บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 361 ขนนกแดงและบงการม่วง
ตอนที่ 361: ขนนกแดงและบงการม่วง
ตอนที่ 361: ขนนกแดงและบงการม่วง
ทุกครั้งที่ก้าวถอยหลัง มวลอากาศใต้ฝ่าเท้าชิวเหิงคงเกิดเสียงระเบิดเบาราวกับไม่สามารถทนต่อแรงย่ำเท้าได้ กระทั่งกระแสลมโดยรอบยังปั่นป่วน!
เมื่อร่างของชิวเหิงคงยืนนิ่ง เส้นเลือดบนขมับปูดโปนขึ้นทันใด ปราณวิญญาณในร่างปะทุพลุ่งพล่านราวกับคลื่นสมุทร
ทั่วทั้งสถานที่เงียบสงัด
เห็นชัดว่าดาบที่สามนี้ชิวเหิงคงเสียเปรียบ!
“กระบวนท่าที่สี่”
โดยไร้ความลังเล ซูอี้ยกดาบขึ้นชูเหนือหัวก่อนจะจะโจมตีอีกครั้ง
ยามดาบฟาดฟันออก มันดูคล้ายจันทร์เต็มดวงปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าคราม ส่องแสงและเงาปกคลุมกดดันไปทั้งโลกหล้า ถัดมา ปราณดาบซึ่งดูลึกล้ำและไร้เทียมทานปรากฏขึ้น
สีหน้าของชิวเหิงคงเปี่ยมล้นไปด้วยความเครียด
สามดาบก่อนหน้าของซูอี้ รูปแบบของแต่ละดาบนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทว่ามีสิ่งนั้นที่แน่ชัดซึ่งก็คือแต่ละดาบถัดไปนั้นรุนแรงกว่าเดิมก่อนหน้าเสมอ!
และเมื่อได้ประจักษ์เห็นดาบที่สี่เผยออก ชิวเหิงคงก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา ดาบนี้แกร่งกล้ากว่าสามดาบก่อนหน้ามาก ซึ่งดูไม่น่าเชื่อ
แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับวีรกรรมทั้งหลายของซูอี้มาบ้าง และรู้ว่าคนหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีคนนี้ไม่สามารถประเมินได้ด้วยสามัญสำนึกปกติ แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้าด้วยตัวเอง ชิวเหิงคงก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงใจ
“ดาบมา!” ชิวเหิงคงตะโกนเสียงดังก้อง
ทันใดนั้นในมือซ้ายของชิวเหิงคงก็ปรากฏดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นดาบวิญญาณซึ่งดูไม่ธรรมดาที่มีรูปร่างเหมือนขนนกและทั้งตัวดาบมีสีแดงสดราวกับไฟ
เคร้ง!!
ขณะนี้มือแต่ละข้างของชิวเหิงคงกำดาบแน่นก่อนจะร่ายรำดาบด้วยท่วงท่าอันงามสง่า ดาบชิวเหิงในมือขวาดึงพลังหยินบริสุทธิ์จากบริเวณโดยรอบเข้าหา และในขณะเดียวกันดาบวิญญาณสีแดงเพลิงในมือซ้ายดึงพลังหยางบริสุทธิ์ แผ่อำนาจกดดันจนอากาศโดยรอบส่งเสียงระเบิดดังลั่น
ดาบคู่หยินหยางพิชิตฟ้า!
ทันทีที่มีดาบทั้งสองอยู่ในมือ พลังของชิวเหิงคงพลันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและพุ่งทะยาน!
พลังดาบของซูอี้เปรียบเสมือนดวงจันทร์ซึ่งสะกดข่มท้องฟ้า มันลึกล้ำและไร้เทียมทาน ชั่วอึดใจดาบของเขาปะทะกับดาบของชิวเหิงคง ประหนึ่งน้ำและไฟมาเจอกัน ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่น ปรากฏขึ้นและตามด้วยแสงสว่างวาบจนผู้คนแสบตาฉายไปทั่วสี่ทิศ
พลังดาบทั้งสองระเบิดออกในการปะทะอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ดวงจันทร์เต็มดวงถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แต่ทว่าอำนาจแห่งดาบหยินหยางก็พังทลายลงเช่นกัน
เหล่าผู้ชมเงียบกริบ ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ตัวสั่นสะท้าน พวกเขาตกตะลึงกับการระเบิดที่น่าตกใจนี้และไม่สามารถฟื้นตัวได้เป็นเวลานาน
มันเหมือนกับฉากการต่อสู้ของเทพในตำนาน ไม่ว่าจะเป็นชิวเหิงคงหรือซูอี้ พลังที่พวกเขาสำแดงออกมานั้นเกินความเข้าใจของคนส่วนใหญ่โดยสิ้นเชิง
แม้แต่คนอย่างฉู่อวี้โค่วก็ยังจมอยู่ในความคิด
เขาอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญเช่นเดียวกับชิวเหิงคง แต่หากเทียบกับอำนาจที่ชิวเหิงคงสำแดงออกมาเมื่อครู่นี้แล้ว เขาสามารถบอกได้เลยว่าเขาไม่อาจเทียบกับอีกฝ่ายได้!
และถ้ายิ่งเปรียบเทียบกับซูอี้ซึ่งเป็นเพียงบรรพาจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์… ผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดอย่างฉู่อวี้โค่วยิ่งอับอาย!
“ดาบคู่?”
ในระยะไกลออกไป ซูอี้สนใจภาพตรงหน้าไม่น้อย
“ชื่อของดาบนี้คือ ‘ขนนกแดง’ มันเป็นดาบโบราณที่ข้าได้รับเมื่อห้าสิบปีก่อนจาก ‘หุบเขาอสูรรุ้งทอง’ แห่งต้าเว่ย
ชิวเหิงคงมองไปที่ดาบวิญญาณในมือซ้ายของเขาและกล่าวต่อ “นอกจากดาบเล่มนี้ ข้ายังมีดาบวิญญาณอีกเล่มซึ่งมีนามว่า ‘บงการม่วง’ ซึ่งข้าได้มาจากหุบเขาอสูรรุ้งทองเช่นกัน ในช่วงห้าสิบปีของการเก็บตัวปิดด่าน ข้าได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างหนักฝึกฝนการใช้ดาบทั้งสามเล่มที่ข้ามี ผสานใช้กับวิถีดาบที่ข้าบรรลุ จนถึงตอนนี้ ข้าสำเร็จไปได้ถึงขั้นต้น”
พูดถึงประโยคนี้ ชิวเหิงคงจับจ้องซูอี้ที่อยู่ในระยะไกลและพูดว่า “แต่ทว่าข้ายังคงสงสัยว่าสหายเต๋าจะมีความสามารถพอถึงขนาดทำให้ข้าใช้ดาบทั้งสามเล่มพร้อมกันได้หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เลว นับว่าน่าสนใจอยู่บ้าง”
บรึม!
เสื้อคลุมของซูอี้กระพือจากนั้นจึงโจมตีอีกครั้ง ทั้งร่างเปล่งอำนาจไร้เทียมทานราวกับเทพเซียนอมตะ จากนั้นร่างก้าวทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับก้าวไต่บันไดเมฆา ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าถูกยกชูขึ้นเหนือศีรษะ และปลายดาบชี้ขึ้นท้าทายสวรรค์
จนกระทั่งกระโดดก้าวไปได้เก้าก้าว ดาบที่ยกชูขึ้นได้ฟันสับลงอย่างฉับพลัน
“กระบวนท่าที่ห้า!”
ทันใดนั้น แสงอาทิตย์ซึ่งอยู่ ณ ขอบฟ้าก็มืดมิดลง มีเพียงพลังดาบเท่านั้นที่สุกสว่าง แสงจากพลังดาบนั้นเจิดจ้าสว่างไสวอย่างหาที่เปรียบมิได้ มันสว่างมากซะจนทำให้ทั้งโลกสว่างไสว
ราวกับแดนสวรรค์อันสว่างจ้าถูกดึงลงมายังผืนพิภพ!
เหล่าสมาชิกสำนักวงเดือนทั้งน้อยใหญ่ต่างหรี่ตาเพราะแสงนั้นเจิดจ้าเกินกว่าจะรับไหว ดวงตาของพวกเขาต่างแสบและพร่ามัว สีหน้าซีดด้วยความตื่นตระหนก
ฉาจิ่นจำเป็นต้องยกมือขึ้นปิดตาเช่นกัน พลังดาบของซูอี้นั้นรุนแรงเกินไป แม้ว่าจะอยู่ห่างไกล แต่มันกลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถจับตามองได้ และดวงวิญญาณคล้ายจะถูกแผดเผา
ชิวเหิงคงหลับตาลงและใช้จิตสัมผัส จับวิถีดาบของซูอี้แทนการมองด้วยตาเปล่า ซึ่งมันทำให้เขายิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงอำนาจในดาบของซูอี้ จนแท้แต่จิตใจของเขายังสั่น
ช่างเป็นดาบที่เลิศล้ำนัก!!
ดาบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถฝึกฝนและบรรลุได้ในชั่วข้ามคืน และอีกทั้งไม่ว่าจะได้พบเจอโชคอันยิ่งใหญ่เพียงใด มันก็ไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้สำแดงดาบนี้ออกมาได้ในชั่วข้ามคืน
ในฐานะผู้ฝึกฝนวิถีดาบ ชิวเหิงคงรู้ดีที่สุดว่าการบรรลุเต๋าแห่งดาบไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน
จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายเป็นนับสิบ ๆ ปี
แต่ทว่าซูอี้ คนหนุ่มผู้ที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปีผู้นี้กลับมีความเข้าใจในเต๋าแห่งดาบสูงล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ ทักษะดาบต่าง ๆ ที่ซูอี้แสดงออกมาคล้ายกับผ่านการฝึกฝนมานับไม่ถ้วน ซึ่งน่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้
นี่มันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชิวเหิงคงไม่ลังเลหรือรอช้า
เคร้ง! เคร้ง!
ดาบชิงเหอและดาบขนนกแดงส่งเสียงกังวานไปทั่วสี่ทิศ ชิวเหิงคงโบกดาบทั้งสองไขว้เป็นคล้ายกับอักษร 乂*[1]
ดาบนี้คือการผสานรวมพลังดาบสองเล่มเป็นหนึ่งเดียว เล่มหนึ่งเป็นหยางสุดขีดอีกเล่มเป็นหยินสุดขั้ว มันสามารถตัดภูเขาผ่าแม่น้ำออกได้ราวกับสวรรค์สั่ง
ดาบเล่มนี้เป็นทักษะเฉพาะของชิวเหิงคง มันเป็นกระบวนท่าสังหารที่เขาฝึกฝนมาตลอดห้าสิบปีที่เก็บตัวปิดด่าน!
ตูม!
มวลอากาศโดยรอบระเบิดสะท้าน ดาบอันเจิดจ้าของซูอี้ถูกต้านรับด้วยดาบไขว้ของชิวเหิงคง เป็นภาพคล้ายกับถูกจับด้วยกรรไกรเปิด
แกร็ก!
จุดตัดของดาบไขว้ทั้งสองหัก
แต่ทว่าครึ่งส่วนแรกของพลังดาบซึ่งคล้ายกับปลายกรรไกรยังคงไม่พังทลาย แต่กลับแปรเปลี่ยนรูปร่างราวกับมังกรยาวสองตัวพุ่งเข้าหาซูอี้
ดวงตาของซูอี้เป็นประกายด้วยความประหลาดใจ แต่เสี้ยวพริบตาถัดมาเขาก็หัวเราะเสียงเบา ก่อนจะสำแดงกระบวนท่าดาบที่หกออกไป
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าคำรามก้องไปทั่วฟ้าดิน ใบดาบสีนิลดำราวกับยามราตรีสั่นสะเทือนในมือของซูอี้ และจากนั้นราวกับมังกรที่ซ่อนอยู่ออกมาจากขุมนรก ทันใดนั้นคมดาบตวัดออก
หลังจากออกกระบวนท่า ปราณดาบพวยพุ่งออกจากดาบนิลกาฬกลืนฟ้าขึ้นสูงเสียดฟ้า และบดขยี้พลังดาบสองสายของชิวเหิงคง
ตูม!!!
ชิวเหิงคงพยายามต้านทานสุดกำลัง เขารีบเร่งโคจรปราณวิญญาณของตนเองส่งไปที่ดาบทั้งสองในมือ ก่อนที่พายุปราณดาบถูกปล่อยออกไปอีกครา อำนาจการทำลายล้างของมันราวกับสารทำลายล้างได้ทุกสิ่งในโลกหล้า แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับปราณดาบของซูอี้ พายุปราณดาบสูงสิบจั้งกลับแตกสลายทันที การปะทะรุนแรงแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง ชิวเหิงคงเป็นเสมือนเรือใบเล็กในมหาสมุทรคลั่ง ร่างของเขาโซเซไปมาอย่างรุนแรง
ในเวลานี้ เมื่อซูอี้โคจรปราณดาบจนเป็นที่พอใจ เขาก็ฟาดฟันดาบออกอย่างดุดัน
“เปิด!”
ชิวเหิงคงสัมผัสได้ชัดเจนว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งยวด
เขาโคจรพลังในร่างจนถึงขีดสุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะยกดาบคู่ในมือทั้งสองป้องกันเอาไว้เหนือศีรษะของตนเอง
ตูม!
ภายใต้การจ้องมองอย่างตกตะลึงของฝูงชน ร่างของชิวเหิงคงร่วงหล่นลงจากความสูงหลายสิบจั้งจนเหลือเพียงระยะไม่กี่ฉื่อจากพื้นดิน ชิวเหิงคงจึงจะสามารถกลับมาตั้งหลักได้
แขนเสื้อและเสื้อผ้าของเขาแหว่งและฉีกขาดหลายจุด ใบหน้าอันหล่อเหลาเสมือนคนหนุ่มวัยรุ่นของเขาเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังอยู่ในสภาวะตึงเครียดขีดสุด ทั้งร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
หากมองไปที่ง่ามนิ้วของเขาแบบใกล้ ๆ จะเห็นว่าง่ามนิ้วของมือทั้งสองข้างซึ่งกำลังกำดาบสั่นไม่หยุดและมีเลือดไหลออก เมื่อเห็นทั้งหมดนี้ผู้รับชมทั้งหมดต่างสูดหายใจเข้าลึกเพราะรู้สึกพรั่นพรึงกับพลังดาบของซูอี้
ดาบเมื่อครู่นี้แทบจะทำให้นักดาบผู้ที่มีชื่อเสียงของต้าเว่ยสิ้นชื่อ!
“เจ้าสามารถป้องกันดาบนี้ได้ แสดงว่าพลังการต่อสู้ของเจ้าอยู่เหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเปิดทวารในโลกนี้มากทั้ง ๆ ที่เจ้าอยู่เพียงขอบเขตไร้เบญจธัญ เห็นได้ว่ารากฐานการบ่มเพาะของเจ้ามั่นคงยิ่งนัก อีกทั้งเจ้ายังมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาด้วย”
กลางอากาศ ซูอี้กล่าวด้วยความชื่นชม เสียงของเขาแพร่กระจายไปไกลนับสิบลี้
ชิวเหิงคงผู้นี้มีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่าเยว่ซือฉาน และระดับการบ่มเพาะก็ไม่ได้สูงกว่าโจวฉางอี้ แต่ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดที่ซูอี้เคยประมือด้วย
ตัวตนเช่นนี้มีค่าควรให้เรียกขานว่า ‘นักดาบ!’
“ขอบคุณสหายเต๋าสำหรับคำชมของท่าน”
ชิวเหิงคงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบอาการปั่นป่วนภายในและเผชิญหน้ากับซูอี้จากระยะไกล การแสดงออกของเขาสงบนิ่งเหมือนทะเลสาบและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“สหายเต๋าเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์โดยกำเนิด เพียงอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ แต่เต๋าดาบของท่านกลับสูงส่งจนแม้แต่ข้ายังรู้สึกตกตะลึงนัก”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ดวงตาของชิวเหิงคงก็เปล่งประกายและปราณดาบพลุ่งพล่านอยู่ภายใน “แต่ทว่า ชิวผู้นี้ยังคงไม่คิดว่าวันนี้สหายเต๋าจะสามารถกำชัยได้!”
ซูอี้หัวเราะอย่างมีความสุข “เช่นนั้นรับดาบของข้าไปอีกครั้ง!”
หลังจากพูดจบ ซูอี้ก็โจมตีอีกครั้ง
ทว่าการโจมตีครั้งนี้ของซูอี้รวดเร็วราวแสงวาบ ปราณรูปลักษณ์ดาบยาวสามฉื่อพุ่งไปถึงตรงหน้าของชิวเหิงคงภายในพริบตา ปราณนี้ดาบบางราวกับปีกของจักจั่น แต่ทรงอำนาจราวกับสายฟ้า
ชิวเหิงคงแทบสะดุ้งกับการโจมตีกะทันหันนี้ เขารีบร่ายรำดาบคู่ก่อนจะฟาดฟันออกอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเล พลังดาบถูกฟาดฟันออกอย่างต่อเนื่องราวกับไร้สิ้นสุด ทุกการฟาดฟันแฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งดาบอันหนาแน่น
ดาบถาโถมต่อเนื่องประหนึ่งคลื่นพายุซัดอันไร้สุดสิ้น!
ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงเสมือนคลื่นนี้ ปราณกระบี่ของซูอี้ซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาชิวเหิงคงทันใดนั้นก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
แต่ด้วยตาเปล่ายังคงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคลื่นพลังดาบต่อเนื่องของชิวเหิงคงพังทลายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปราณดาบยาวสามฉื่อของซูอี้ไปถึงตรงหน้าของชิวเหิงคงห่างเพียงสองฉื่อ ปราณดาบของซูอี้ถึงจะถูกยับยั้งโดยสมบูรณ์
แต่ทว่าที่หว่างคิ้วของชิวเหิงคงกลับมีรอยทิ่มแทงของดาบปรากฏบนผิวหนังของเขา และเลือดสีแดงเข้มหยดหนึ่งผุดออกมาก่อนจะไหลลงเรื่อยผ่านสันจมูกและไปหยุดอยู่ที่มุมริมฝีปาก
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มจมูกของชิวเหิงคง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและขณะเดียวกันก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง
ดาบเมื่อครู่นี้ของซูอี้ไม่เพียงแต่เร็ว ทว่ายังคมกริบ!!
แม้ว่าปราณดาบจะถูกสลายไปก่อนจะถึงตัวเขา แต่อำนาจความคมนั้นแผ่ขยายออกจนถึงขนาดสามารถแทงทะลุผิวหนังตรงหว่างคิ้วของเขาได้!
ในระยะไกลซูอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “ขณะนี้ตัวข้าเพียงพอให้เจ้าใช้ดาบที่สามหรือไม่?”
“เพียงพอ!”
ชิวเหิงคงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เคร้ง!
บนศีรษะของชิวเหิงคง ทันใดนั้นดาบยาวหนึ่งคืบปรากฏขึ้นพร้อมกับแผ่ประกายแสงสีม่วงเข้มส่องประกาย แสงและเงาที่มันแผ่ออกนั้นทั้งลี้ลับและน่าเกรงขาม
ขณะเดียวกัน บรรยากาศโดยรอบบริเวณถูกย้อมจนเป็นสีม่วงพร่างพราย
[1] 乂 ออกเสียงว่าอี้ แปลว่าตัด หรือสะบั้น