บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 368 มองไปมีแต่ศัตรู
ตอนที่ 368: มองไปมีแต่ศัตรู
ตอนที่ 368: มองไปมีแต่ศัตรู
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
ฮวาซิ่นเฟิงก็กลับมา แสดงความปลื้มยินดีออกมาทางใบหน้า กล่าว “คุณชาย ครั้งนี้พวกเรามาได้จังหวะเวลาพอดี คืนวันนี้มีงานเลี้ยงขนาดใหญ่จะเปิดฉากขึ้นที่ ‘หมู่บ้านเทียนสุ่ย’ ซึ่งห่างจากนอกเมืองออกไปสามลี้”
“งานเลี้ยงในครั้งนี้มีผู้อาวุโสรองฉินต่งซวีแห่งภูเขาขดมังกรของอาณาจักรต้าฉินเป็นเจ้าภาพ เชิญวัดซ่างหลิน วัดเสวียนเยว่ และสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน สามมหาขุมกำลังอันมีชื่อมาร่วมงานด้วย
“นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่เก่งกาจจากหกจวนดาบของอาณาจักรต้าฉินกับผู้ฝึกตนอาวุโสที่มีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้า”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “เจ้าต้องการไปร่วมงานด้วยเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว แต่พวกเราจะไปร่วมงานด้วยกัน”
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าว “ว่ากันว่า ในงานเลี้ยงครั้งนี้ ฉินต่งซวีจะประกาศความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมรดกซากโบราณหอเซียนดาบด้วย พร้อมกันนี้ยังจะประกาศแจ้งเรื่องใหญ่อีกเรื่อง”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็หัวเราะพลางกล่าวคำออก “แน่นอน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเรายังสามารถถือโอกาสนี้ดูว่าคู่แข่งขันในครั้งนี้มีใครบ้าง เมื่อไปถึงทะเลวิญญาณโกลาหลแล้ว จะได้เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเก็บเกี่ยวผลพวงแห่งชัยชนะ”
ซูอี้คิดสักครู่จึงตอบ “ก็ดีเช่นกัน”
อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรต้องทำ ไปดูความเก่งกาจของผู้ฝึกตนอาวุโสในอาณาจักรต้าฉินก็ดีเช่นกัน
ฮวาซิ่นเฟิงยิ้มจนตาหยี หัวเราะแหะ ๆ พลางกล่าว “คุณชาย ก่อนที่จะไปร่วมงาน จะต้องปลอมตัวสักหน่อย มิเช่นนั้น หากมีคนจำคุณชายได้จะไม่เป็นการดีนัก เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเป็นวัดซ่างหลิน หรือวัดเสวียนเยว่ ล้วนหวาดเกรงคุณชายจนเข้ากระดูกทั้งสิ้น”
ซูอี้ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ขณะพยักหน้าพลางกล่าว “ก็ได้”
ขณะที่พูด กระดูกภายในร่างของเขาก็เกิดเสียงดังติดต่อกันราวกับถั่วระเบิด
ฉับพลันร่างที่สูงโปร่งของเขาก็เปลี่ยนไป สูงมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อเหลาสดใสกลับกลายเป็นใบหน้าที่ราบเรียบไร้ความพิเศษ
เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ก็กลายเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาคนหนึ่ง แม้กระทั่งลักษณะเฉยชาต่อสรรพสิ่งในตัวเขาก็ไม่มีเหลืออีก
ดวงตาสวยของฮวาซิ่นเฟิงส่องประกายสว่าง กล่าวชื่นชม “วิชาเปลี่ยนโฉมนี้สุดยอด!”
“เจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน” ซูอี้เอ่ยออกมา
ฮวาซิ่นเฟิงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ไม่ได้ตอบความ สักครู่หนึ่งจึงยิ้มพลางกล่าว “เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่พอดีตัวสักหน่อย รับรองได้ว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีสายตาแหลมคมก็จำคุณชายไม่ได้”
ซูอี้หัวเราะ
วิชาที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้เป็น ‘เคล็ดวิชาเปลี่ยนวิญญาณ’ ซึ่งเป็นวิชาแขนงหนึ่งของสำนักอสูร ไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงรูปโฉม แต่ยังเปลี่ยนแปลงลมหายใจและลักษณะในตัวอีกด้วย!
จะมีก็แต่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณเท่านั้นจึงสามารถมองออก ไม่เช่นนั้นไม่มีทางดู ‘การปลอมตัว’ นี้ออก!
——
ยามโพล้เพล้
โคมไฟในหมู่บ้านเทียนสุ่ยถูกจุดจนสว่างไสว บ่าวกับสาวรับใช้จำนวนหนึ่งเดินวนเวียนอยู่ในฝูงผู้คนราวกับผีเสื้อตอมดอกไม้ บินฉวัดเฉวียนไม่นิ่ง
เมื่อซูอี้ผู้สวมใส่ชุดคลุมยาวสีขาวกับฮวาซิ่นเฟิงมาถึงหมู่บ้านที่กินอาณาเขตกว้างถึงหลายสิบไร่ ก็พบว่าแขกเหรื่อผู้มีเกียรติมากมายมาถึงกันก่อนหน้านานแล้ว
ไม่เพียงแต่มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จากวัดซ่างหลิน วัดเสวียนเยว่ กับสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเท่านั้น แต่ยังมีคนในวังต้าฉิน หกจวนดาบ รวมถึงผู้อาวุโสจากใต้หล้าหลายท่าน
ในบรรดาแขกเหรื่อเหล่านี้ มีผู้ฝึกยุทธ์อยู่จำนวนไม่น้อย ระดับการฝึกที่อ่อนที่สุดล้วนอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลเก่งกาจซึ่งก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิดแล้ว
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นถือได้ว่าเป็นงานยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกตน
ใจกลางหมู่บ้านเทียนสุ่ยคือเวทีหยกกลางแจ้งขนาดใหญ่โตมโหฬาร บนเวทีหยกจัดโต๊ะและที่นั่งจำนวนมากมายเตรียมไว้รอก่อนแล้ว
งานเลี้ยงยังไม่ได้เริ่มขึ้น แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็ยืนพูดคุยทักทายกันเป็นกลุ่ม ๆ
ซูอี้มองไปก็เห็นว่า หลานซัวกับอาจารย์อวิ๋นหลางนั่งร่วมอยู่ในที่นั่งด้านหน้าสุดด้วย
หลานซัวในวันนี้สวมชุดกระโปรงสีเขียวน้ำทะเลทั้งตัว มวยผมขึ้นสูง คอยาวระหง ใบหน้างดงามราวกับภาพแกะสลักส่องประกายเฉิดฉายภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น
นางมีรูปร่างสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อไปนั่งอยู่ตรงนั้น ท่าทีสงบเงียบ งดงามน่าหลงใหล จึงดึงดูดสายตานับหลายคู่ให้มองมา
อาจารย์อวิ๋นหลางสวมหมวกทรงสูง สวมชุดคลุมยาวรัดเอว ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนแห่งอาณาจักรต้าฉิน ถือได้ว่าเขามีฐานะสำคัญมากภายในงาน
‘เป็นเรื่องที่สมควร เดิมทีพวกเขาก็เป็นคนของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน มาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก’
ซูอี้คิดในใจ
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มาร่วมงานเลี้ยงในคืนวันนี้มีจำนวนมาก แต่ละคนล้วนมีความเก่งกาจที่แตกต่างกันไป
ซูอี้มองเห็นซางลั่วอวี่กับลิ่นอวี๋เปยผู้ซึ่งลองเชิงกันบนน่านฟ้าเมืองตงฝูในวันนั้น ทั้งสองก็อยู่ในงานด้วยเช่นกัน
พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งเป็นผู้นำรุ่นใหม่ของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้นำจวนดาบหงเหลียน เป็นบุคคลที่ได้รับการจับตามองในงานเช่นเดียวกัน
ส่วนคนอื่น ๆ ซูอี้ไม่รู้จักใครอีก
“คุณชาย ที่นั่งของพวกเราอยู่ตรงนี้”
ฮวาซิ่นเฟิงพาซูอี้มายังจุดที่ห่างไกลเวทีหยก ผู้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีฐานะด้อย
ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสทั้งหลายที่มาจากแต่ละพื้นที่ของอาณาจักรต้าฉินบางคน เมื่อเทียบกับบุคคลในสามขุมกำลังผู้ฝึกตนแล้ว ยังห่างไกลอีกนัก
“ตรงนี้ไม่ดึงดูดสายตา และสบายที่สุดด้วย”
ฮวาซิ่นเฟิงยิ้มพลางกล่าว
ซูอี้ส่งเสียงตอบรับอืม จากนั้นจึงยกกาสุราขึ้นมารินใส่จอกแล้วดื่ม
“คุณชายดูสิ นั่นคือผู้อาวุโสเฉิงเจินแห่งอารามฉางจิงวัดซ่างหลิน จนถึงตอนนี้ฝึกตนมาเป็นเวลาสามร้อยปีแล้ว”
พลันฮวาซิ่นเฟิงก็ถ่ายทอดเสียงมา เบนสายตามองไปไกล ๆ
ที่นั่งด้านหน้าสุดบนเวทีหยก มีหลวงจีนสามท่านนั่งอยู่
ผู้เป็นหัวหน้าคือหลวงจีนผู้เฒ่าอายุเจ็ดแปดสิบคิ้วยาวขาวโพลน เคราพลิ้ว รูปร่างผอมกะหร่องราวกับไม้ฟืน รอยย่นเต็มใบหน้า นั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับก้อนหินไม่ขยับเขยื้อน
เฉิงเจิน
มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตเปิดทวาร
หนึ่งในสามบรมจารย์ที่แทบนับนิ้วได้ของวัดซ่างหลิน บำเพ็ญ ‘ฌาณอับเฉารุ่งโรจน์’ ฝึก ‘วิชาร่างทอง’ เป็นหลวงจีนสำนักพุทธผู้มีอิทธิพลต่อแวดวงผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าฉินเป็นอย่างมาก
“ผู้ฝึกกายคนหนึ่งเท่านั้น”
ซูอี้เพียงแค่ชายตามองแล้วเก็บสายตากลับ
ระยะเวลาสามร้อยปี ฝึกฝนบำเพ็ญถึงแค่ขอบเขตเปิดทวาร ต่อให้มีความสามารถมากมายสักเพียงใด ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก
เทพเซียนเดินดินวัยหนุ่มสาวอย่างซางลั่วอวี่กับลิ่นอวี๋เปยเสียอีกที่มีความสามารถมากยิ่งกว่า หนทางวิถีในวันข้างหน้าก็มีแต่จะยาวไกลยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า ต้องไม่ตายไปเสียก่อน
ฮวาซิ่นเฟิงถ่ายทอดเสียงเตือนสติ “คุณชาย ดีที่สุดคุณชายควรจะจับตามองผู้เฒ่าคนนี้เอาไว้สักหน่อย เจ้าอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลินที่ตายด้วยฝีมือคุณชายเมื่อตอนอยู่นครหลวงอวี้จิงคือศิษย์คนสุดท้ายของเขา”
ซูอี้ตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นกล่าวด้วยความนึกสนใจขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงเล่ามาสิว่า ในที่แห่งนี้ยังมีใครอีกที่อาจจะเป็นศัตรูกับข้า?”
ฮวาซิ่นเฟิงมาจากหอสิบทิศ ข้อมูลและข่าวสารที่กุมอยู่ในมือ จึงมีมากเป็นธรรมดา
และนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ซูอี้ยอมให้หอสิบทิศเข้าร่วมการเดินทางในครั้งนี้
ทว่าฮวาซิ่นเฟิงเม้มริมฝีปากน้อย ๆ พลางกล่าว “พูดขึ้นมา ในที่แห่งนี้ ผู้ที่มองเห็นคุณชายเป็นศัตรู มีอยู่จำนวนไม่น้อยทีเดียว”
พูดจบ นางก็ชำเลืองมองไปอีกด้านโดยไม่ทิ้งร่องรอย พลางถ่ายทอดเสียงมา “คุณชายดู นั่นคือผู้อาวุโสกู้ชิงโตวแห่งวัดเสวียนเยว่ ‘เรือสำราญฮัวเยว่’ ที่พวกเราพบก่อนเข้าเมืองในวันนี้อยู่ในความควบคุมของคน ๆ นี้”
กลุ่มคนที่นั่งแถวหน้า ๆ บนเวทีหยกคือผู้ฝึกตนจากวัดเสวียนเยว่ ถูกผู้คนล้อมหน้าล้อมหลังประดุจดวงดาวล้อมดวงจันทร์
คนที่ฮวาซิ่นเฟิงพูดถึงคือชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางก้าวร้าวฮึกเหิม ผิวพรรณทั่วร่างเป็นสีดำแดง เวลาที่กะพริบตาจะมีประกายสายฟ้าฟาดแวบผ่าน ประดุจมีดดาบแหลมคม น่าหวาดเกรง
กู้ชิงโตว
ระดับการฝึกขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์แบบ ศิษย์พี่ของโหยวเทียนหง ฝึกหัดวิถีดาบตั้งแต่ยังหนุ่ม จนถึงบัดนี้เป็นเวลาหนึ่งร้อยสามสิบกว่าปีแล้ว และได้รับสมญานามว่า ‘ราชันย์มีดพระเพลิง’ ในอาณาจักรต้าฉิน
ว่ากันว่าดาบเดียวของเขามีกำลังเผาผลาญทั่วท้องฟ้า
ซูอี้พยักหน้า แล้วถามขึ้นว่า “ยังมีอีกหรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงถ่ายทอดเสียงแนะนำตัวคนอีกคนหนึ่งในทันใด
คน ๆ นี้นั่งอยู่แถวหน้าเช่นกัน ผมเคราดำประดุจน้ำหมึก สวมชุดคลุมยาวสีดำทั้งตัว อ่อนโยนสุภาพ กำลังพูดจายิ้มแย้มกับคนอื่น ๆ ด้านข้าง มีกิริยามารยาทงดงาม
โหยวฉางคง
หนึ่งในสองบรมจารย์ขอบเขตเปิดทวารของตระกูลโหยว ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรต้าฉิน พูดถึงความอาวุโสแล้วเป็นบรมจารย์อาของโหยวเยวียนตู้ มีฐานะสูงส่ง สามารถเทียบเคียงได้กับผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสามมหาขุมกำลังยิ่งใหญ่ได้
พอได้ยินว่าเป็นผู้ฝึกตนตระกูลโหยว ซูอี้ก็เข้าใจได้ว่านี่คือศัตรูอีกคน
ขณะที่กำลังพูด
จู่ ๆ ฮวาซิ่นเฟิงก็ร้องอุทานขึ้นมาเบา ๆ พลันเบนสายตามองไปไกล
เห็นผู้ชายวัยกลางคนกระดูกใหญ่ คลุมตัวด้วยชุดคลุมยาวผ้าเนื้อหยาบ ผมยาวรุงรัง สาวเท้าก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีหยก
เขาสะพายดาบสองเล่มบนหลัง เดินส่ายอาด ๆ น่าเกรงขามประดุจภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่าน มีพลังที่คล้ายกับสามารถกดทับหัวใจคนอื่นได้
“เจ้าสำนักดาบมังกรเร้นแห่งอาณาจักรต้าโจว เนี่ยสิงคง!”
“บุคคลยิ่งใหญ่อย่างเขาก็ยังมาด้วยตนเอง…”
เกิดความระส่ำระสายขึ้นในงาน
“สหายเต๋าเนี่ย เชิญมาพูดคุยกัน”
ที่นั่งแถวหน้า เฉินเจินผู้มีร่างผอมกะหร่องราวกับไม้ฟืนลืมตาขึ้น พลางส่งเสียงเชื้อเชิญเนี่ยสิงคง
เนี่ยสิงคงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปหาและนั่งลงในทันใด
“คุณชาย ศัตรูตัวร้ายกาจอีกคนหนึ่งก็มาแล้ว”
สายตาสีหน้าของฮวาซิ่นเฟิงดูประหลาด “เนี่ยสิงคงคนนี้ไม่ธรรมดา เมื่อสิบเก้าปีก่อนก็เป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตเบญจไร้ธัญซึ่งแทบจะนับนิ้วได้ของอาณาจักรต้าโจว และในช่วงเวลาสิบเก้าปี เขาเก็บตัวฝึกตนอยู่ในสำนัก ไม่สนใจเรื่องภายนอก ว่ากันว่าเพื่อเตรียมพร้อมสู่ขอบเขตเปิดทวาร”
“แต่คุณชายจะต้องระวังตัวไว้สักหน่อย ตามข้อมูลที่หอสิบทิศของพวกเราสืบเสาะมาได้ เมื่อสิบเก้าปีก่อน เนี่ยสิงคงเคยเข้าไปในหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์กับฉือเฟิงหลิว หลังจากที่กลับออกมาจากหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์แล้ว เนี่ยสิงคงก็เลือกที่จะเก็บตัวฝึกตน”
ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ก็พยักหน้า แสดงสีหน้าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองออกมา พลางกล่าว “มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้ข้าเห็นพลังลมปราณในตัวเขาแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากล ที่แท้ก็เป็นผู้สิงสถิตคนหนึ่งเช่นกัน”
ฮวาซิ่นเฟิงนิ่งตะลึงด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก นิ่งเงียบไปสักครู่จึงกล่าว “คุณชาย..เพียงแค่มองก็ดูออกแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ก่อนหน้านี้นางพูดไปตั้งมากมาย เพราะต้องการจะบอกซูอี้ว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลมากมาย หอสิบทิศสงสัยว่าเจ้าสำนักดาบมังกรเร้นเนี่ยสิงคงถูกสิงสถิตแล้ว
ไม่คาดคิดเลยว่า ซูอี้จะสัมผัสได้ก่อนแล้ว!
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา “ขุมกำลังผู้ฝึกตนที่แท้จริง ล้วนมีเคล็ดวิชาและสมบัติล้ำค่าที่ต่างไปจากผู้สิงสถิต ด้วยเหตุนี้จึงสามารถหลีกเลี่ยงการพรางตัวเข้าสู่สำนักของศัตรูโดยไม่รู้สึกตัวได้ สำหรับข้าแล้ว การจะแยกแยะพลังลมปราณของผู้สิงสถิตในชั่วพริบตาเดียวไม่ถือว่ายากนัก”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อนึกขึ้นมาว่าเจ้าสำนักของผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในอาณาจักรต้าโจวกลับถูกสิงสถิต ซูอี้ยังคงรู้สึกตกใจคาดไม่ถึงอยู่มาก
ตามคำบอกเล่าของฮวาซิ่นเฟิง เป็นไปได้อย่างมากว่าเนี่ยสิงคงผู้เดินทางสู่หุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์พร้อมกับฉือเฟิงหลิว ถูกผู้ฝึกตนนอกภพยึดครองร่างไปเมื่อตอนสิบเก้าปีก่อน
เพราะอย่างไรเสีย ตัวของฉือเฟิงหลิวเองก็เป็นผู้สิงสถิตคนหนึ่ง เคยเข้าไปในหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์ หากว่าเขาตั้งใจจะเล่นงานเนี่ยสิงคง เกรงว่ายากนักที่เนี่ยสิงคงจะได้รับการช่วยเหลือเช่นนี้
ดวงตาของฮวาซิ่นเฟิงสดใสแวววาว ถามด้วยความอยากรู้ “ถ้าเช่นนั้นคุณชายมองออกหรือไม่ว่า ในงานเลี้ยงคืนนี้ ยังมีผู้สิงสถิตคนอื่น ๆ อีก?”