บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 365 ความเร้นลับของหอเซียนดาบ
ตอนที่ 365: ความเร้นลับของหอเซียนดาบ
ตอนที่ 365: ความเร้นลับของหอเซียนดาบ
ปักษาเวคินปล่อยจดหมายลับนั้นร่วงลงมา
ตูม!
ยังไม่ทันตกถึงพื้น จู่ ๆ จดหมายลับนั้นก็ระเบิดออก ท่ามกลางประกายไฟสาดกระเด็น มีหลวงจีนรูปร่างสูงอ้วนปรากฏออกมา
บนร่างสวมชุดจีวร ใบหน้าเต็มไปด้วยความมันวาว คือหงจี้จากหอสิบทิศ!
เขาคำนับซูอี้กับหนิงซือฮวาก่อนเอ่ยด้วยท่าทางสำนึกผิด “อาตมามาโดยพลการ ขอทั้งสองท่านอย่าได้ถือโทษเลย”
ซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย เอ่ยด้วยท่าทางสนใจ “วิชาแปลงกายนี้ ผู้ใดถ่ายทอดให้เจ้ากัน?”
หลวงจีนหงจี้รีบเอ่ย “แค่วิชาเล็กน้อยเท่านั้น เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน ไม่ถึงกับสูงส่งมากนักหรอก”
ซูอี้เอ่ย “ต่อไปหากใช้วิชานี้ เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าอย่าได้ตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าตัวตนที่มีอารมณ์วิปริตเชียว ไม่เช่นนั้น คงบีบบังคับให้เจ้าแปลงเป็นสาวงามหยาดเยิ้มแน่”
รอยยิ้มบนใบหน้าหลวงจีนหงจี้หยุดชะงัก พลันทั่วร่างสั่นไปครู่หนึ่ง พลางยิ้มเจื่อนออกมา “ตอนนี้อาตมาแปลงได้แค่เพียงสิ่งของเท่านั้น ยังมิอาจแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตได้”
“พูดมาสิ เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?” ซูอี้ถาม
หลวงจีนหงจี้เอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม “คุณชายซูเคยได้ยินเรื่องที่ส่วนลึกทะเลโกลาหลในต้าฉิน เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?”
ซูอี้กับหนิงซือฮวาเหลือบมองหน้ากัน แล้วเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้หลวงจีนคนนี้ก็มาเพราะเรื่องนี้!
“เพิ่งได้ยินเมื่อครู่”
ซูอี้เอ่ย
“เช่นนั้น… คุณชายซูสนใจเดินทางไปดูสักรอบหรือไม่?”
หลวงจีนหงจี้รีบเอ่ย “แน่นอนว่าคุณชายสามารถนับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไหว้วานของหอสิบทิศเราได้ หากคุณชายตกลง ของที่ได้รับมาทั้งหมดในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ คุณชายสามารถแบ่งไปเจ็ดส่วนได้ และหอสิบทิศเราก็จะให้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดแก่คุณชายด้วย”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “เหตุใดหอสิบทิศของพวกเจ้าถึงเข้าร่วมการเคลื่อนไหวนี้?”
หลวงจีนหงจี้เอ่ยด้วยความลังเล “ความจริงแล้ว ด้วยข่าวที่พวกเรามี การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลนั้น อาจเกี่ยวข้องกับ ‘หอเซียนดาบ’ ซึ่งเป็นกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณ”
“เมื่อนานมาแล้วกลุ่มวิถีปราชญ์นี้ เคยมีชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วมหาทวีปคังชิง และคือหนึ่งใน ‘สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งปีศาจ’”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาหนิงซือฮวาเผยแววแปลกใจขึ้นมา และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางซูอี้
ก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินชื่อ ‘หอเซียนดาบ’ ซูอี้ได้บอกว่า อาจเป็นชื่อที่กองกำลังฝึกปีศาจชอบใช้คำว่า ‘เทพ’ หรือ ‘เซียน’ มาตั้งชื่อ
ไม่นึกว่า ประโยคนี้จะบอกได้อย่างตรงจุด!
ซูอี้เอ่ย “เท่านี้รึ?”
หลวงจีนหงจี้รีบเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ใช่ จากความลับที่เราสืบทราบ เคยบันทึกตำนานโบราณไว้ท่อนหนึ่ง ว่ากันว่า ปรมาจารย์ที่ก่อตั้งหอเซียนดาบ อาจเป็นจักรพรรดิปีศาจตนหนึ่งที่แข็งแกร่งอย่างมาก!”
จักรพรรดิปีศาจ!
หนิงซือฮวาตกตะลึง
ซูอี้ก็อดเผยท่าทางตกใจขึ้นมาไม่ได้ และนึกถึงลานฌานปัญญาในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต เมื่อนานมาแล้วก็เคยมีหลวงจีนชุดขาวที่ขี่มังกรท่องไปในน่านฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาว นั่นต้องเป็นผู้มีขอบเขตระดับจักรพรรดิแน่ หรือแข็งแกร่งกว่านั้น
และในยามนี้ หลวงจีนหงจี้บอกว่าปรมาจารย์ที่ก่อตั้ง ‘หอเซียนดาบ’ อาจเป็นจักรพรรดิปีศาจตนหนึ่ง จึงเป็นธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของซูอี้
ที่สำคัญคือ มหาทวีปคังชิงในตอนนี้ ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดคือบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรต่าง ๆ ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณก็ยิ่งเหมือนเป็นเทพมังกรเห็นหัวมิเห็นหาง จนแทบจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า
เห็นได้ชัดว่า เมื่อนานมาแล้ว ในมหาทวีปคังชิงนี้ ไม่เพียงมีตัวตนในวิถีวิญญาณมากมาย แต่ยังมีบุคคลที่มีขอบเขตจักรพรรดิอยู่!
“มิน่าเล่า หอสิบทิศของพวกเจ้าถึงเข้ามาร่วมด้วย หากหอเซียนดาบนี้คือกลุ่มที่มีตัวตนระดับจักรพรรดิจริง ๆ เช่นนั้นของล้ำค่าที่ถูกทิ้งไว้ในซากโบราณก็คงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน”
ซูอี้เอ่ยกับตัวเอง
ในเก้ามหาแดนดิน ได้แบ่งกองกำลังทั่วใต้หล้าเป็นระดับชั้นต่าง ๆ มากมายหลากหลาย
กลุ่มที่มีตัวตน ‘ระดับจักรพรรดิ’ คือกลุ่มที่มีตำแหน่งสูงสุดในใต้หล้าแห่งนี้
เหมือนกับสามสำนักใหญ่ หกสำนักมารใหญ่ สำนักศึกษาเก้าแคว้น ที่มีตัวตนระดับจักรพรรดิน้อยมากในเก้ามหาแดนดิน
ในตัวตนกองกำลังระดับจักรพรรดิ ยังมีสี่กองกำลังที่น่าหวาดกลัว และถูกเรียกว่า ‘สี่ขั้วมหาแดนดิน’
‘ถ้ำเสวียนจวิน’ ที่สร้างโดยซูอี้ตอนนั้น คือหนึ่งในสี่ขั้วมหาแดนดิน และยังเป็นขั้วที่แข็งแกร่งที่สุด!
คำว่า ‘ขั้ว’ ในสิ่งที่เรียกว่า ‘สี่ขั้ว’ ก็เหมือนกับเป็นตัวแทนระดับขอบเขตจักรพรรดิ
ด้วยคำยกย่องจากเก้ามหาแดนดินในชาติก่อน และพลังวิถีดาบสยบไปทั่วสารทิศของซูอี้ จึงเป็นธรรมดาที่ชายหนุ่มจะนั่งอยู่บนจุดสูงสุดของ ‘สี่ขั้วมหาแดนดิน’ ได้อย่างมั่นคง
หลวงจีนหงจี้หัวเราะเสียงดังขึ้น ก่อนเอ่ย “หากไม่เป็นเช่นนั้น หอสิบทิศเราคงไม่มารบกวนคุณชายหรอก จริง ๆ แล้วเหล่าผู้เก่งกาจที่จับจ้องเหตุการณ์ครั้งนี้มีมากเกินไป เช่นราชวงศ์ต้าฉิน สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน วัดซ่างหลิน วัดเสวียนเยว่ และกองกำลังอื่น ต่างก็มุ่งมั่นต่อเรื่องแปลกประหลาดครั้งนี้”
“นอกจากนี้ ด้วยข่าวที่หอสิบทิศเราสืบหาได้ ประมุขพรรคมารหยินได้เชิญชวนปีศาจเฒ่าฝ่ายอธรรมกลุ่มหนึ่งรีบเร่งออกเดินทางไปส่วนลึกทะเลวิญญาณโกลาหลอย่างลับ ๆ แล้ว”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็มีท่าทางแปลกไป พลางเอ่ยเสียงต่ำ “และหลายปีมานี้ ‘ผู้สิงสถิต’ ที่ปลีกวิเวกอยู่ภายในสามอาณาจักรต้าเว่ย ต้าโจว และต้าฉิน รวมถึงบุคคลดุร้ายที่สืบทอดวิชาโบราณบางส่วน ก็อาจจะเดินทางไปด้วยเช่นกัน”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ซากโบราณหอเซียนดาบนี้ กลายเป็นเนื้อที่หอมหวานในสายตาเหล่าผู้ฝึกตนทั่วใต้หล้า ใครก็อยากลองชิมดูสักครั้ง แม้แต่หอสิบทิศเราก็ไม่เว้น”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดซูอี้ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาสนใจเรื่อง ‘ผู้สิงสถิต’ มาก อยากที่จะค้นคว้ามาโดยตลอดว่าผู้สิงสถิตเหล่านี้มาจากโลกไหนกันแน่
“หอสิบทิศของพวกเจ้ามีแผนการแล้ว?” ซูอี้ถาม
พลันหลวงจีนหงจี้เผยท่าทางดีใจออกมา และสัมผัสได้ว่าซูอี้กำลังตื่นเต้น!
เขารีบเอ่ยทันที “คุณชายไม่ต้องกังวล เพียงท่านไปจริง ๆ หัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดของหอสิบทิศสาขาย่อยในต้าโจวจะเดินทางไปกับท่านในครั้งนี้ด้วย เมื่อมีนางอยู่ ก็สามารถให้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดแก่คุณชายได้”
ซูอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “คือหัวหน้าผู้อาวุโสที่ยอดเยี่ยมที่สุด สวยฉลาดที่สุด ประหนึ่งนางฟ้าบนสวรรค์ที่เจ้าบอกในตอนนั้นรึ?”
หลวงจีนหงจี้ส่งเสียงอึกอักออกมา ก่อนชำเลืองมองปักษาเวคินที่เกาะอยู่บนต้นไม้ไกล ๆ นั้น พลางเอ่ยออกมาด้วยความเคารพ “ถูกต้อง! หากเอ่ยถึงความงาม หัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดของเราคือหญิงงามที่จุดชนวนให้เกิดความโกลาหลและหายนะ หากคุณชายได้พบตัวจริงนาง ก็จะเข้าใจได้ทันที คำชมที่เอ่ยออกมาจากใจอาตมาทั้งหมด ยังไม่พอที่จะเปรียบเทียบความงามของหัวหน้าผู้อาวุโสได้…”
ซูอี้เอ่ยขัดอย่างไม่สบอารมณ์ “พอแล้ว หากเจ้าต้องการประจบประแจงหัวหน้าผู้อาวุโสของเจ้า ก็อย่ามาทำต่อหน้าข้า”
พลันใบหน้าหลวงจีนหงจี้บิดเบี้ยวทันที
หนิงซือฮวาอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางจะมองไม่ออกได้อย่างไร คำชมทั้งหมดของหลวงจีนหงจี้ เป็นเพียงแค่ความหวาดกลัวต่อหัวหน้าผู้อาวุโสเท่านั้น
“พวกเจ้าวางแผนจะลงมือเมื่อใด?”
ซูอี้ถาม
“ขึ้นอยู่กับการเดินทางและกำหนดการของคุณชาย แต่ยิ่งออกเดินทางเร็วเท่าใดก็ยิ่งดี”
หลวงจีนหงจี้รีบเอ่ย “ตามการคาดเดาของหอสิบทิศเรา ไม่เกินเก้าวัน ซากหอเซียนดาบในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหล จะปรากฏออกมาทั้งหมด”
“ไปทะเลวิญญาณโกลาหลในต้าฉินครานี้ใช้เวลานานเท่าใด?”
ซูอี้ถามอีกครั้ง
หลวงจีนหงจี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ย “หากขี่สัตว์วิญญาณไป เร็วที่สุดคงใช้เวลาสองวัน และหากคุณชายตัดสินใจออกเดินทาง หอสิบทิศเราจะส่ง ‘อินทรีแดง’ มารับท่าน”
“อืม เช่นนั้นอีกสามวันออกเดินทาง”
ซูอี้ตัดสินใจออกมา
เขาดูออกว่าหนิงซือฮวาตื่นเต้นมาก พลางเอ่ยขึ้น “สหายเต๋าหนิง เจ้าไม่ต้องไปหรอก หากการเดินทางนี้ได้รับสิ่งใดมาจริง ๆ ข้าจะแบ่งให้เจ้าส่วนหนึ่งแน่”
หนิงซือฮวาชะงักค้าง แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง ทว่านางก็ยังพยักหน้าตอบรับ
นางเข้าใจความคิดของซูอี้ดี เขากังวลว่าจะไม่มีใครดูแลสหายสนิทเหล่านั้นในตำหนักเทียนหยวน เมื่อเกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายขึ้นในระหว่างที่พวกเขาออกเดินทาง
แต่เมื่อมีนางอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้
ต่อให้ซูอี้ออกเดินทางจริง ๆ เมื่อเกิดเรื่องอันตรายอะไร ก็สามารถไปหลบใน ‘ภูเขาม่านหยก’ ที่ห่างจากตำหนักเทียนหยวนหนึ่งร้อยลี้ได้
“ข้าควรตอบกลับทางด้านหลานซัวอย่างไรดี?”
หนิงซือฮวาถาม
ซูอี้เอ่ย “เจ้าบอกนาง หากมีโอกาส ก็ไปเจอกันที่ส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลได้”
หนิงซือฮวาพยักหน้าตอบรับ
ไม่นาน หลวงจีนหงจี้ก็ขอตัวลากลับ
…..
สามวันต่อมา นอกจากซูอี้จะใช้เวลาว่างไปกับการฝึกตนแล้ว ยังเล่นหมากล้อมกับเหวินหลิงเสวี่ย และชี้แนะการฝึกฝนให้กับอีกฝ่าย
หญิงสาวมีน้ำมีนวลมากขึ้น ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา หน้าตาสวยและเฉลียวฉลาด กลิ่นอายทั่วร่างเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์
ในตอนที่อยู่ด้วยกันกับนาง ซูอี้รู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายที่สุด
เหวินหลิงเจาพี่สาวนางก็อยู่ที่ตำหนักเทียนหยวนเหมือนกัน ทว่าตั้งแต่ที่ซูอี้ปรากฏตัวออกมา คล้ายกับเหวินหลิงเจาตั้งใจหลบหน้าเขา และแทบจะไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
จนถึงยามนี้ ทั้งสองก็ยังไม่เจอกัน
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ไม่สนใจอย่างแน่นอน
เรื่องที่แต่งเข้ามาเป็นเขยตระกูลเหวิน ได้หายไปนานแล้ว ทำให้ซูอี้ไม่ถึงกับเกลียดและไม่ถึงกับสนใจเหวินหลิงเจามากนัก
เฉกเช่นตอนนั้นที่เขาเขียนตัวอักษรนั้นให้แก่เหวินหลิงเจา…
ในตอนนี้เอง ซูอี้ถึงได้เข้าใจ ภายใต้การจัดเตรียมของหนิงซือฮวา สำนักเสวียนจวินได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
มู่ซี ผูอี้ เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิง เซียวเทียนเชวี่ยแห่งตระกูลหลานหลิงเซียว หยวนอู่ทงผู้นำตระกูลหยวนในเขตปกครองอวิ๋นเหอ เจิ้งเทียนเหอผู้นำตระกูลเจิ้งแห่งแคว้นกุ่น และคนอื่น ๆ ต่างก็เข้าร่วม และรับผิดชอบในหน้าที่ต่าง ๆ
นอกจากนี้ เฉินเจิ้ง จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง หวงอวิ๋นชงผู้นำตระกูลหวงแห่งเมืองกว่างหลิง และเพื่อนเก่าของซูอี้ ต่างแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสำนักเสวียนจวิน
ส่วนการจัดการดูแลของหนิงซือฮวา ซูอี้ค่อนข้างพอใจ
ไม่ใช้การบำเพ็ญสูงต่ำหรือตำแหน่งใหญ่เล็กมาปฏิบัติแบ่งแยก แค่เชิญชวนสหายที่สนิทกับตัวเองเข้าร่วมสำนักเสวียนจวิน นี่คือความปรารถนาเดิมที่ซูอี้ตอบรับสร้างกองกำลังนี้ขึ้นมา
สรุปคือ การก่อตั้งสำนักเสวียนจวิน เดิมทีคือสถานที่เอาไว้ปกป้องคนที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ ไม่ใช่เพื่อขยายอาณาเขต และแข่งขันไปทั่วใต้หล้า
ความจริงแล้ว คนอย่างหวงอวิ๋นชง หยวนอู่ทงมิอาจเทียบกับมู่ซี ผูอี้และคนอื่น ๆ ได้ แต่เพียงแค่เขาคือสหายของซูอี้ ต่อให้เป็นเพียงแมลงตัวหนึ่ง ก็ได้รับการปกป้องจากซูอี้แน่นอน!
นอกจากเรื่องเหล่านี้ ซูอี้ยังได้รับของบำเหน็จจากองค์รัชทายาทแห่งต้าโจว โจวจือหลี เพื่อแสดงความยินดีที่ซูอี้เอาชนะสำนักวงเดือนแห่งต้าเว่ย และทำให้อำนาจต้าโจวเพิ่มขึ้น
ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อเห็นหยกลายมังกร ไขกระดูกหอมสวรรค์ กับยาอสรพิษพันปีพลางแอบเอ่ยในใจว่าเจ้าโจวจือหลีนี่จริงใจจริง ๆ
ของล้ำค่าสามอย่างนี้ ต่างก็เป็นของล้ำค่าที่หายากมาก สามารถนำมาช่วยเสริมในตอนที่เขาก้าวสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญต่อจากนี้ได้
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเช้าตรู่ ที่ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง
อินทรีดุร้ายขนาดใหญ่ขนสีแดงเพลิงราวกับไฟเผาไหม้ตัวหนึ่ง บินทะยานมาจากที่ไกล ๆ
คืออินทรีแดงของหอสิบทิศที่ส่งมารับซูอี้
บนหลังนกอินทรีดุร้ายนี้ ยังมีร่างงดงามหนึ่งนั่งอยู่ด้วย