บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 367 นับจำนวนบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรต้าฉิน
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 367 นับจำนวนบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรต้าฉิน
ตอนที่ 367: นับจำนวนบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรต้าฉิน
ตอนที่ 367: นับจำนวนบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรต้าฉิน
เรือล่องเมฆาข้ามผ่านฟากฟ้า ฉายเงาดำขนาดใหญ่มหึมาลงบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่
ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์โลกสามัญ ภาพเช่นนี้ไม่แตกต่างไปจากการเดินทางของเซียน เพียงแค่คิดก็รู้ได้ว่าความอลังการที่ตามมานั้นมากมายถึงเพียงไหน
“นี่คือ ‘เรือสำราญฮัวเยว่’ ของวัดเสวียนเยว่ ซึ่งประกอบขึ้นจากสมบัติวิถีต้นกำเนิดสี่ชนิด มันอยู่ในความควบคุมของกู้ชิงโตวผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวัดเสวียนเยว่ และก็มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารเช่นเขาเท่านั้นจึงสามารถขับขี่เรือคู่ใจเช่นนี้ได้อย่างช่ำชอง”
ฮวาซิ่นเฟิงส่งเสียงมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาเป็นประกายลุกวาว เลียริมฝีปากน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “หากว่าสามารถแย่งสมบัติชิ้นนี้มาได้ ไม่ว่าวันข้างหน้าต้องการไปที่ใดล้วนสะดวกสบาย”
ซูอี้เพียงแค่มองก็ดูออกว่าผู้หญิงคนนี้เกิดความคิดบางอย่างต่อ ‘เรือสำราญฮัวเยว่’ ขึ้นแล้ว
อย่างรวดเร็ว เรือล่องเมฆาลำนั้นก็เข้าสู่เมืองตงฝูและหายลับไป
“ใช่แล้ว คุณชายต้องระมัดระวังด้วย”
ฮวาซิ่นเฟิงนึกอะไรขึ้นได้ พลางกล่าว “หลี่ฉางหนิง โหยวซิงหลิน กับโหยวเทียนหงที่ตายด้วยฝีมือของคุณชาย คนหนึ่งเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของวัดเสวียนเยว่ คนหนึ่งเป็นศิษย์ผู้สืบทอดคนสำคัญของวัดเสวียนเยว่ และอีกคนหนึ่งเป็นศิษย์น้องของเซียนชังหงเจ้าอาวาสวัดเสวียนเยว่”
นางกล่าวเนิบ ๆ ราวกับนับเครื่องประดับอัญมณี “โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหยวเทียนหง ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเซียนชังหงมาก ตอนที่ทั้งสองยังหนุ่มเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเดียวกัน เคยผ่านความทุกข์ยากเป็นตายมากมายมาด้วยกัน กล่าวได้ว่าสามารถตายแทนกันได้”
“ตามข้อมูลที่หอสิบทิศของพวกเราสืบเสาะมาได้ หลังจากที่คุณชายฆ่าโหยวเทียนหงบนยอดภูเขาจิ่วจี้แล้ว เซียนชังหงนั่งนิ่ง ๆ ถึงสามวันสามคืน ใช้ปลายนิ้วเขียนตัวอักษรตัวหนึ่งบนพื้น”
ซูอี้ถามด้วยความอยากรู้ “อักษรตัวใด?”
“ตาย”
ดวงตาใสของฮวาซิ่นเฟิงเป็นประกาย พลางกล่าว “จากจุดนี้สามารถเห็นได้ว่า เจ้าอาวาสวัดเสวียนเยว่โกรธแค้นคุณชายจนเข้ากระดูกดำ หากว่ามีโอกาสฆ่าคุณชาย ย่อมไม่มีทางพลาดอย่างแน่นอน”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวต่ออีก “ยิ่งไปกว่านั้น โหยวเทียนหงยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือน้องชายของโหยวเยวียนตู้ผู้นำแห่งตระกูลโหยวซึ่งเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในอาณาจักรต้าฉิน โหยวชิงจือที่ตายด้วยฝีมือคุณชายก็เป็นน้องสาวของโหยวเยวียนตู้ด้วยเช่นกัน”
“และตามที่ข้าทราบมา การเดินทางไปทะเลวิญญาณโกลาหลในครั้งนี้ ผู้ใหญ่อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลโหยวก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน…”
ซูอี้เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดตัดบทขึ้นมา “เจ้าพูดเช่นนี้เท่ากับกำลังยั่วยุให้ข้าไปแย่ง ‘เรือสำราญฮัวเยว่’ ของวัดเสวียนเยว่ หรือว่าให้ข้าไปต่อกรกับผู้แข็งแกร่งของตระกูลโหยวกันแน่?”
ฮวาซิ่นเฟิงส่งเสียงหัวเราะคล้ายกับเสียงนางจิ้งจอก ประกายสายตาแวววับ แล้วกล่าว “หากว่าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าคุณชายจะสามารถจัดการกับพวกเขาทั้งหมด เช่นนี้ ข้าก็จะได้รับส่วนแบ่งที่มากขึ้น”
ซูอี้ชายตามองดูนางครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวคำ “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่ชอบเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน วันข้างหน้า ดีที่สุดเจ้าก็อย่าได้เสียเวลายั่วยุข้าอีก หากข้าพบว่าเจ้ากำลังคิดหลอกใช้ข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
คำกล่าวราบเรียบธรรมดา ทว่าฮวาซิ่นเฟิงฟังแล้วรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นในใจ
นางหุบยิ้ม เบนสายตาสดใสมองไปที่ซูอี้ กล่าวจริงจัง “คุณชายวางใจ ข้ารู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ”
“แน่นอน หากว่าพวกเขาเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการกับพวกเขา”
พูดจบ สองมือของซูอี้ไพล่หลัง เดินเข้าไปในประตูเมือง
ดวงตางดงามของฮวาซิ่นเฟิงเป็นประกาย ฉับพลันหัวเราะส่งเสียงคิก ๆ ออกมาแล้วไล่ตามไป
เมืองตงฝูมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ถนนหนทางเชื่อมโยงไปทั่วด้าน ผู้คนผ่านไปมามีมากมาย ทั้งคนทั้งรถม้าเบียดเสียดแออัด มีชีวิตชีวาและคึกคัก
ในช่วงเวลานี้ เนื่องด้วยส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลเกิดเหตุตื่นตะลึงขึ้น ทำให้เมืองตงฝูจึงคึกคักมากกว่ายิ่งกว่าแต่ก่อน จึงทำให้มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมามาก
เมืองตงฝูเป็นเมืองชายทะเลที่สามารถผ่านไปสู่ทะเลวิญญาณโกลาหลได้ ในช่วงหลายวันมานี้ ไม่รู้ว่าแต่ละที่แต่ละทางมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของขุมกำลังผู้ฝึกตนจำนวนมากมายเท่าใดมาถึงที่นี่
ฮวาซิ่นเฟิงจัดสวนพำนักน้อยแห่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนไว้ก่อนหน้าแล้ว
ซูอี้รออยู่ในสวนพำนักน้อย
ส่วนฮวาซิ่นเฟิงออกไปเก็บข้อมูลข่าวสาร
สำหรับนางบุคคลยิ่งใหญ่ผู้มาจากหอสิบทิศ ย่อมได้กุมแหล่งข้อมูลข่าวสารที่คนอื่นไม่รู้ไว้มากมาย
——
ในวันเดียวกันกับที่ซูอี้และฮวาซิ่นเฟิงมาถึงเมืองตงฝู
ฟิ้ว!
ประกายสีเงินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าสูงของเมืองตงฝู
ในประกายสีเงินสามารถมองเห็นร่างสูงสง่าเลือนราง เขาขี่ดาบยาวสีเงินสว่างเล่มหนึ่ง มีแสงสว่างเรืองรองทั่วร่างราวกับเทพเซียน
ทุกแห่งที่คน ๆ นี้เดินทางผ่าน อานุภาพกว้างไกลครอบคลุมฟ้าดินแผ่ขยาย ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดในเมืองตงฝูที่อยู่ในอาการตื่นตะลึง
ชาวบ้านธรรมดาบางส่วนตื่นตะลึงจนถึงกับคุกเข่าโขกศีรษะกราบ คิดว่าพบเจอกับเทพเซียนเข้าแล้ว
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว พวกเขาก็ตื่นตะลึงมากเช่นกัน รู้ว่านั่นคือเทพเซียนเดินดิน!
“เขาคือหัวหน้าจวนดาบหงเหลียนลิ่นอวี๋เปย! ว่ากันว่าวิถีดาบของเขาสะท้านฟ้า อายุยังไม่ถึงสามสิบก็ฝึกตนจนถึงขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์แล้ว”
“เมื่อสามปีก่อน ภายในดาบเดียวเขาก็เอาชนะเจ้าจวนดาบหงเหลียนคนก่อนได้ นับแต่นั้นจึงกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ และก็เป็นเจ้าสำนักที่มีอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งจวนดาบหงเหลียน ดุจดังปีศาจร้ายตนหนึ่ง!”
มีผู้ใหญ่บางคนซุบซิบ
ในอาณาจักรต้าฉิน นอกจากสามขุมกำลังผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อย่างวัดเสวียนเยว่ วัดซ่างหลิน และสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนแล้ว ยังมีอีกหกจวนดาบ
จวนดาบหงเหลียนคือหนึ่งในจำนวนนั้น
“ซี้ด! ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง! ตามคำเล่าลือ กล่าวกันว่าลิ่นอวี๋เปยเคยได้รับถ่ายทอดพลังวิถีดาบโบราณอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ตอนนี้ดูท่าแล้ว คงจะจริงดังว่า”
มีคนสั่นสะท้านขึ้นมา
ความเป็นจริงแล้วลิ่นอวี๋เปยแข็งแกร่งมาก มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอาณาจักรต้าฉิน มีรูปงดงาม ร่างสูงโปร่ง ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยประกายแสงสีเงินวาววับ เดินทางโดยขี่ดาบ วิถีดาบในตัวเขาอยู่ในขั้นแข็งแกร่ง จึงเคยได้รับคำชื่นชมจากเทพเซียนเดินดินอาวุโสมากมาย
“ซางลั่วอวี่แห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนอยู่หรือไม่?”
กลางอากาศ ดวงตาทั้งคู่ของลิ่นอวี๋เปยส่อประกายเย็นยะเยือกราวกับสามารถมองผ่านทะลุอากาศได้ กล่าวเสียงดังฟังชัดราวกับเสียงสายฟ้าฟาด แผ่กระจายไปไกล
“ลิ่นอวี๋เปย การต่อสู้ที่ทะเลสาบซูเซี่ยเมื่อสามเดือนก่อน เจ้าพ่ายแพ้ต่อข้า วันนี้ยังกล้าดีมาหาถึงที่นี่ หรือว่าอยากจะตายจริง ๆ?”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
ถัดจากนั้น แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ชั้นเมฆจากด้านในตัวเมืองตงฝู กลายร่างเป็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีดำ
หญิงสาวมีผิวพรรณละเมียดละไม สีหน้าแววตาเย็นกระด้าง ทั่วทั้งตัวมีกลิ่นอายพลังดาบอันเย็นยะเยือกประดุจหิมะน้ำแข็งแผ่ออกมา นางสะพายดาบเล่มกว้างอยู่ด้านหลัง พลังลมปราณในตัวแก่กล้า ทำให้อากาศในบริเวณนั้นถึงกับอับเฉาลง
“‘ซางลั่วอวี่แห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนจริง ๆ ด้วย นางก็มาเช่นนั้นหรือ?”
คนมากมายร้องอุทาน
สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังผู้ฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรต้าฉิน
ส่วนซางลั่วอวี่ก็เป็นศิษย์ผู้ได้รับการสืบทอดวิชาจากเจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนโดยตรง ในช่วงเวลาแปดร้อยปีของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน นางมีวุฒิภาวะสูงเกินกว่าทุกคนในระดับเดียวกัน จึงได้รับสมญานามว่า ‘ผู้ยอดเยี่ยมในสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน’ เป็นต้นกล้าวิถีฝึกตนที่ใคร ๆ ในใต้หล้าต่างก็รู้ เป็นบุคคลหาได้ยากในรอบร้อยรอบพันปี!
“ที่แท้เมื่อสามเดือนก่อน หัวหน้าจวนดาบหงเหลียนลิ่นอวี๋เปยพ่ายแพ้ต่อซางลั่วอวี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเลยเชียว!!”
ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนเท่าใดที่พากันตื่นตะลึง
ความเป็นจริงแล้ว ในเมืองตงฝูเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีสายตาจำนวนเท่าใดที่กำลังจ้องมองไปยังคนทั้งสองซึ่งกำลังลองเชิงกันอยู่กลางอากาศ
ลิ่นอวี๋เปยขี่ดาบลอยกลางอากาศ น่ายำเกรงครั่นคร้าม
ทว่าเมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ซางลั่วอวี่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย
นางสวมชุดกระโปรงสีดำทั้งตัว สีหน้าแววตาเย็นยะเยือก สะพายดาบเล่มใหญ่ ทั้งตัวมีภาวะดาบหนาวเย็นประดุจหิมะ ราวกับเซียนดาบหญิงบนสวรรค์ งดงามทะมัดทะแมง แข็งแกร่งดังคมมีด!
“สองท่านนี้ล้วนเป็นบุคคลโดดเด่นประดุจคนในตำนานของอาณาจักรต้าฉิน แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวอยู่ในเมืองตงฝูพร้อมกัน ดูท่าทางของพวกเขาแล้ว คงต้องการประลองความยิ่งใหญ่แล้วกระมัง?”
คนจำนวนมากกลั้นหายใจสงบสติอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นลิ่นอวี๋เปยหรือซางลั่วอวี่ ทั้งคู่ล้วนยังอ่อนวัย ถือเป็นบุคคลผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง ประกายแสงที่เฉิดฉายในตัวเพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกตนอาวุโสในอาณาจักรต้าฉินถึงกับถอนใจว่าสู้ไม่ได้!
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักของพวกเจ้ามอบ ‘ดาบโบราณเทียนเซี่ย’ ของเขาให้แก่เจ้า ข้าจะพ่ายแพ้ต่อเจ้าได้เช่นใด?”
ลิ่นอวี๋เปยส่งเสียงร้องฮึ
“แพ้ก็คือแพ้ หากว่าเจ้าไม่ยอมแพ้ ก็มาสู้กันอีกครั้ง ข้ารับรองว่าจะไม่ใช้ดาบโบราณเทียนเซี่ย”
ซางลั่วอวี่พูดเสียงเย็นชาราวกับน้ำนิ่ง
“เช่นนั้นรึ ถ้าเช่นนั้นข้าต้องสู้ให้เต็มที่สักหน่อยแล้ว!”
แววตาของลิ่นอวี๋เปยประดุจสายฟ้า ประกายสีเงินในตัวขยายกว้าง เตรียมตัวจะลงมือ
ขณะนี้เอง เสียงแก่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“สหายสองท่านต่างก็เป็นเสาหลักที่สามารถนับจำนวนได้ในอาณาจักรต้าฉินของข้า มีพละกำลังล้นฟ้า หากต่อสู้กันขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้ผู้คนในเมืองต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ขอท่านทั้งสองเห็นแก่หน้าของข้า สงบศึกชั่วคราว ในเมื่อต้องการรู้แพ้ชนะ รอให้ถึงทะเลวิญญาณโกลาหลแล้ว ยังมีโอกาสอีกเยอะแยะมากมาย”
พร้อมกับเสียง สายรุ้งทิพย์สายหนึ่งทะลุผ่านอากาศ มาปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลจากลิ่นอวี๋เปยกับซางลั่วอวี่
สายรุ้งทิพย์หายไปกลายเป็นผู้เฒ่าในชุดสีม่วงแขนเสื้อกว้างพลิ้ว ใบหน้าอิ่มเอิบประดุจเด็กน้อย พลังลมปราณในตัวล้ำลึกกว้างไกล บดบังแผ่นฟ้าในบริเวณนั้น
“ผู้อาวุโสรองฉินต่งซวีแห่ง ‘ภูเขาขดมังกร’ ของราชวงศ์ต้าฉิน!เป็นตัวตนในขอบเขตเปิดทวารมีความสามารถสมดังชื่อคนหนึ่ง เล่ากันว่าการฝึกตนของเขา ถึงตอนนี้มีระยะเวลานานถึงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าปีแล้ว ระดับการฝึกตนในตัวมีความลึกล้ำไม่อาจคาดเดา!”
บางคนส่งเสียงสั่นสะท้านออกมา
ราชวงศ์ต้าโจวมีกลุ่มมังกรเร้นคอยดูแล ราชวงศ์ต้าเว่ยมีกลุ่มแสวงเซียนดูแล
ทว่าราชวงศ์ต้าฉิน มีกลุ่มซ่อนพรางขดมังกรคอยดูแล!
กล่าวโดยสรุป กลุ่มซ่อนพรางขดมังกรก็คือขุมกำลังผู้ฝึกตนของราชวงศ์ต้าฉินนั่นเอง
“ชักน่าสนุก ไม่เสียแรงเลยที่อาณาจักรต้าฉินแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในสามอาณาจักรที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งที่สุด ไม่เพียงแต่มีสามขุมกำลังผู้ฝึกตนเท่านั้น กระทั่งขุมกำลังผู้ฝึกตนในราชวงศ์ก็ยังล้ำเลิศกว่ากลุ่มมังกรเร้นของอาณาจักรต้าโจว”
ในสวนน้อย ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย จิตสัมผัสของเขาสำรวจอยู่บนฟ้าในระดับความสูงหลายร้อยจั้ง มองดูภาพเหตุการณ์ไกล ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ของลิ่นอวี๋เปย หรือว่าซางลั่วอวี่ล้วนกล่าวได้ว่าล้ำเลิศ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของอาณาจักรต้าโจวแทบจะหาคนที่มีความสามารถทัดเทียมไม่ได้
กระทั่งระดับการฝึกตนของผู้อาวุโสรองฉินต่งซวีแห่งภูเขาขดมังกรก็ยังทำให้ซูอี้รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่มากเช่นกัน
ลำพังเพียงแค่สามคนนี้ ก็ทำให้ซูอี้รู้ได้ว่า พื้นฐานของขุมกำลังผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าฉินนั้นเกินกว่าอาณาจักรต้าโจวกับอาณาจักรต้าเว่ยจะเทียบเคียงได้
สุดท้าย
การสู้รบในครั้งนี้ก็ถูกยับยั้ง
ถูกฉินต่งซวีคอยขัดขวาง ลิ่นอวี๋เปยกับซางลั่วอวี่ต่างก็ต้องให้ความเคารพ จำต้องไว้หน้าฉินต่งซวี จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป
ซูอี้เก็บจิตสัมผัสกลับมา ในใจเกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย
ตนเองเพิ่งมาถึงเมืองตงฝู ก็เจอกับเรือสำราญฮัวเยว่ของวัดเสวียนเยว่ รวมถึงการลองเชิงบนฟากฟ้าของเมืองตงฝูเช่นนี้ สามารถมองสถานการณ์ทั้งหมดออกได้ว่า ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ กลุ่มผู้ฝึกตนที่มาถึงเมืองตงฝูจะต้องมีจำนวนไม่น้อยเป็นแน่
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว ภาพเหตุการณ์เหล่านี้กลับทำให้เขาตั้งความคาดหวังต่อมรดกที่หอดาบเซียนกลุ่มนั้นทิ้งไว้
พบคู่ต่อสู้ฝีมือพอ ๆ กันจึงจะสนุก
เพียงแค่ไม่รู้ว่า ในการเดินทางครั้งนี้จะมีสักกี่คนที่มีฝีมือ?
“บางที การเดินทางครั้งนี้ อาจจะเป็นโอกาสให้ข้าได้ย่างก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิดก็ได้…”
ซูอี้รู้สึกตื่นเต้นในใจ