บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 364 ข่าวลือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของทะเลวิญญาณโกลาหล
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 364 ข่าวลือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของทะเลวิญญาณโกลาหล
ตอนที่ 364: ข่าวลือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของทะเลวิญญาณโกลาหล
ตอนที่ 364: ข่าวลือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของทะเลวิญญาณโกลาหล
ในราตรีมืดมิด
ห่างจากนครหลวงเทียนเชวียไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสิบลี้ มีหิมะโปรยปรายลงมา ปกคลุมไปทั่วภูเขา
แม้จะเป็นยามราตรี ทว่าภายใต้หิมะที่ปกคลุม น่านฟ้ากลับมีชีวิตชีวา และขจัดความมืดมิดหายไป
กลางทะเลสาบเชียนเสวี่ยที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีเรืออูเผิง*[1] ล่องลอยอยู่ในนั้น
บนเรืออูเผิง มีเตาดินแดงขนาดเล็ก หม้อใบใหญ่วางอยู่บนเตาไฟ และซุปสีแดงสดที่ต้มด้วยเครื่องเทศรสเผ็ดมากกว่าสิบชนิดเดือดอยู่ในนั้น
ฉาจิ่นนั่งอยู่อีกด้าน และข้างนางมีวัตถุดิบสดใหม่สิบกว่าชนิดวางไว้ มีผักสีเขียวสดหลากหลาย มีเนื้อที่หั่นบางราวกับปีกจักจั่น และยังมีเห็ด ไส้เป็ด เลือดหมูและอื่น ๆ
ซูอี้กินไปด้วยดื่มไปด้วย รู้สึกสบายกายและใจมาก
หิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ทั่วสรรพสิ่งล้วนเงียบสงบ
ท่ามกลางราตรีที่เหน็บหนาวเข้ากระดูก การล่องเรืออยู่บนทะเลสาบกินหม้อไฟร้อน ๆ กับหญิงงามที่สวยจนอยากกลืนกิน เป็นความผ่อนคลายและความสุขที่หาได้ยากยิ่ง
“คุณชาย ลองชิมปลาสากใหญ่นี้ดูสิเจ้าคะ แค่นำลงไปลวกครู่หนึ่ง ไม่ต้องปรุงสิ่งใด ก็มีรสชาติที่อร่อยล้ำเลิศมากเลยเจ้าค่ะ”
ฉาจิ่นคีบเนื้อปลาขาวอวบชิ้นหนึ่งนำลงไปลวกในหม้อครู่หนึ่ง และส่งให้กับซูอี้
ปลาสากใหญ่คือสินค้าประจำถิ่นของทะเลสาบเชียนเสวี่ย ยาวสุดเพียงแค่ครึ่งฉื่อ มีชีวิตอยู่ในทะเลสาบเย็นเฉียบตลอดปี ทำให้เนื้อของปลานี้สดใหม่อย่างมาก
ซูอี้ชิมอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่ารสชาตินั้นพิเศษมาก จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม “อร่อยจริง ๆ”
ฉาจิ่นแย้มยิ้ม และช่วยซูอี้คีบอาหารอย่างขยันขันแข็ง บางครั้งก็ดื่มกับซูอี้บ้าง
เปลวไฟจากเตาสะท้อนอยู่บนดวงหน้างาม ขับให้เห็นถึงความน่ารักและอ่อนโยน
จนกระทั่งกินอิ่มและดื่มจนพอแล้ว ซูอี้จึงนั่งอยู่หน้าเรืออูเผิงอย่างเกียจคร้าน มองหิมะโปรยปรายลงมาบนผิวน้ำ รู้สึกผ่อนคลายและจิตใจเงียบสงบ
ฉาจิ่นช่วยชงชาร้อน ๆ ให้ชายหนุ่ม จากนั้นก็นั่งลงอยู่ด้านข้าง สองมือวางอยู่บนต้นขาซูอี้ ก้มหัวนอนหนุนอยู่บนแขนราวกับลูกแมว ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่ไกล ๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณชาย ข้าไม่มีบ้านแล้ว จากนี้ไป… ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ข้าก็จะไปด้วย แต่คุณชายไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ตัวติดท่านตลอดเวลา และจะไม่เรียกร้องฐานะอะไร เพียงแค่คุณชายไม่ขับไล่ข้าก็เพียงพอแล้ว”
ในน้ำเสียง แอบซ่อนความรู้สึกอ่อนโยนและความซาบซึ้งเอาไว้มากมาย
ซูอี้ลูบผมอ่อนนุ่มของฉาจิ่นเบา ๆ พลางเอ่ยทันที “เส้นทางการฝึกฝนในแต่ละก้าวนั้นยากยิ่ง บนลู่ทางนี้มีภัยพิบัติมากมาย หากเจ้าไม่กลัว ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ผู้เดียว”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกทอดถอนใจ
เป็นถึงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินที่มีประสบการณ์หนึ่งแสนแปดพันปี เขาย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด เมื่อการบำเพ็ญยิ่งสูงขึ้น ต่อให้เขาพาฉาจิ่นไปด้วย ก็คงมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก
แม้ยามนี้จะมีมิตรสหายที่ไปมาหาสู่กัน แต่จากนี้ไปแต่ละคนออกไปแสวงหาหนทางของตัวเอง เกรงว่าคงมิอาจได้พบกันอีก
นี่คือเส้นทางการฝึกตน
เมื่อยิ่งเดินบนลู่ทางนี้ไปไกลเท่าไร ญาติสนิทและสหายเก่าก็จะอยู่กับตัวเองน้อยลงเรื่อย ๆ จนห่างไกลกัน
แต่ด้วยวิธีการของซูอี้ ย่อมสามารถปกป้องคนข้างกายของเขาได้ อย่างเช่นก่อตั้งสำนักเสวียนจวินขึ้นมา และทำให้คนที่อยู่ข้างเขาฝึกฝนอยู่ในนั้น
เพียงแต่ถึงอย่างไร เมื่อเขาต้องไปแสวงหาวิถีดาบของตัวเอง ก็ต้องจากไปนานอยู่ดี
ซึ่งยังเร็วนักที่คุยเรื่องเหล่านี้ในยามนี้
เมื่อได้ฟังคำตอบของซูอี้ คล้ายกับฉาจิ่นสบายใจ ดวงหน้าจึงเผยรอยยิ้มหวานออกมา
สำหรับนางแล้ว การได้รับคำสัญญาจากซูอี้ คือเรื่องที่ไม่เคยจินตนาการมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้ซูอี้มองนางเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น
“เอ๊ะ”
ทันใดนั้น แขนขาวที่อยู่บนขาซูอี้เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เพราะสัมผัสโดนสิ่งที่แข็งขืน
พลันใบหน้านางแดงขึ้นทันที พลางเอียงหน้าเขินอายที่แฝงไว้ด้วยความขลาดกลัวเหลือบมองซูอี้
ทว่าเห็นเพียงซูอี้ถือถ้วยน้ำชา และเอ่ยอย่างไม่แยแส “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบุรุษที่มีพละกำลัง หากไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ยังจะเรียกว่าเป็นบุรุษได้รึ?”
เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา และเป็นธรรมชาติ
ฉาจิ่นคุ้นเคยนิสัยตรงไปตรงมาของซูอี้มานานแล้ว พลันกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างลุกลน เม้มริมฝีปากสีเลือดฝาดแน่น พลางเอ่ยเสียงเบา “ไม่งั้น… ให้ข้าช่วยคุณชาย?”
ในขณะที่เอ่ย นางสูดหายใจเข้าลึก และก้มหน้าลง
พลันร่างซูอี้แข็งทื่อ เขาส่งเสียงแหบแห้งพลางสูดอากาศเย็นเข้าไป
ความอ่อนโยนระหว่างก้มหัวนั้น คล้ายกับความเขินอายของดอกบัวที่ทนสายลมเย็นไม่ไหว
เตาไฟที่อยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ มอดดับไปทีละน้อย
หิมะปกคลุมภูเขาเขียวขจี ทุ่งอันกว้างใหญ่ไพศาลเงียบสงัด
เป็นเวลานานกว่าซูอี้จะถอนหายใจยาวออกมา
…..
เช้าวันต่อมา
แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องบนผิวน้ำทะเลสาบเชียนเสวี่ยเกิดคลื่นใสแจ๋วราวกับทองที่แตกกระจาย
หลังจากซูอี้ตื่นและออกมาจากเรืออูเผิงแล้ว ก็พาฉาจิ่นเดินทางไปนอกนครหลวงเทียนเชวีย
ฉาจิ่นเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงผิวปากออกมา
นี่คือการเรียกอินทรีเกล็ดเขียว
วันนี้พวกเขาตั้งใจเดินทางกลับต้าโจว
เมื่อฉาจิ่นหันหน้ากลับมา จึงเห็นซูอี้จ้องมองริมฝีปากตัวเองอยู่… คล้ายกับสิ่งนี้ทำให้นางนึกถึงเรื่องละมุนละไมเมื่อคืน พลันแก้มแดงเรื่อ แววตาเจือไปด้วยความเขินอาย
“นึกสิ่งใดอยู่กัน?” ซูอี้ยิ้มเยาะครู่หนึ่ง
แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อคืนที่มัวเมามีความสุขอยู่ในทะเลสาบเชียนเสวี่ย กลับให้เกิดความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
ไม่นาน อินทรีเกล็ดเขียวก็โผล่ออกมาบนน่านฟ้า และพาทั้งสองจากไป
หลังจากข่าวที่ซูอี้เอาชนะชิวเหิงคงและข่มสำนักวงเดือนแพร่กระจายไปตลอดคืน และขยายไปทั่วทั้งต้าเว่ย จึงก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมา
จักรพรรดิเว่ยตกใจ พลางส่งเสียง “ต้าโจวมีซูอี้แล้ว ทว่าต้าเว่ยข้าจะมีผู้ใดเทียบกับเขาได้?”
และเมื่อข่าวนั้นเผยแพร่มาถึงต้าโจว จากมหานครหลวงอวี้จิงไปจนถึงหกแคว้นพลันเกิดความอึกทึก และเริ่มสั่นสะเทือนขึ้น
“ชิวเหิงคงถือว่าเป็นนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย และเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเพียงใดย่อมรับรู้ทั่วกัน แต่เขากลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอัครมหาเสนาบดีซูแห่งต้าโจว?”
ไม่รู้มีคนไม่เชื่อไปมากเท่าไร
“นักดาบผู้เดียวเดินทางไปต้าเว่ย ย่ำเข้าไปในเขตแดนอย่างโดดเดี่ยว และบีบสำนักวงเดือนสถานที่ฝึกบำเพ็ญศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ยก้มหัวให้ นายท่านซูอี้ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ!”
มีคนปรบมือและเอ่ยชื่นชม
“ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่มีคนบอกว่าการที่นายท่านซูอี้สังหารกลุ่มมังกรเร้นแห่งต้าโจวเป็นการทำเกินเหตุ ทำให้ศัตรูบุกรุกเข้ามาหรอกรึ? ยามนี้คนพวกนั้นอยู่ที่ไหนเสียล่ะ พ่อจะไปตบมันสักสองสามฉาด ให้มันคุกเข่าสารภาพผิดซะ!”
มีคนคันไม้คันมืออยากต่อย
“ต้าโจวของพวกเรามีนายท่านซูอี้อยู่ เมื่ออาณาจักรแข็งแกร่ง ทั่วใต้หล้าก็จะสงบสุขตลอดไป!”
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่บนโลกสามัญนี้ต่างเปลี่ยนความคิดที่มีต่อซูอี้ และเทิดทูนเขาเป็นอย่างมาก
“การออกเดินทางของปรมาจารย์ ได้เพิ่มอำนาจของต้าโจวให้ยิ่งใหญ่ขึ้น การกระทำที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน?”
ณ วังหลวงในมหานครหลวงอวี้จิง เมื่อโจวจือหลีรู้ข่าวก็รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมมาก พลางตบขาตัวเองไปหลายครั้ง
ทว่าไม่นาน เขาอดรู้สึกกลุ้มใจไม่ได้ เพราะจู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่า แม้ตอนนี้ตัวเขาจะครอบครองทั่วทั้งต้าโจว แต่ก็มิอาจนำของล้ำค่าที่เข้าตาไปบำเหน็จแก่ซูอี้ได้…
“ไม่อย่างนั้น ส่งสาวงามกลุ่มหนึ่งไปให้พี่ซูล่ะ? ไม่เหมาะ หากเป็นเช่นนี้ จะไม่ทำให้พี่ซูคิดว่าในความคิดข้านั้น เขาคือชายเจ้าชู้คนหนึ่งหรอกรึ?”
“ช่างเถิด เลือกของล้ำค่าหายากจากคลังพระราชวังส่งไปให้ก็พอแล้ว แม้พี่ซูอาจจะไม่สนใจ แต่ข้าต้องแสดงความจริงใจออกมาให้มากพอถึงจะดีที่สุด!”
“ทหาร ไปยังท้องพระคลัง จงนำ ‘หยกลายมังกร’ ‘ไขกระดูกหอมสวรรค์’ กับยาอสรพิษพันปีของล้ำค่าที่บิดาข้าสะสมไว้ออกมา”
หลังจากโจวจือหลีสั่งเสร็จ ก็อดมองไปทางราชครูหงเซินชางที่ช่วยเขาจัดการเรื่องในวังมาตลอดไม่ได้ พลางถาม “ท่านราชครู ท่านว่าของล้ำค่าเหล่านี้เพียงพอหรือไม่?”
มุมปากหงเซินชางกระตุก นี่คือของล้ำค่าไม่กี่อย่างที่จักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบันครอบครองไว้ ทุกอย่างล้วนล้ำค่า และเป็นดั่งสมบัติสวรรค์ในสายตาเหล่าผู้ฝึกตน เจ้าเด็กนี่ยังคิดว่าไม่พออีกรึ?
เมื่อตั้งสติมั่นแล้ว หงเซินชางจึงเอ่ย “ฝ่าบาท สิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือความจริงใจ”
โจวจือหลีส่งเสียงตอบรับเป็นการเข้าใจ “เช่นนั้น… เอาแบบนี้แล้วกัน หากมีเวลาว่างเมื่อใดข้าจะไปพบพี่ซูด้วยตัวเอง และแสดงความขอบคุณด้วยใจจริงอีกทีหนึ่ง”
การต่อสู้ของซูอี้ในสำนักวงเดือนแห่งต้าเว่ย ไม่เพียงขยายอำนาจของต้าโจวแบบธรรมดาเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วยังเกิดการสยบที่น่าหวาดกลัวต่อต้าเว่ยได้ด้วย!
นี่สิถึงจะสำคัญที่สุด
…..
แคว้นกุ่น ตำหนักเทียนหยวน
ศาลาหมิงเฉวียน
“ครั้งนี้สหายเต๋าไปไม่ถึงสองวัน ก็เอาชนะสำนักวงเดือนและสยบชิวเหิงคงได้ ตั้งแต่นี้ต่อไป เกรงว่าทั่วอาณาจักรต้าเว่ยคงไม่มีผู้ใดกล้ามาสร้างปัญญาในต้าโจวแล้ว”
นัยน์ตาสดใสของหนิงซือฮวาฉายแววขบขัน มองซูอี้ที่นั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น พลางเอ่ยชื่นชม
นางเพิ่งได้รับข่าวมาไม่นานก่อนหน้านี้ เมื่อรู้ว่าบุคคลยอดเยี่ยมแห่งวิถีดาบอย่างชิวเหิงคงพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือซูอี้ นางก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ข่าวแพร่ไปเร็วจริง ๆ”
ซูอี้ส่ายหน้าครู่หนึ่ง “จริงสิ เจ้ามีเรื่องเร่งด่วนที่จะบอกมิใช่รึ?”
“เมื่อวานหลานซัวส่งข่าวมาว่า ส่วนลึก ‘ทะเลวิญญาณโกลาหล’ สถานที่อันตรายแห่งหนึ่งในต้าเว่ย เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด คล้ายกับมีซากวัตถุโบราณโผล่ออกมา”
หนิงซือฮวาเอ่ยเสียงเบา “ว่ากันว่า มีปรากฏการณ์ประหลาดที่บดบังท้องฟ้าสูงหนึ่งพันจั้ง มีเสียงร้องลึกลับดังขึ้นมาไม่ขาดสาย และมีเงาวิมารสวรรค์สะท้อนออกมา”
ซูอี้ส่งเสียงตอบรับเป็นอันว่าเข้าใจ พลางแสดงท่าทางสนใจออกมา “ยังมีสิ่งอื่นที่น่าสังเกตอีกหรือไม่?”
หนิงซือฮวาเอ่ย “ไม่แน่ใจ หลานซัวไม่ได้บอกอย่างละเอียด นางแค่สืบมาจากอาจารย์อวิ๋นหลาง การเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดในส่วนลึกทะเลวิญญาณโกลาหลอาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณที่มีชื่อว่า ‘หอเซียนดาบ’ ก็เป็นได้”
“หอเซียนดาบ? ก็แค่กองกำลังฝึกตนโบราณเท่านั้น คนในสำนักอาจหาญกล้าแสดงตนว่าเป็น ‘กลุ่มเซียน’ เลยรึ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว “แต่นี่กลับทำให้ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มักจะเป็นกองกำลังฝึกปีศาจ ที่ชอบเพิ่มคำว่า ‘เทพ’ หรือ ‘เซียน’ ไว้บนชื่อสำนักของตัวเอง ใช้สิ่งนี้แสดงตน โอ้อวดว่าตนนั้นหลุดพ้นจากเรื่องไร้อารยธรรม ลอกคราบและกลายเป็นผู้ฝึกตนบนเส้นทางเซียน”
หนิงซือฮวาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “ยังมีความคิดเช่นนี้อยู่อีกรึ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินอะไรเช่นนี้ ดังนั้นหนิงซือฮวาจึงเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้นสหายเต๋าสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่? หลานซัวบอกว่า นางหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมเดินทางไปกับเจ้า”
แววตาซูอี้ฉายแววแปลกใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ ราชาขนนกเยว่ซือฉานเชิญชวนเขาเดินทางไปต้าเซี่ยเพื่อเข้าร่วม ‘ชุมนุมมวลพฤกษา’ ด้วยกัน
และยามนี้ หลานซัวก็เชิญชวนเขาไปต้าฉินเพื่อสืบหาของล้ำค่าที่อยู่ในส่วนลึกทะเลวิญญาณโกลาหลอีก
ดูเหมือนว่าตัวเขาในยามนี้เหมือนกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมเลย…
เมื่อคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยสิ่งใด จู่ ๆ บนน่านฟ้าไกล ๆ มีปักษาเวคินตัวหนึ่งบินมา และเกาะบนต้นสนไม่ไกลจากศาลาหมิงเฉวียนนัก
และในกรงเล็บของปักษาเวคินมีจดหมายลับอยู่หนึ่งฉบับ
[1] เรืออูเผิง (乌篷船) มีลักษณะคล้าย ๆ เรือสำปั่นของบ้านเรา ทว่ามีหลังคาคลุมส่วนกลางของตัวเรือ