บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 366 ยี่สิบสี่วันให้หลังลมวสันต์พัดผ่านบุปผาบาน
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 366 ยี่สิบสี่วันให้หลังลมวสันต์พัดผ่านบุปผาบาน
ตอนที่ 366: ยี่สิบสี่วันให้หลังลมวสันต์พัดผ่านบุปผาบาน
ตอนที่ 366: ยี่สิบสี่วันให้หลังลมวสันต์พัดผ่านบุปผาบาน
เมื่ออินทรีแดงที่มีร่างงามนั่งอยู่มาถึง ซูอี้ก็ตื่นขึ้นทันที
แม้เมื่อคืนจะเป็นคืนที่หนักหน่วง ทว่าซูอี้ยังสดชื่นมาก
นี่คือข้อดีจากการฝึกบำเพ็ญคู่
บุรุษและสตรีร่วมบำเพ็ญด้วยกัน ความลึกลับและมหัศจรรย์ในตอนการผสานสามหัวใจหลักเข้าด้วยกัน ทำให้การบำเพ็ญของทั้งคู่มีเสถียรภาพและยกระดับขึ้น
สิ่งนี้ล้วนแตกต่างกับวิธีการที่ฝ่ายอธรรมรู้เพียงแค่รวบรวมหยางเสริมหยิน หรือรวบรวมหยินเสริมหยาง
และที่ทำให้ซูอี้ชื่นใจคือ การฝึกบำเพ็ญคู่มาจนถึงยามนี้ ฉาจิ่นได้บรรลุขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างจริงจังแล้ว
และภายใต้การฝึกบำเพ็ญคู่นี้ ทำให้สามหัวใจหลักของนางเกิดการแปรเปลี่ยนมากมาย บุคลิกและรูปร่างนางก็ยิ่งมีน้ำมีนวลขึ้น
ประหนึ่งคนหนุ่มสาวที่มีอายุมาก
ดั่งคำกล่าวที่ว่าสาวงามดุจสุรา ที่ยิ่งลิ้มรสก็ยิ่งมัวเมา
เมื่อเดินออกมาจากศาลาหมิงเฉวียน ซูอี้ก็เห็นหนิงซือฮวากำลังพูดคุยกับหญิงที่สวมชุดผ้าป่านเก่าสีขาวอยู่
ผมยาวของนางใช้เชือกมัดเป็นมวย ทว่าชุดกลับดูทรุดโทรม ผิวสีเหลืองนวลใบหน้าซูบผอม ข้างเอวมีดาบยาวขึ้นสนิมเสียบไว้อย่างลวก ๆ ใช้เถาวัลย์สีเทาขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือพันเป็นด้ามดาบ
หากไม่ใช่เพราะนางไม่มีลูกกระเดือก และมีทรวงอกค่อนข้างใหญ่ ซูอี้เกือบคิดว่านางคือชายมอมแมมที่ไม่สนเรื่องการแต่งตัวคนหนึ่งแล้ว
“สหายเต๋า ผู้นี้คือหัวหน้าผู้อาวุโสใหญ่ของหอสิบทิศแห่งต้าโจว และตั้งใจมารับเจ้าเดินทางไปต้าฉินในครั้งนี้”
หนิงซือฮวายิ้มพลางแนะนำให้แก่ซูอี้
ซูอี้ชะงัก คนผู้นี้คือหัวหน้าผู้อาวุโสที่มีความสามารถยอดเยี่ยม งดงามจนสามารถจุดชนวนความโกลากล ประหนึ่งนางฟ้าบนสวรรค์ที่พระหงจี้กล่าวถึง?
“ข้ามีนามว่า ฮวาซิ่นเฟิง ยินดีที่ได้พบคุณชายซู”
หญิงสวมชุดผ้าป่านก้าวมาด้านหน้า พลางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ซูอี้ถึงได้ค้นพบว่า แม้อีกฝ่ายมีท่าทางธรรมดา ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับลึกล้ำงดงาม ดั่งหินสีดำมันวาวที่มีแสงเคลื่อนไหวไปมา สว่างแจ่มใสดุจสุริยันในฤดูใบไม้ผลิและนทีในทะเลสาบ ช่างสวยงามยิ่งนัก
ทว่าดวงตาคู่งามนั้นกลับอยู่บนใบหน้าสีเหลืองนวลและซูบผอม ทำให้เกิดความรู้สึกเสียดายอย่างช่วยไม่ได้
ซูอี้เอ่ย “เทศกาลทานอาหารเย็นร้อยห้าวันฝนโปรยปราย ยี่สิบสี่วันให้หลังลมวสันต์พัดผ่านบุปผาบาน นามนี้ช่างดียิ่งนัก”
สายตาหนิงซือฮวาฉายแววแปลกใจ ชมแค่ชื่อคนอื่น จะบอกว่าหน้าตาความงามคนเขาธรรมดาอย่างนั้นหรือ? สหายเต๋าซูช่างตรงไปตรงมาจริง ๆ…
ฮวาซิ่นเฟิงตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง ดวงตาแจ่มใสดุจนที พลางยิ้มออกมาเล็กน้อย “คุณชายชมเกินไปแล้ว หากคุณชายพร้อมแล้ว เราออกเดินทางกันเถิด”
“อืม”
ซูอี้พยักหน้า
เช้าตรู่วันนั้น ซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิงนั่งหลังอินทรีแดงบินทะยานออกไป
ทะเลเมฆกว้างไกล
ในตอนอินทรีแดงบิน ปีกสีแดงเพลิงยืดออกไปหลายจั้ง เขาที่นั่งอยู่บนนั้น รู้สึกสบายและสงบมาก
“คุณชายมีแผนในการเคลื่อนไหวครั้งนี้หรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงหุบขา มือขาวเรียวโอบล้อมหัวเข่า พลางนั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาล้ำลึกมองไปทางซูอี้
ซูอี้ในตอนนี้กำลังจะยกเหล้าขวดน้ำเต้าสีดำดื่ม เขาสวมชุดสีเขียว มีท่าทางไม่แยแส และมีใบหน้าหล่อเหลา
ฮวาซิ่นเฟิงเพ่งมองอย่างละเอียดราวกับอยากรู้ความลับทั้งหมดบนร่างซูอี้
หากเป็นคนอื่นถูกมองเช่นนี้ คงกระสับกระส่าย ทว่าซูอี้กลับไม่รู้สึกอะไร พลางเอ่ย “เรื่องการแสวงหาโอกาส เต็มไปด้วยตัวแปรหลายอย่าง เดินทางไปด้วยคิดไปด้วยดีกว่า”
ฮวาซิ่นเฟิงครุ่นคิด พลางพยักหน้า “ที่คุณชายกล่าวก็ถูก เพียงแต่ ผู้เก่งกาจที่เดินทางไปยังส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลในครั้งนี้มีมากนัก อาจจะเป็นผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิด ปีศาจฝ่ายอธรรมต่าง ๆ หรือบุคคลเก่งกาจอย่างผู้สิงสถิต ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าคิดว่าในตอนที่เราเคลื่อนไหว อาจต้องใช้กลยุทธ์บางอย่าง”
ซูอี้ส่งเสียงตอบรับเป็นการเข้าใจ และเอ่ย “เจ้าลองว่ามา”
ฮวาซิ่นเฟิงกะพริบตา ฉีกยิ้มเล็กน้อย “เสือตัวหนึ่ง เมื่อเห็นหมู ก็จะทนความหิวโหยไม่ไหว และกระโจนเข้าสังหาร”
นางยิ้มพลางถามซูอี้ “คุณชายว่า หากหมูตัวนั้นคือเทพมังกร เช่นนั้นจะเกิดสิ่งใดขึ้น?”
ซูอี้ดื่มสุราอีกอึกหนึ่ง และเอ่ยตอบ “พังพินาศไปทั้งหมด”
ฮวาซิ่นเฟิงเอ่ย “ถูกต้อง และข้าคิดว่า ในระหว่างการเคลื่อนไหวครั้งนี้ คุณชายเหมาะที่จะแสดงเป็นหมูที่สุด”
แค่ก!
ซูอี้สำลักสุราออกมา สายตามองใบหน้าซูบผอมของหญิงสาว พลางเอ่ย “ตั้งใจใช่หรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงยิ้มขึ้นมา “แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น คุณชายอย่าได้ถือโทษเลย อีกอย่างด้วยความฉลาดของคุณชาย จะไม่เข้าใจความหมายในประโยคข้านั้นได้อย่างไร?”
ในตอนที่นางยิ้มขึ้นมา ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย แก้มแดงปลั่งดั่งลูกแพร์ ฟันหมาขาวราวหิมะ และดวงหน้าธรรมดามีชีวิตชีวาเล็กน้อย
ซูอี้ไม่เอาความกับผู้หญิงอยู่แล้ว จึงเอ่ย “เจ้าหมายถึงให้ข้าเล่นเป็นหมูเพื่อกินเสือ?”
ฮวาซิ่นเฟิงเอ่ย “ถูกต้อง คุณชายสังหารกลุ่มเทพเซียนเดินดินในมหานครหลวงอวี้จิง และสยบชิวเหิงคงนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ยในสำนักวงเดือน ชื่อเสียงโด่งดังแพร่หลาย และขยายไปถึงอาณาเขตต้าฉินอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่ารู้กันไปทั่วหล้า”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ หากคุณชายเดินทางด้วยตัวตนจริง ตลอดทางคงดึงดูดคลื่นลูกใหญ่มาไม่น้อย ทุกคนล้วนมองคุณชายเป็นศัตรูตัวฉกาจ เป็นลูกธนูที่ทิ่มแทงทุกคน ยามเมื่อแสวงหาของล้ำค่า ก็จะดึงดูดตัวแปรเข้ามามากมาย”
“แต่หากเปลี่ยนตัวตน จัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ฮวาซิ่นเฟิงแววตาเปล่งประกาย และรู้สึกคึกคักขึ้น “ประการแรกคือ ไม่มีผู้ใดหวาดกลัวพวกเราและมองเราเป็นศัตรูตัวฉกาจที่มาแย่งของล้ำค่าไป ประการที่สอง หากมีคนไม่ดูตาม้าตาเรือมาหาเรื่อง… สำหรับคุณชาย จะต่างอะไรกับเหยื่อที่มาหาถึงที่?”
ซูอี้เอ่ย “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังรอคอยให้มีคนมาหาเรื่องถึงที่ล่ะ?”
ฮวาซิ่นเฟิงหัวเราะแห้งออกมา คล้ายกับถูกจี้ตรงจุด “ศัตรูของเราในครั้งนี้ มีไม่น้อยเลย เช่นเหล่าผู้สิงสถิต และไม่ต้องกล่าวถึงศัตรูอื่น แม้แต่เหล่าเทพเซียนเดินดิน พื้นเพครอบครัวแต่ละคนนั้นมั่งคั่งมาก หากถือโอกาสนี้ริบของรางวัลมาได้ คงจะดีไม่น้อย?”
“หากเป็นเช่นนั้น แม้เราจะแสวงหาโอกาสไม่ได้เลย อย่างน้อยเราก็ยังไม่กลับไปมือเปล่า”
ดวงหน้างามของนางเจือไปด้วยความคาดหวัง เผยภาพลักษณ์ที่เรียกว่า ‘มีความสุขจนพูดไม่หยุด’ ออกมา
ซูอี้เหลือบมองหัวหน้าผู้อาวุโสหอสิบทิศแห่งต้าโจวผู้นี้อย่างจริงจัง พลางเอ่ย “ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดหลวงจีนหงจี้ถึงได้หวาดกลัวเจ้า”
“เหตุใดรึ?” ฮวาซิ่นเฟิงไม่เข้าใจ
“หน้าเนื้อใจเสือเกินไปแล้ว”
ซูอี้เอ่ยด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ
จู่ ๆ เขาพลันนึกถึง ‘ราชาสิงเจินต้าว’ สหายสนิทเมื่อชาติก่อน เขาดูสง่าผ่าเผยและเป็นกันเอง มีความชอบธรรม กำจัดคนชั่วช่วยเหลือคนดี ทำหน้าที่สังหารปีศาจมารต่าง ๆ ความมุ่งมั่นมหาศาล ช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์ ถูกยกย่องว่าเป็นแสงสว่างแห่งความดี
แต่ในสายตาเหล่าสัตว์ประหลาดที่เคยถูกเขาทำร้าย ชายคนนี้กลับเป็นชายที่มีจิตใจเลวทราม หน้าเนื้อใจเสือไร้ยางอายคนหนึ่ง
ในตอนที่ลงทัณฑ์ปีศาจเฒ่าเหล่านั้น ไอ้บ้านั้นจะเอ่ยประโยครำพึงฟ้าเวทนาคน*[1] ออกมา “สหาย กรรมชั่วเจ้านั้นใหญ่หลวงนัก จะต้องนำของล้ำค่าทั้งหมดมาล้างบาป ไม่เช่นนั้น จะต้องประสบกับหายนะ”
หากมอบของล้ำค่าให้อย่างเชื่อฟัง ก็ไม่เกิดสิ่งใดขึ้น
ทว่าหากปฏิเสธ ก็จะประสบกับหายนะจริง ๆ
เพียงแต่ สิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่องคือ อีกฝ่ายที่ราชาสิงเจินต้าวลงทัณฑ์ ล้วนคือฝ่ายอธรรมที่ชั่วร้ายจริง ๆ
เฉกเช่นท่าทางของฮวาซิ่นเฟิงในยามนี้ คล้ายกับราชาสิงเจินต้าวไปสามส่วน แต่ราชาสิงเจินต้าวหน้าเนื้อใจเสือและไร้ยางอายกว่า และสามารเล่นกับจักรพรรดิปีศาจที่ชั่วร้ายบางส่วนได้
เมื่อได้ยินเสียงทอดถอนใจของซูอี้ ฮวาซิ่นเฟิงยิ้มตาหยีออกมาทันที ไม่มีความละอายใจ แต่กลับเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาด้วยความภูมิใจ “ขอบคุณคุณชายที่กล่าวชม”
สรุป ฮวาซิ่นเฟิงไม่เหมือนกับหญิงอื่นจริง ๆ หน้าหนาและหน้าเนื้อใจเสือมาก
ไม่แปลกใจในตอนที่หลวงจีนหงจี้กล่าวถึงนาง จะระมัดระวังเช่นนั้น…
“เช่นนั้นคุณชายว่าความเห็นข้าเป็นอย่างไร?”
ฮวาซิ่นเฟิงถาม
ซูอี้ถามอย่างตรงไปตรงมา “ของรางวัลจะแบ่งกันอย่างไร?”
ฮวาซิ่นเฟิงนิ่งอึ้งทันที เดิมทีนางคิดว่า ด้วยความหยิ่งและนิสัยที่แสดงออกของซูอี้ การทำเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและน่าเหยียดหยาม
ไม่นึกเลยว่า เขาจะเอ่ยเรื่องแบ่งของรางวัลกับนางตรง ๆ ก่อน…
“คุณชายไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ”
ฮวาซิ่นเฟิงส่งเสียงทอดถอนใจออกมาเช่นกัน พลางเอ่ยด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “เอาเช่นนี้หรือไม่ ข้ารับหน้าที่จัดหาข้อมูลและข่าวสาร ส่วนคุณชายเป็นคนลงมือ ของรางวัลทั้งหมดแบ่งเป็นสองกับแปดส่วน ว่าอย่างไร?”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “ของล้ำค่าแบ่งเป็นสองกับแปดส่วนได้ แต่ของรางวัลอื่นต้องแบ่งเป็นหนึ่งกับเก้าส่วน เจ้าน่าจะรู้ เมื่อเผชิญหน้าจริง ๆ ข้อมูลและข่าวสารที่เจ้ารู้ นำมาใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ฮวาซิ่นเฟิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับอย่างง่ายดาย “ตกลง ได้ร่วมมือกับคุณชายเป็นครั้งแรก หอสิบทิศของข้าต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมาโดยการทำเช่นนี้”
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว คล้ายกับนางมีความสุขมาก พลางนำขวดสุราออกมาจากในแขนเสื้อ เงยหน้าขึ้นดื่ม องอาจกว่าผู้ชายอย่างมาก
นิสัยเช่นนี้ กลับทำให้ซูอี้ชื่นชมอย่างยิ่ง
ช่างน่าเสียดาย ท่าทางเช่นนี้ธรรมดาเกินไป และไม่น่าพิสมัยเลย
…..
สองวันต่อมา
ต้าฉิน เมืองตงฝู
ในที่ไกล ๆ อินทรีแดงทะยานสู่พื้นห่างจากประตูเมืองไปหลายลี้
“กลับไปเถิด”
ฮวาซิ่นเฟิงตบอินทรีแดงเบา ๆ มันสยายปีกขึ้น พลันทะยานสู่น่านฟ้าและบินกลับไป
“คุณชาย ด้านหน้าคือเมืองตงฝู อยู่ใกล้ทะเลตะวันออกของต้าฉิน คือเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดภายในอาณาเขตต้าฉิน หากออกเดินทางจากเมืองนี้ ไปทางทะเลตะวันออกประมาณสามร้อยลี้ ก็จะถึงขอบเขตทะเลวิญญาณโกลาหล”
ฮวาซิ่นเฟิงชี้ไปที่เมืองขนาดใหญ่ไกล ๆ นั้น พร้อมเอ่ย “พวกเราเข้าเมืองรวบรวมข้อมูลบางส่วนก่อน จากนั้นค่อยออกเดินทางดีหรือไม่?”
“แล้วแต่เจ้า”
ซูอี้เอ่ยทันที เรื่องจุกจิกเหล่านี้ เขาคร้านที่จะสนใจ
เมื่อทั้งสองเดินไปทางเมืองตงฝู
ก็เห็นเมืองขนาดใหญ่ทอดยาวลดลั่นกันไปอยู่ไกล ๆ คล้ายกับสิ่งของขนาดมหึมา เรียงยาวขนาบน่านฟ้า ในเมืองตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความโลกีย์ เสียงดังอึกทึกครึกโครม แม้อยู่ไกลแค่ไหนก็ยังได้ยิน
“หืม?”
เมื่อใกล้ไปถึงประตูเมือง จู่ ๆ ซูอี้ก็เงยหน้าขึ้นมองไปบนน่านฟ้ากว้าง
คล้ายกับเห็นเรือขนาดใหญ่ดุจภูเขา ทุกส่วนต้องแสงอาทิตย์ไปมา สูงห้าสิบจั้ง ล่องลอยมาจากที่ไกลอยู่บนชั้นเมฆ
บนเรือล่องเมฆาลำนั้น มีหอและตำหนัก มีศาลาริมน้ำ สวยหรูงดงาม และยังมองเห็นร่างที่ผ่านไปมาอยู่ในนั้นอย่างเลือนราง
ใกล้ ๆ ประตูเมือง มีเสียงโห่ร้องดังก้องขึ้นมา
เรือล่องเมฆาที่ลอยอยู่กลางอากาศ คงยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของคนบนโลกนี้
แม้แต่ซูอี้ก็ยังแปลกใจ
เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือล่องเมฆาตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่
ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่บังคับเรือลำนี้ ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่บนเส้นทางวิถีต้นกำเนิด ไม่เช่นนั้น คงมิอาจใช้ของล้ำค่าเช่นนี้ได้
[1] รำพึงฟ้าเวทนาคน เป็นสำนวน หมายถึงการกล่าวบ่นถึงชนชั้นปกครอง ขณะเดียวกันก็โมโหที่คนทั่วไปต้องลำบากเพราะการปกครองที่ล้มเหลว