บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 362 รวมทุกสิ่งไว้ในหนึ่งดาบ
ตอนที่ 362: รวมทุกสิ่งไว้ในหนึ่งดาบ
ตอนที่ 362: รวมทุกสิ่งไว้ในหนึ่งดาบ
ดาบสีม่วงเล่มเล็กบินเวียนไปมาในอากาศ มันดูคล้ายกับภาพมายามากจนดูราวกับไม่ใช่ของจริง
แต่ทว่ายามแลเห็นดาบนี้ ฉู่อวี้โค่วและทุกคนในสำนักวงเดือนต่างก็สั่นไหวและสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
นี่เป็นสมบัติประเภทใดกัน?
“ศาสตราวิถีวิญญาณ?”
ซูอี้ประหลาดใจ
“คิดไว้อยู่แล้วว่าคงไม่อาจปิดบังสายตาอันเฉียบแหลมของสหายเต๋าได้ ถูกต้องแล้วมันคือศาสตราวิถีวิญญาณซึ่งตลอดห้าสิบปีที่ผ่านมาข้าได้หล่อเลี้ยงมันในทะเลแห่งจิตวิญญาณ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนคิ้วของชิวเหิงคง “ดาบเล่มนี้อาบล้นไปด้วยพลังจิต มันเข้ากับวิถีดาบของข้าได้อย่างเหมาะสม และพลังของมันก็ไร้ขอบเขต เมื่อตอนที่ข้าได้รับการยอมรับจากมันในหุบเขาอสูรรุ้งทอง ข้าแทบจะไม่อยากเชื่อกับความโชคดีของตัวเอง”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์
เห็นได้ชัดว่าชิวเหิงคงรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่งที่เขาสามารถทำให้ดาบบงการม่วงยอมรับเขาเป็นเจ้านายได้
“ความสามารถในการทำให้ศาสตราวิถีวิญญาณยอมรับเจ้าเป็นนายได้นั้นเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเจ้าคือนักดาบที่แท้จริง”
ซูอี้พยักหน้า
ศาสตราวิถีวิญญาณนั้นเป็นอาวุธที่ถูกใช้โดยเหล่าผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณระดับสูงเท่านั้น
เนื่องจากวัสดุและแร่ต่าง ๆ ที่ใช้ในการหลอมสร้างมีพลังที่สถิตอยู่ภายในรุนแรงและมันหายากมาก อีกทั้งความลับในการหลอมสร้างมักจะถูกครอบครองแต่ในมือของเหล่าผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณ และมีเพียงผู้บ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่สามารถควบแน่น ‘เจตจำนงแห่งวิถีวิญญาณ’ ซึ่งมันคือส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในการใช้หลอมสร้างศาสตราวิถีวิญญาณ
ตัวอย่างเช่นในเก้ามหาแดนดิน แม้แต่ในหมู่ผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณด้วยกัน มีเพียงศิษย์หลักในสำนักใหญ่ ๆ เท่านั้นที่มีโอกาสได้รับ ‘ศาสตราวิถีวิญญาณ’ จากผู้อาวุโสของนิกาย
ดังนั้นแล้วการที่ชิวเหิงคงมีโอกาสได้ครอบครองดาบเล่มนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณจึงนับได้ว่าเขามีโชคที่อยู่เหนือกว่าของคนธรรมดาทั่วไปมากมายนัก
“สหายเต๋า เตรียมรับมือ!”
ในระยะไกลชิวเหิงคงเอ่ยคำก่อนจะบังคับดาบบงการม่วงพุ่งผ่านอากาศเข้าหาซูอี้ แต่ทว่าหลังจากพุ่งไปได้เพียงเสี้ยวพริบตา จู่ ๆ ดาบบงการม่วงกลับหายไปอย่างกะทันหัน!
หรือพูดอีกอย่างคือเร็วเสียจนมองไม่ทันอย่างสมบูรณ์!
เฉพาะผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดที่มี ‘จิตสัมผัส’ เช่นฉู่อวี้โค่วเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ว่าดาบบงการม่วงกำลังพุ่งเข้าหาซูอี้ด้วยความเร็วที่ตาเปล่าไม่อาจมองทันอย่างสมบูรณ์
มันเป็นความเร็วที่ด้อยกว่าการเคลื่อนย้ายผ่านมิติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากดาบนี้ใช้กับผู้บ่มเพาะในขั้นวิถียุทธ์ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตใด ผู้บ่มเพาะคนนั้นย่อมถูกฆ่าโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองตายได้อย่างไร!
หรือแม้แต่กับผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดด้วยกัน ดาบนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะปลิดชีพอีกฝ่ายได้!
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของซูอี้ไม่อาจวัดได้ด้วยสามัญสำนึก แม้ว่าซูอี้จะอยู่ในวิถียุทธ์ แต่เขามี ‘จิตสัมผัส’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะขั้นวิถีต้นกำเนิดเท่านั้นที่สามารถมีได้เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นแม้จะเผชิญกับดาบที่รวดเร็วนี้ ซูอี้ก็สามารถแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ทันใดนั้นดวงตาของซูอี้เปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า จากนั้นปราณวิญญาณก็ควบแน่นจนเป็นดาบสีครามและพุ่งออกจากหว่างคิ้วของซูอี้
วิชาหนึ่งปราณสังหารเทพ!
ดาบสีครามนี้คือ ‘ดาบสังหาร’ ที่ควบแน่นโดยปราณวิญญาณบริสุทธิ์
เคร้ง!!!
เสียงคำรามดังก้องแทบจะทำให้แก้วหูผู้คนฉีกขาด
ดาบบงการม่วงถูกต้านอย่างรุนแรงจนกระเด็นถอยกลับอย่างไร้การควบคุมไปชั่วครู่ และจากนั้นมันจึงบินกลับไปหาชิวเหิงคงผู้เป็นนายของมัน
การโจมตีที่ร้ายแรงนี้ได้รับการแก้ไขภายในพริบตา
ในมุมมองของคนนอก ดูราวกับซูอี้รับมือดาบนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริง ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดคนอื่น แม้ว่าจะต้านทานดาบบงการม่วงไม่ให้เสียบทะลุร่างของตนเองได้ จิตวิญญาณก็จะได้รับความเสียหายอยู่ดี!
ในระยะไกล ชิวเหิงคงผู้ควบคุมดาบบงการม่วงทั้งร่างเซไปมา ริมฝีปากของเขาบิดเบี้ยวและใบหน้าซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด
การใช้งานศาสตราวิถีวิญญาณด้วยจิตสัมผัส เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับศาสตราวิถีวิญญาณ จิตสัมผัสและจิตวิญญาณก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วยเช่นกัน
“สหายเต๋าช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ท่านถึงขนาดมีเคล็ดวิชาลับบ่มเพาะจิตวิญญาณ จนความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณท่านนั้นมันมากล้ำกระทั่งข้าผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดยังต้องอับอายขายหน้า”
ชิวเหิงคงถอนหายใจอย่างขมขื่น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าซูอี้ผู้ที่มีพลังการต่อสู้ฝืนกฎสวรรค์ยังไม่พอ แต่กระทั่งยังมีเคล็ดวิชาลับบ่มเพาะจิตวิญญาณอันน่าเหลือเชื่อ จิตวิญญาณของซูอี้นั้นแข็งแกร่งเสียจนดาบบงการม่วงไม่อาจทำอันตรายได้แม้แต่น้อย
ในระยะไกล ฉู่อวี้โค่วดูมืดหม่น ในใจผสมปนเปไปด้วยทั้งความตกตะลึง โทสะและหวาดกลัว
นี่เป็นกระบวนท่าที่แปดที่ซูอี้ใช้แล้ว
แต่จนถึงตอนนี้ ชิวเหิงคงยังคงเสียเปรียบมาตลอด ดังนั้นแล้วจะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไร?
บรรยากาศของสำนักวงเดือนมาคุยิ่งขึ้นเช่นกัน
ทุกคนเห็นกันอย่างชัดเจนว่าดาบบงการม่วงเป็นไพ่ตายของผู้อาวุโสสูงสุดชิวเหิงคง แต่ต่อหน้าซูอี้ ไพ่ตายนี้ดูเหมือนจะไร้ผล
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ
ห่างออกไป หัวใจที่ตึงเครียดของฉาจิ่นได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อได้สตินางจึงเพิ่งรู้ตัวว่านางกำมือของตัวเองแน่นเกินไปจนเล็บของนางแทบจะจิกทะลุผิวหนังบนฝ่ามือ
“ดาบนี้ของท่านไร้ประโยชน์สำหรับข้า สหายเต๋ายังมีสิ่งใดไม่ได้ใช้ออกอีกหรือไม่?” ซูอี้ถาม
“ขอเสียมารยาทแล้ว”
ชิวเหิงคงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะโบกมือ
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ภายใต้การโบกมือ ดาบขนนกแดง ดาบชิงเหอ และดาบบงการม่วงต่างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พวกมันคำรามเสียงพร้อมกัน จากนั้นดาบทั้งสามเล่มต่างสำแดงอำนาจที่แฝงในพวกมันจนเผยออกเป็นระลอกพลังราวกับคลื่นยักษ์
ท้ายที่สุดพลังของดาบทั้งสามผสานเข้าด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์
ปราณวิญญาณในร่างของชิวเหิงคงถูกโคจรจนสุดขั้วเช่นกัน เหงื่อผุดเต็มหน้าผากของเขา แสดงให้เห็นว่าขณะนี้เขากำลังทุ่มกำลังเต็มที่ไปที่ดาบทั้งสามเล่มของตนเอง
“เป็นเวลาห้าสิบปีแล้วที่ข้าได้ลับดาบชิงเหอด้วยปราณวิญญาณในร่าง ดาบขนนกแดงข้าหล่อเลี้ยงมันด้วยโลหิตส่วนดาบบงการม่วงข้าเลี้ยงมันด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ และตอนนี้ข้าได้ทำให้ดาบทั้งสามนี้ผสานเข้ากับพลังชีวิตของข้า ข้ามั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าอำนาจของดาบนี้น่าอัศจรรย์ในแบบที่ไม่มีผู้ใดในโลกนี้เคยพบเห็นอย่างแน่นอน!”
ชิวเหิงคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบพลางมองไปที่ซูอี้
“วันนี้ขอรบกวนสหายเต๋าเป็นประจักษ์พยานด้วยแล้ว!”
ทันใดนั้นชิวเหิงคงโบกมืออย่างรุนแรงพร้อมกับตะโกนลั่น
“ไป!”
ฟิ้ว!
ดาบชิงเหอเป็นเล่มแรกที่บินพุ่งออกไป และจากนั้นดาบขนนกแดงเป็นเล่มที่สอง ส่วนดาบบงการม่วงเป็นเล่มที่สามซึ่งบินปิดท้าย กลางอากาศดาบทั้งสามเล่มเชื่อมผสานรวมต่อกันกลายเป็นดาบยาวและส่งผลให้อำนาจของพวกมันยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี!
“นี่…”
ทุกคนที่ดูการต่อสู้ต่างตกตะลึง
“ตามที่คาดไว้ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวงเดือน บุคคลผู้ครองตำแหน่งนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ยมาเป็นเวลาร้อยปี!”
ฉู่อวี้โค่วตกตะลึง
“ดาบนี้ช่างเลิศล้ำนัก หากเป็นข้าคงไม่อาจหยุดดาบนี้ได้แน่…”
ทางด้านของฉาจิ่น นางลุ้นระทึกจนหัวใจแทบกระดอนออกจากอก
“ดาบดี!”
เมื่อเผชิญหน้ากับดาบนี้ ซูอี้พยักหน้าอย่างชื่นชม และในขณะเดียวกัน ความกระหายในการต่อสู้ของเขาก็พุ่งสูงขึ้น
ในที่สุดเขาตัดสินใจไม่ยั้งมืออีกต่อไป
ทันใดนั้นดาบนิลกาฬกลืนฟ้าส่งเสียงดังคำรามถี่ราวกับกำลังเปล่งเสียงบทสวดที่เร่าร้อน พร้อมกันนั้นซูอี้โคจรปราณวิญญาณไปยังดาบ ทำให้ดาบนิลกาฬปลดปล่อยปราณดาบหนาแน่นปกคลุมทั่วทั้งใบดาบ ปราณดาบนั้นยืดยาวออกถึงสามฉื่อ
จากนั้นซูอี้พุ่งสวนเข้าปะทะกับดาบทั้งสามเล่มของชิวเหิงคงโดยตรง ไร้ซึ่งความลังเลและเกรงกลัว เมื่อถึงระยะสามฉื่อ ซูอี้ฟาดฟันดาบนิลกาฬกลืนฟ้าซึ่งขณะนี้อัดแน่นไปด้วยพลังอันเลิศล้ำ พลังนั้นรุนแรงราวกับสามารถสามารถแยกสวรรค์และโลกออกจากกัน
อันที่จริงการฟาดฟันครั้งนี้ซูอี้ผสานทุกสิ่งที่ตนเองมีลงไปในดาบเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจในเต๋าแห่งดาบ ปราณวิญญาณ จิตสัมผัส เจตจำนง ความแข็งแกร่งทางกายภาพทั้งหมดและพลังธาตุทั้งห้าที่มีอยู่ในร่างจนกลายเป็นพลังดาบยาวสามฉื่อนี้
ตูม!
ปราณดาบสามฉื่อห้ำหั่นต่อดาบสามเล่มผสานรวมเป็นหนึ่ง!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงปะทะรุนแรงราวกับฟ้าถล่ม
อึดใจแรกดาบชิงเหอไม่อาจทานทนจนกระดอนถอยกลับ
อึดใจถัดมา ดาบขนนกแดงพ่ายแพ้และกระดอนไปข้างหลัง
แต่ทว่ายามที่ปราณดาบสามฉื่อกำลังปะทะกับดาบบงการม่วง ฉากอันไม่น่าเชื่อพลันปรากฏแก่สายตา
ดาบชิงเหอและดาบขนนกแดงที่เพิ่งพ่ายแพ้ไปเมื่อครู่ จู่ ๆ พวกมันบินวกกลับมาต่อที่ด้านหลังของดาบบงการม่วง จากนั้นผสานพลังกันเช่นดังเดิม
เคร้ง!
ดาบทั้งสามผสานเข้าด้วยกันอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้พลังของพวกมันน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ในระยะไกลชิวเหิงคงยิ้มอย่างพึงพอใจ
นี่คือดาบที่เขาฝึกฝนมาห้าสิบปี มันคือดาบที่เขาใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมีลงไป และซ่อนเจตนาสังหารเอาไว้อย่างแยบยลให้กลายเป็นกระบวนท่าสังหารอันไร้ที่ติ
แต่ครู่ต่อมารอยยิ้มของชิวเหิงคงแข็งค้างในทันใด
ทันใดนั้นปราณดาบสามฉื่อของซูอี้จู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นภูเขาดาบห้าลูกปรากฏขึ้น ภูเขาแต่ละลูกปลดปล่อยพลังอำนาจยิ่งใหญ่เสียจนคล้ายว่าสามารถปราบปรามได้ทุกสิ่ง
ไม่ต้องสงสัย ปราณดาบสามฉื่อของซูอี้นั้นก็มีไพ่ลับที่ซ่อนอยู่ …ที่แท้ปราณดาบสามฉื่อของซูอี้ซ่อนอำนาจความมหัศจรรย์แห่งเบญจธาตุเอาไว้!
ตูม!
ในสายตาของคนนอก พวกเขาเห็นเพียงปราณดาบสามฉื่อและดาบวิญญาณทั้งสามปะทะกันอย่างรุนแรง คลื่นแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวกวาดออกไปทั่วทุกทิศ
คลื่นปะทะอันรุนแรงนี้ทำให้การมองเห็นของทุกคนกลายเป็นพร่ามัว หูของพวกเขาหนวกไปชั่วคราว การรับรู้ทั้งหมดได้รับผลกระทบ
มีเพียงฉู่อวี้โค่วเท่านั้นที่มองเห็นได้ชัดเจนว่าพลังทำลายนี้น่าหวาดกลัวเพียงใดอย่างแท้จริง มันกวาดไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบออกไปหลายสิบลี้ ราวกับพายุคลั่งพยายามทำลายท้องฟ้า
ห่างออกไป ฉาจิ่นหลบไปไกลเป็นครั้งแรก
รัศมีแห่งการทำลายล้างนั้นน่ากลัวเกินไป แม้แต่ยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงยังถูกกวาดล้างจนเป็นยอดเขาโล้น!
“ใครชนะ ใครแพ้?”
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ ดาบของชิวเหิงคงนั้นรุนแรงเลิศล้ำ ไม่ว่าผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดคนใดหากเผชิญกับดาบนี้หากไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส ส่วนซูอี้ ไม่ว่าอย่างไรก็แข็งแกร่งเหนือธรรมดาสามัญไปไกลโข ดังนั้นถึงไม่ตายอีกฝ่ายก็ควรได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่เมื่อฝุ่นดินสงบลง ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเงียบงัน ผู้คนต่างอ้าปากค้างกับฉากที่ปรากฏขึ้น
ในอากาศ ฝุ่นจางหาย ทุกคนต่างเห็นภาพอันน่าตกตะลึง ปราณดาบสามฉื่อของซูอี้ขณะนี้กำลังจ่ออยู่ที่คอของชิวเหิงคงห่างไปหนึ่งคืบ
ปราณดาบนั้นยังคงชัดเจนและกล้าแกร่ง ซึ่งกระตุ้นให้ชิวเหิงคงอดไม่ได้ที่จะขนลุก
ใบหน้าของเขาซีด แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายของเขาแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย และลึกลงไปในหัวใจของเขามีอารมณ์ที่สั่นไม่หยุด
ดาบของซูอี้บดขยี้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาอย่างเบ็ดเสร็จ ขณะนี้เพียงซูอี้เหยียดแขนอีกสักเล็กน้อย ชีวิตของเขาคงจะมอดดับลงอย่างแน่นอน
ขณะนี้เขาไม่มีโอกาสต่อต้านเลย!
“สหายเต๋า… ทำไมท่านไม่ฆ่าข้าเสียที?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าของชิวเหิงคงเปลี่ยนเป็นโง่งม เขามองซูอี้ที่บินห่างออกไปอย่างเชื่องช้า
ห่างออกไป
ซูอี้จับดาบในท่าทางแนบแผ่นหลังของตัวเอง ร่างเหยียดตรงอย่างองอาจกลางอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายอันสูงส่งและกล้าแกร่งราวกับผู้เป็นเซียนอมตะออกมา