บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 36 ผู้เฒ่าหวังจอมเกรี้ยวกราด
ตอนที่ 36 ผู้เฒ่าหวังจอมเกรี้ยวกราด
นอกจากตัวตนของเขาในฐานะบุตรชายผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้ง
ในฐานะผู้นำของคนตระกูลเหวินรุ่นเยาว์ เหวินเจวี๋ยหยวนก็มีความภาคภูมิใจของตัวเองไม่มากก็น้อย
ตอนอายุเก้าขวบ เขาเข้าไปยังสำนักดาบซ่งอวิ๋นเพื่อฝึกฝน และกลายเป็นที่รู้จักกันดีในสำนักดาบซ่งอวิ๋น ในฐานะอัจฉริยะหนุ่ม
ตอนอายุสิบสาม เขาประสบความสำเร็จในการเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักดาบชิงเหอ
ในเวลาเพียงสี่ปีหลังจากนั้น เขาได้ไต่เต้าจนสามารถเป็นศิษย์สายในของสำนักดาบชิงเหอได้สำเร็จ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นเลิศที่สุด
จนถึงตอนนี้ การบ่มเพาะของเขาสำเร็จไปถึงขั้นที่สี่ ‘ขัดเกลากระดูก’ ของขอบเขตโคจรโลหิตแล้ว
ความสำเร็จระดับนี้สำหรับผู้ที่อยู่ในเมืองกว่างหลิง มันนับได้ว่าเพียงพอจะทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตถอนหายใจด้วยความชมเชยได้!
ด้วยความสำเร็จของตัวเองขนาดนี้ เหวินเจวี๋ยหยวนจะไปเห็นซูอี้อยู่ในสายตาได้อย่างไร?
ขนาดคนกร่างและโฉดชั่วเช่นนายน้อยหวงเฉียนจวิน เขายังไม่สนใจ
“สหายจิ้งจอกงั้นหรือ? เป็นการอธิบายที่ดีเยี่ยม!” เหวินเส้าเป่ยกับคนอื่น หัวเราะตามกันเสียงดัง
เพราะเหวินเจวี๋ยหยวนคอยหนุนหลังให้ แม้จะอยู่ด้านหน้าโรงตีอาวุธของตระกูลหวง พวกเขาก็ไม่กลัวเกรงหวงเฉียนจวิน
“เหวินเจวี๋ยหยวน เจ้ากล้าดียังไงมาด่าทอข้ากับพี่ซู!?” หวงเฉียนจวินโกรธจัด แววตาทอประกายรุนแรง
“ทำไม? ข้าพูดอะไรผิดไปหรือไร?”
เหวินเจวี๋ยหยวนเผยท่าทีเย็นชา “ในเมืองกว่างหลิงนี้ ใครบ้างจะไม่ทราบว่าเจ้าเป็นตัวร้ายที่ทำเรื่องชั่วสารพัดอย่าง? และผู้ใดบ้างไม่ทราบบ้างว่าซูอี้เป็นบุตรเขยที่ผู้คนเหยียดหยาม?”
“เจ้า…” หวงเฉียนจวินตาแดงก่ำ
เหวินเจวี๋ยหยวนหัวเราะกล่าว “อีกครึ่งเดือน งานประลองประตูมังกรก็จะเริ่มขึ้น ถึงตอนนั้น ตัวข้าก็จะเข้าร่วมด้วย นายน้อยหวงเป็นคนมีความสามารถ มาประลองสักตั้งให้ข้าได้เห็นเป็นไร?”
สิ้นคำกล่าว เสียงฮือฮาดังปรากฏใกล้เคียง
“มันจบแล้ว คนอย่างเหวินเจวี๋ยหยวนต้องการจะเข้าร่วมงานประลองประตูมังกร แล้วพวกเราจะยังมีโอกาสได้แสดงฝีมืออีกหรือ?”
“อย่าหมดหวัง พวกเราก็แค่ทำให้ดี ส่วนเรื่องอันดับหนึ่งอะไรนั่น… มีเพียงคนอย่างเหวินเจวี๋ยหยวนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเอามาได้”
บรรดาหนุ่มสาวที่เข้าแถวรอซื้ออาวุธต่างอยู่ในความโกลาหล และต่างพูดถึงเรื่องนี้ โดยมุ่งหัวข้อเรื่องเหวินเจวี๋ยหยวนเพียงคนเดียว
พวกเขาทั้งหมดล้วนรู้สึกได้ ว่าชื่อของอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรจะเป็นของเหวินเจวี๋ยหยวน!
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเหวินเจวี๋ยหยวนเป็นที่รู้จักกันดีแค่ไหนในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของเมืองกว่างหลิง
เหตุดังกล่าวนี้ ทำให้เหวินเส้าเป่ยกับสมาชิกตระกูลเหวินผู้อื่นรู้สึกโล่งใจ และเชิดหน้าขึ้นสูงตามกันด้วยความภาคภูมิใจ
สีหน้าของหวงเฉียนจวินเป็นสีแดงเข้มพลางอ่อนด้วยความโมโหสลับไปมา
แต่ก่อนเขาจะทันได้เอ่ยคำเถียง เหวินเจวี๋ยหยวนพูดขึ้นต่อราวไม่ใส่ใจ
“พูดกับเจ้าไปรังแต่จะเปลืองน้ำลาย ไว้เจอกันที่งานประลองประตูมังกร!”
สิ้นคำ เขาก็นำคนตระกูลเหวินจากไป
สำหรับซูอี้นั้น เขาถูกเหวินเจวี๋ยหยวนมองข้ามโดยสิ้นเชิง ราวกับไม่อยากจะเสวนาด้วยกลัวจะติดโรคร้าย
เมื่อมองดูเหวินเจวี๋ยหยวนกับพรรคพวกออกไป หวงเฉียนจวินกำหมัดแน่น ริมฝีปากถูกเม้มไว้ สีหน้าดูอัปลักษณ์
“เจอเรื่องยากทำใจยอมสินะ?” ซูอี้ชายตามองนายน้อยตระกูลหวงผู้มักจะอหังการเสมอ
หวงเฉียนจวินสูดหายใจเข้าลึกและพยักหน้า
เมื่อปรับอารมณ์ได้เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “พี่ซู ท่าน…ท่านไม่โกรธเลยหรือ?”
เขารู้สึกสับสน ตอนนั้นที่ภัตตาคารรวมเซียน ซูอี้เอาชนะคนรับใช้รอบตัวเขาทั้งหมดได้ง่ายดาย
ความแข็งแกร่งเช่นนั้น คนธรรมดาไม่มีทางเทียบได้!
ยิ่งไปกว่านั้น เส้นสายของซูอี้ยังถึงขนาดทำให้หวงอวิ๋นชง บิดาของเขายอมก้มหัวรับความพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์
การถูกหยามหน้าเช่นเมื่อครู่ ซูอี้จะปล่อยให้คนสกุลเหวินลอยนวลไปง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไร?
ซูอี้กล่าวรับคำเนิบนาบ “ก็แค่เสียงมดแมลง หากมันทำให้ข้าโกรธได้แปลว่ามันคงจะกัดเจ็บอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่มดแมลงเหล่านั้นไม่ได้คู่ควรให้ข้าใส่ใจ”
หวงเฉียนจวินไม่อาจเข้าใจคำพูดของซูอี้
ซูอี้เองก็รู้สึกคร้านเกินกว่าจะอธิบาย
สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด คือผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับเขา ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน จุดจบล้วนไม่ดี
เหตุการณ์นี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ณ ด้านในของโรงตีอาวุธ
ภายใต้การนำของหวงเฉียนจวิน ซูอี้จึงได้เข้าพบกับช่างตีดาบที่ขึ้นชื่อแห่งเมืองกว่างหลิง ‘หวังเทียนหยาง’ สำเร็จ
หวังเทียนหยางมีผมอยู่หย่อมเดียวกลางศีรษะ ศีรษะเกือบโล้น รูปร่างผอมบาง ผิวเป็นสีทองสัมฤทธิ์ เขาถือค้อนยักษ์และกำลังตีขึ้นรูปดาบที่กำลังเป็นสีแดงเพลิง
สะเก็ดไฟปลิวว่อน และทั้งห้องเต็มไปด้วยแสงสว่าง
“ผู้อาวุโสหวัง สหายของข้ามาแล้ว ท่านช่วยตีดาบให้สหายข้าสักเล่มได้หรือไม่?”
หวงเฉียนจวินยืนอยู่ด้านข้าง ท่าทางอ่อนน้อม สีหน้ายิ้มพร้อมถูมือ
แต่หวังเทียนหยางกลับเมินเฉย สนใจแต่เรื่องของตัวเองและเอาแต่ตีดาบที่อยู่ข้างหน้า เขาตีดาบอย่างรุนแรงจนสะเก็ดไฟแทบกระเด็นใส่โดนร่างของหวงเฉียนจวิน
หวงเฉียนจวินที่ถูกเมินเผยยิ้มกล้ำกลืน ก่อนไปกระซิบกับซูอี้ “พี่ซู นิสัยของผู้เฒ่าหวังเป็นเช่นนี้ ท่านอย่าได้ใส่ใจ”
ซูอี้กล่าว “ปล่อยให้เขายุ่งไปก่อน เจ้าพาข้าไปดูเหล็กที่จำเป็นกับการตีดาบก่อนก็แล้วกัน”
หวงเฉียนจวินรับพยักหน้า
โดยปกติโรงตีอาวุธแห่งนี้ไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนวัสดุจำพวกเหล็กในการตีดาบอยู่แล้ว กระทั่งว่ามีแร่หายากล้ำค่าบางชนิดอีกด้วย
หลังจากพินิจดูวัสดุทั้งหลายแล้ว ซูอี้ก็อดจมอยู่ในความเงียบไม่ได้
พวกวัสดุแร่ที่ถูกเรียกว่าล้ำค่าเหล่านี้ที่เขาเห็นอยู่ ในสายตาของเขามันเป็นแค่ของระดับดาษดื่น
“พี่ซูอี้ไม่พอใจหรือ? ที่นี่เป็นโรงตีอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเมืองกว่างหลิงแล้ว หากไม่มีแร่อันใดที่เหมาะสม บางทีเราคงทำได้แค่ไปที่เมืองหลวงของเขตปกครองอวิ๋นเหอ ที่นั่นเราคงจะสามารถหาวัสดุที่ดีกว่าได้” หวงเฉียนจวินพูดอธิบาย
ทว่าซูอี้ไม่ได้รู้สึกยึดติด ชายหนุ่มเพียงกล่าวว่า “เจ้าไปเตรียมมา ข้าอยากจะซื้อเหล็กเย็นเขียวอ่อนสามสิบจิน ผงทองแดงตะวันสีชาดหนึ่งจิน น้ำแข็งลึกล้ำกลั่นอีกห้าจิน…”
มีรายการวัสดุมามากกว่าสิบชนิด
ในนั้นมีชื่อวัสดุล้ำค่าอยู่ และมีชื่อวัสดุธรรมดาปะปนอยู่ด้วย
หวงเฉียนจวินจดชื่อของพวกนั้นลงไป ก่อนจะสั่งให้คนรับใช้ของโรงตีอาวุธเริ่มทำการเตรียมวัสดุ
จากนั้นเขาพาซูอี้กลับไปทางเดิม มายังสถานที่ตีดาบซึ่งหวังเทียนหยางกำลังตีดาบอยู่
หวังเทียนหยางเสร็จงานแล้ว และกำลังนั่งพักอยู่บนเก้าอี้หวาย ข้าง ๆ มีคนรับใช้กำลังยกชารินให้
“ผู้อาวุโส…”
หวงเฉียนจวินเอ่ยคำแต่ยังไม่ทันจบ หวังเทียนหยางพลันขัดคำขึ้นก่อน “วันนี้ข้าตีดาบไปแล้วใช้เรี่ยวแรงไปมาก ไว้อีกสามวันค่อยกลับมาใหม่”
สิ้นคำกล่าว เขายกถ้วยชาขึ้นจิบสบายอารมณ์
ใบหน้าของหวงเฉียนจวินเปลี่ยนเป็นมืดหม่นทันที เพราะเขาเชิญซูอี้มาเป็นการส่วนตัว!
แต่เขากลับถูกปฏิเสธในที่ของตัวเองเสียได้ จะให้เขาเอาหน้าตนเองไปไว้ที่ใด?
เขาสูดหายใจเข้าลึกและกล่าว “ท่านผู้อาวุโส บิดาข้ากล่าวเอาไว้ ทุกเรื่องของพี่ซูอี้ ความสำคัญเป็นอันดับแรก ท่าน…”
หวังเทียนหยางขัดขึ้นอีกครั้ง ถ้อยคำไม่พอใจกล่าวออก “เช่นนั้นให้บิดาเจ้าตีดาบแก่เขาเสีย ข้าหาได้มีเวลารับใช้พี่ซูของเจ้า!”
เขาเห็นชัดว่าซูอี้ยืนข้างเคียงหวงเฉียนจวิน กระนั้นคำพูดกลับไร้ความสุภาพ แม้หวงเฉียนจวินเป็นบุตรหวงอวิ๋นชง เขากลับไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาหาได้สนใจผู้ยิ่งใหญ่ใด ๆ ไม่
“นายน้อย วัสดุต่าง ๆ พร้อมแล้วขอรับ”
ขณะเดียวกันนี้ กลุ่มของคนรับใช้กลับมาพร้อมกล่องใบใหญ่
เมื่อหวังเทียนหยางเห็นกลุ่มคนรับใช้มาพร้อมกับกล่องวัสดุใบโต อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านไปด้วยโทสะทันทีพร้อมตวาดถ้อยคำ “ใครใช้ให้พวกเจ้าไปเอาวัสดุมากัน!? ข้าตีดาบมาครึ่งเดือนแล้ว ตั้งใจว่าพักผ่อนไปเที่ยวซ่องในและเมืองเสพสุขเพื่อผ่อนคลาย นี่พวกเจ้าไร้หัวใจถึงขนาดจะใช้งานคนแก่อย่างข้าให้ตายงั้นหรือไร! เอาพวกมันกลับไปให้หมด!”
เขาโมโหจัด ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย และวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ดูเหมือนผู้อาวุโสอยากจะรีบไปที่ซ่อง…”
หวงเฉียนจวินเข้าใจได้ในทันที หากดูจากร่างกายของชายชราแล้ว การทำงานมาถึงครึ่งเดือน ก็น่าจะลำบากไม่น้อยจริง
ทันใดนั้น เขาก็มีความคิดหาญกล้าประการหนึ่งขึ้นมาในใจ หรือควรจะบอกให้ชายชราผู้นี้ ‘น่ง’*[1] ไปก่อนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความต้องการไปแบบเฉพาะหน้า?
“ช้าก่อน”
เมื่อเห็นว่าเหล่าคนรับใช้กำลังจะเอาวัสดุกลับไป ซูอี้กล่าวขึ้นขัด “ตีดาบครั้งนี้ ข้าไม่ได้คิดยืมมือผู้อื่น”
หวงเฉียนจวินและหวังเทียนหยางต่างตะลึงคู่
“ข้าขอยืมใช้เตาหลอมนี้ได้หรือไม่?” ซูอี้มองไปยังเตาหลอมที่อยู่ไม่ไกล
หวงเฉียนจวินรีบกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่… พี่ซู นี่ท่านตั้งใจจะตีดาบเองเลยหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ในฐานะมือดาบ มีเพียงดาบที่ตัวเองตีขึ้นเท่านั้นถึงสามารถทำให้ทักษะเชิงดาบที่เขาจะใช้ออกมามีอำนาจอย่างเฉียบขาดและเต็มที่
“โฮ่ ที่แท้เจ้ามาที่นี่เพื่อจะโอ้อวดต่อหน้าข้างั้นรึ?” หวังเทียนหยางเย้ยหยันด้วยท่าทางดูหมิ่น
เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ถึงกับตั้งใจจะตีดาบต่อหน้าต่อตาตัวเอง ถือเป็นการกระตุ้นโทสะไม่ใช่น้อย
“ท่านผู้อาวุโส อย่าได้เข้าใจข้าผิดไป ที่พี่ซูของข้ามีความคิดเช่นนี้ เขาก็แค่…”
ท้ายที่สุดนั้น หวงเฉียนจวินก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไร
เพราะเขาไม่รู้มาก่อนว่าซูอี้คิดตีดาบด้วยตัวเอง
หวังเทียนหยางเปรียบดั่งไก่ชน ที่ถูกปลุกเร้าให้อยากแข่งขันเต็มที่ เขากล่าวเสียงดัง
“ไม่ต้องอธิบาย! ในเมื่อมีคนมาหาเรื่องถึงหน้าประตูแล้ว จะให้ตาเฒ่าหวังเทียนหยางไม่ตอบรับงั้นหรือ? หากปล่อยไว้ และข่าวคราวเผยออก พวกผู้ฝึกดาบในเมืองกว่างหลิงคงได้คิดว่าข้ากลัวจนหัวหด!”
ขณะที่พูด เขาชี้ไปยังเตาหลอมที่อยู่ข้างเคียง ตาจ้องไปที่ซูอี้และกล่าวอย่างลำพองใจ “เจ้าใช้เตานี่ได้ตามต้องการ ยังจะเอาอะไรอีกหรือไม่ ตาแก่คนนี้จะสนองให้เจ้าพอใจทุกอย่างเอง เจ้ามีความสามารถอะไรก็แสดงมันออกมาเสีย!”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ไฟยังไม่แรงพอ ทักษะคุมไฟของเจ้าเป็นเช่นไร?”
เมื่อได้ฟังคำถามนี้ หวังเทียนหยางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายอยู่ ๆ จะเอ่ยขึ้นเช่นนี้ จากนั้นเขาชี้จมูกตัวเอง และถามราวไม่อาจนึกเชื่อ
“นี่เจ้า… คิดจะให้ข้า… เป็นคนคุมไฟรึ?!”
บรรยากาศดูกดดันขึ้นมาทันที
คนรับใช้ทั้งหมดที่อยู่โดยรอบต่างอ้าปากค้าง และเห็นว่าผู้เฒ่าหวังเทียนหยางกำลังมีโทสะ
หวงเฉียนจวินกระวนกระวาย ขณะเดียวกับที่เขากำลังจะพูดเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย กลับได้เห็นซูอี้พยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะกล่าวว่า
“ในเมื่อท่านตีดาบเก่งที่สุดในเมืองกว่างหลิง ท่านก็ต้องเก่งเรื่องการควบคุมความร้อนที่สุดด้วย ท่านจะเป็นคนคุมไฟ ส่วนข้าเป็นคนตีดาบ แบบนั้นต้องไม่มีข้อผิดพลาดแน่”
หวงเฉียนจวินตะลึง ช่างตีดาบรุ่นใหญ่ผู้นี้ถูกพี่ซูใช้ให้เป็นคนคุมไฟ… นี่ถือเป็นเรื่องราวใดกัน?
เมื่อมองหวังเทียนหยางอีกครั้ง เห็นชัดว่าอกของชายชราสั่นเทารุนแรงด้วยโทสะ แก้มสีสัมฤทธิ์แดงขึ้นเพราะความโกรธอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านผู้อาวุโส โปรดระงับโทสะก่อน” หวงเฉียนจวินรีบกล่าวให้เขาสงบใจ
หวังเทียนหยางกัดฟันกรอด มือสะบัดรุนแรง “เจ้าไปให้พ้น ตาแก่คนนี้หลอมดาบมาแล้วสี่สิบกว่าปี ลมแรงคลื่นใหญ่ล้วนพบเห็น ถึงจะเป็นการยั่วยุเล็กน้อย แต่ข้ายอมไม่ได้!”
“ก็แค่คุมไฟใช่หรือไม่ ก็ได้ ข้ารับปาก!”
เมื่อเขาพูดดังนั้น สายตามองไปยังคนรับใช้และพูดสั่ง “ไป ไปบอกให้พวกช่างตีดาบในโรงตีหยุดงานให้หมด ให้พวกนั้นมาที่นี่ รับชมว่าผู้ท้าข้าจะมีความสามารถได้เพียงใด!”
หวงเฉียนจวินลอบกรีดร้อง หวังเทียนหยางกำลังทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้น!
แต่ยามเห็นท่าทีเฉยชาและสงบใจของซูอี้ เขาหวั่นไหวในใจ นึกย้อนถึงภาพที่ซูอี้แสดงฝีมือทางการแพทย์ที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงเมื่อวานนี้
[1] น่ง คำแสลงที่หมายถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองของเพศชาย