเดือน จึงเข้าใจความแข็งแกร่งและความน่าสะพรึงของซูอี้มากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป นี่คือชายผู้สังหารเทพเซียนเดินดินลงไปมากกว่าสิบคนในคราเดียว!
เห็นภาพนี้ก็ทำให้ฉาจิ่นตระหนักว่า กระทั่งในต้าเว่ย ชื่อเสียงเรียงนามของซูอี้ก็ยังเป็นที่รู้จักของทุกผู้ทุกคน!
ติ๊งงง!
เสียงก้องกังวานดุจบทเพลงดังขึ้น ร่างหนึ่งวาบผ่านความว่างเปล่าไป เขาสวมชุดสีน้ำเงินเข้มงดงาม ผมยาวส่วนหนึ่งถูกรัดเกล้าอย่างดี ปล่อยให้ปลายผมพลิ้วไหว ท่วงท่าดูทรงพลังราวกับมหาสมุทรใหญ่
เป็นฉู่อวี้โค่ว เจ้าสำนักวงเดือน ผู้ฝึกตนขั้นปลายในขอบเขตไร้เบญจธัญ!
“คาราวะท่านเจ้าสำนัก!”
ผู้คนที่ตะลึงไปราวกับถูกปลุกตื่นจากฝัน พวกเขาพากันทักทายขึ้นทีละคน ความหม่นหมองและตื่นตระหนกหายไปดุจพบเสายึดแล้ว
“พวกเจ้าจงกลับเข้าไปด้านใน”
ฉู่อวี้โค่วโบกมือ
“ขอรับ!”
ทุกคนต่างรับคำสั่ง และจากไปอย่างโล่งอกทีละคน
พวกเขาต่างสำเหนียกพอที่จะไม่ไปเผชิญหน้ากับตัวตนน่าสะพรึงอย่างซูอี้
ซูอี้เมินตัวละครเล็ก ๆ เหล่านี้อย่างสิ้นเชิง
เขามองไปยังฉู่อวี้โค่วแล้วกล่าวอย่างเฉยชา “บอกข้าว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องการจัดการกับฉาจิ่น ระดับสำนักวงเดือนของเจ้าน่าจะรู้ดีว่านางเป็นคนข้างกายข้า แต่เจ้ายังกล้าทำเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องการตายกันนัก หรือแค่การตายของอวิ๋นจงฉียังไม่เพียงพอกัน?”
อวิ๋นจงฉี!
การพูดถึงนามของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวงเดือนเช่นนั้น ทำให้สีหน้าของฉู่อวี้โค่วพลันย่ำแย่ ความเศร้าและเจ็บปวดปรากฏที่หว่างคิ้วของเขา
“ในสายตาของเจ้า ซูอี้ เจ้าเพียงสังหารคนไปหนึ่งคน แต่ในสายตาของข้าฉู่อวี้โค่ว คนที่เจ้าสังหารไปคือญาติใกล้ชิดของข้า!”
สีหน้าของฉู่อวี้โค่วดูเย็นชา “อวิ๋นจงฉีคืออาจารย์ของข้า เขาเป็นคนพาข้าเข้ามายังสำนักวงเดือนแห่งนี้ สั่งสอนและเลี้ยงดูข้าดุจบุตรชาย ในใจข้าถือว่าเขาเป็นบิดามานานแล้ว เจ้าคิดว่าข้าควรแก้แค้นหรือไม่เล่า?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วกล่าว “หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ประกาศสงครามกับข้าโดยตรง แต่กลับใช้ลูกไม้น่ารังเกียจเช่นนี้กับสตรีคนหนึ่ง?”
ฉู่อวี้โค่วกล่าวเสียงเย็น “หากไม่ใช้ฉาจิ่นเป็นเหยื่อล่อ แล้วจะนำตัวเจ้ามาปรากฏที่อาณาเขตต้าเว่ย และหน้าประตูสำนักได้รึ?”
ซูอี้พลันเข้าใจในที่สุด “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็สัมผัสได้ตั้งแต่อยู่ที่ตระกูลเสิ่นแล้วว่ามันค่อนข้างประหลาด กลายเป็นว่าเป้าหมายของสำนักวงเดือนคือจัดการกับข้านี่เอง”
ทันใดนั้นเขาก็เหลือบมองไปรอบ ๆ แล้วกล่าว “หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น ย่อมหมายความว่าสำนักวงเดือนมั่นใจว่าจะเอาชนะซูผู้นี้ลงได้งั้นรึ?”
“แน่นอน!”
สีหน้าของฉู่อวี้โค่วเรียบเฉย ดวงตาของเขาเย็นชาขณะกล่าว “ตัวเจ้าซูอี้แข็งแกร่งยิ่งนัก แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เทพเซียนเดินดินในโลกนี้หวาดกลัว แต่วันนี้เจ้าจะต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!”
ในน้ำเสียงนั้นแสดงถึงความเกลียดชังอย่างไม่ปกปิด
เวลานี้เย็นแล้ว แสงอาทิตย์ที่ลุกไหม้จึงปกคลุมหุบเขารังอสูรที่ตั้งตระหง่านเอาไว้ด้วยรัศมีอันงดงาม
เบื้องหน้าประตูหุบเขาใหญ่นี้ ซูอี้เผชิญหน้าฉู่อวี้โค่วจากไกล ๆ สร้างบรรยากาศเย็นยะเยือกและหม่นหมอง ขณะที่ยอดฝีมือของสำนักวงเดือนซึ่งเฝ้ามองประตูสำนักอยู่ต่างกลั้นหายใจแล้วมองดูอย่างกระวนกระวาย
เห็นเช่นนี้ซูอี้ก็ยิ้มออกมา ราวกับถูกความสนใจกระตุ้น เขากล่าว “อ้อ เห็นเจ้ามั่นใจเช่นนี้ย่อมต้องมีที่พึ่งบางอย่าง แสดงออกมาสิ”
เขามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วกล่าว “ข้าไม่สนใจใช้เวลาค่ำคืนบนส่วนลึกของภูเขาเช่นนี้…”
“ฮึ่ม!”
ฉู่อวี้โค่วแค่นเสียง ก่อนสูดลมหายใจ แล้วประสานหมัดคำนับไปยังทิศส่วนลึกของหุบเขารังอสูร ก่อนกล่าว
“ขอเชิญอาจารย์ลุงลงมือสังหารซูอี้ เพื่อแก้แค้นให้กับท่านอวิ๋นจงฉี!”
เสียงนั้นกระจายออกไปไกล
เคร้ง!
เสียงร้องเย็นยะเยือกเสียดกระดูกของดาบพลันดังขึ้นท่ามกลางอาทิตย์อัสดง
คราแรกเสียงของดาบไม่ชัดนัก ทว่าต่อมามันก็ค่อย ๆ ดังขึ้นและเร่าร้อน จากนั้นก็เริ่มเหมือนพายุกระหน่ำ ดุจคลื่นสึนามิ ก่อนกลายเป็นเสียงดั่งบดขยี้ฟ้าดินกึกก้องกังวานไปทั่วทุกทิศ
ครืน!
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนของสำนักวงเดือน ทะเลเมฆบนท้องฟ้าที่ปั่นป่วนถูกแหวกออกดุจโดนผ่าและขยายออกไปนอกบริเวณประตูหุบเขา
ณ จุดสิ้นสุดของรอยแยก มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศสวมชุดเทา มีคิ้วคมเข้มและดวงตาดุจดวงดารา ผมยาวถูกรวบเป็นมวย เสียบด้วยมีดบินสีเขียวขุ่น
เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง ซึ่งขณะที่คนผู้นี้ปรากฏตัว เสียงคำรามของดาบบนท้องฟ้าพลันเงียบลง และทั้งโลกก็เงียบสงัด
เมฆสีที่สะท้อนลงมาทำให้ร่างของเขาปกคลุมด้วยแสงสว่างจนผู้คนไม่กล้าที่จะมองดูตรง ๆ
“ผู้อาวุโสใหญ่!”
ในหุบเขารังอสูร ทั่วทั้งสำนักวงเดือนต่างตื่นเต้นยินดี และแสดงสีหน้าที่ทั้งเคารพและคลั่งไคล้
ใบหน้างดงามของฉาจิ่นเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน ด้วยนางจะไม่รู้จักตำนานในอดีตของผู้อาวุโสใหญ่ท่านนี้ได้อย่างไร?
ห้าสิบปีก่อน… เขาคือเทพเซียนเดินดินที่อายุน้อยที่สุดในต้าเว่ย เชี่ยวชาญในวิถีดาบจนผู้ฝึกดาบทั่วโลกไม่กล้าเงยหน้าขึ้น!
ยามนี้ห้าสิบปีให้หลัง ระดับการฝึกฝนของเขาจะน่าสะพรึงเพียงใดกัน?
“ไม่คาดคิดว่าสำนักวงเดือนจะมีตัวตนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่”
ซูอี้เองก็ตกใจน้อย ๆ เช่นกัน
[1] คนที่น่าสงสารล้วนมีจุดโสมมทั้งสิ้น เป็นสำนวน ซึ่งมีความหมายว่า คนที่เจอเรื่องร้ายล้วนเป็นเพราะเคยทำไม่ดีเอาไว้