บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 369 งานเลี้ยง
ตอนที่ 369: งานเลี้ยง
ตอนที่ 369: งานเลี้ยง
ซูอี้กวาดสายตามองไปรอบสี่ด้าน ก่อนจะกล่าว “ยังมีอีกสองคน
ฮวาซิ่นเฟิงหรี่ตาเล็กน้อย “ใคร?”
ซูอี้เอ่ยชื่อคนทั้งสองในทันใด
คนหนึ่งคือผู้ชายในชุดสีทองข้างกายผู้อาวุโสสูงสุดกู้ชิงโตวแห่งวัดเสวียนเยว่
คน ๆ นี้สวมชุดยาวสีเหลืองอร่าม ผิวพรรณขาวใส รูปงามหล่อเหลา เวลาที่หัวเราะขึ้นมา ปลายหางตาเชิดขึ้นน้อย ๆ ให้ความรู้สึกหยิ่งลำพอง
“องค์ชายหกฉินฝูแห่งอาณาจักรต้าฉินเช่นนั้นหรือ?”
ฮวาซิ่นเฟิงถึงกับตะลึง แสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
ฉินฝู พระราชโอรสองค์ที่หกของจักรพรรดิฉิน เป็นบุตรหลานเชื้อสายกษัตริย์ ฝึกตนอยู่ในวัดเสวียนเยว่มาตั้งแต่เยาว์วัย มีพรสวรรค์เหนือคนอื่น ๆ และมีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยม จึงได้รับความเชิดหน้าชูตาจากบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในวัดเสวียนเยว่
และเขาในตอนนี้ยังมีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ มีชื่อติดอันดับแรกในรายนาม ‘แปดผู้ยอดเยี่ยมในอาณาจักรต้าฉิน’ ได้รับยกย่องว่าเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่แกร่งที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปีมานี้
ทว่าฮวาซิ่นเฟิงกลับไม่คาดคิดมาก่อนว่า ที่แท้คนผู้นี้โดนสิงสถิตไปตั้งนานแล้ว!
วังหลวงของต้าฉินจะรู้เรื่องนี้หรือไม่?
แล้วพวกนักพรตในวัดเสวียนเยว่เล่า จะรู้เงื่อนงำในตัวของฉินฝูหรือไม่?
ฮวาซิ่นเฟิงถึงกับใจลอยไปชั่วครู่
ถึงแม้หอสิบทิศของพวกเขาจะกุมความลับในโลกมากมาย ข่าวสารฉับไวอย่างที่สุด ทว่าไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าในวังหลวงของต้าฉินจะซุกซ่อนผู้สิงสถิตเช่นนี้เอาไว้!
“แล้วอีกคนหนึ่งเล่า?”
นิ่งเงียบไปนาน ฮวาซิ่นเฟิงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ควรจะนับได้แค่ครึ่ง”
ซูอี้พูดจบก็เบนสายตามองไปที่ซางลั่วอวี่แห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน ผู้หญิงคนนี้สวมชุดกระโปรงยาวสีดำทั้งตัว ผิวขาวประดุจหิมะ หน้าตาเย็นชาแข็งกระด้าง สะพายดาบเล่มใหญ่ ท่าทางทะมัดทะแมง น่าเกรงขาม
“เป็นไปได้เช่นใด…”
ฮวาซิ่นเฟิงนิ่งตะลึงไป ในข้อมูลลับที่หอสิบทิศของพวกเขาได้มา ซางลั่วอวี่คนนี้เป็นศิษย์สืบทอดสายตรงของเจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน เหมือนดังเช่นเยว่ซือฉานแห่งอาณาจักรต้าโจว ล้วนเป็นบุคคลรุ่นใหม่ผู้มีชีวิตราวกับตำนาน ยากนักจะพบเจอในร้อยปีพันปี
ตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ ซางลั่วอวี่มีพรสวรรค์ประหลาด มีพลังสายโลหิตอันลึกลับ เมื่อหลายปีก่อน ได้รับการยอมรับจากดาบโบราณเทียนเซี่ยแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน ระดับการฝึกตนของนางกดดันผู้ฝึกตนอาวุโสในสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนจำนวนไม่น้อยจนเงยหน้าไม่ขึ้น
ผู้ฝึกตนหญิงที่มีความเลิศล้ำเช่นนี้ จะเป็นผู้สิงสถิตได้เช่นใดกัน?
“ใช่แล้ว ผู้สิงสถิตแค่ครึ่งหมายความว่าอย่างไร?”
ฮวาซิ่นเฟิงอดกลั้นไม่ไหว ถามขึ้นมา
“หมายความว่ายังไม่ถูกสิงสถิต แต่ในร่างมีพลังวิญญาณลึกลับ”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา “ยังจำมารปีศาจที่สิงสถิตซูหงหลี่ตนนั้นได้หรือไม่ สถานการณ์ของซางลั่วอวี่คล้ายคลึงกับซูหงหลี่ หากว่าข้ามองไม่ผิด จิตวิญญาณลึกลับในร่างของนางคงจะมาจากดาบใหญ่ที่นางสะพายเล่มนั้น”
“ดาบโบราณเทียนเซี่ย!!”
ฮวาซิ่นเฟิงสะดุ้งในใจ ฉับพลันก็เข้าใจขึ้นได้ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดาบโบราณเทียนเซี่ยของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเป็นดาบที่เจ้าสำนักของนางนำกลับมาจากทะเลวิญญาณโกลาหลเมื่อสามสิบปีก่อน ว่ากันว่าดาบเล่มนี้มาจากมรดกซากโบราณที่ชื่อว่า ‘สำนักวิญญาณเทียนเซี่ย’ ทิ้งไว้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่ซางลั่วอวี่ได้รับการยอมรับจากดาบเล่มนี้ ก็คงถูกพลังจิตวิญญาณในดาบเล่มนี้สิงสถิตในร่าง!”
พูดถึงตรงนี้แล้ว นางก็อดมองดูซูอี้ไม่ได้ ในใจมีแต่ความลังเลสงสัย สายตาของผู้ชายคนนี้จะคมเฉียบเกินไปเสียแล้ว เพียงแค่มองดูครู่เดียวก็สามารถมองความลึกลับได้มากมายถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ?
ขณะที่กำลังพูดคุย จู่ ๆ เสียงวิจารณ์บนเวทีหยกก็เงียบหายไป เหล่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังพูดคุยกันต่างก็เบนสายตามองไปในทิศทางเดียวกัน
ไกลออกไป ผู้เฒ่าในชุดสีม่วงแขนเสื้อกว้างพลิ้วหน้าตาอ่อนวัยก็เดินขึ้นสู่เวทีหยก เขาคือผู้อาวุโสรองของภูเขาขดมังกรแห่งอาณาจักรต้าฉิน ฉินต่งซวี ผู้เป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้
พูดจบ สาวรับใช้วัยสาวกลุ่มหนึ่งก็ยกอาหารเลิศรสแต่ละอย่างออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแขกเหรื่อทั้งหลาย
ฉินต่งซวีพูดทักทายอีกสักครู่ จึงดื่มทำความเคารพ
ดื่มสุราไปสามรอบ จึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความยิ้มแย้ม “ฉินผู้นี้ทราบว่าทุก ๆ ท่านในที่นี้ต่างก็มาเพื่อโอกาสสัมพันธ์ของ ‘หอเซียนดาบ’ แห่งนั้น การที่ฉินผู้นี้จัดงานเลี้ยงขึ้นมาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการจะปรึกษาหารือกับทุกท่านถึงเรื่องนี้”
ทุก ๆ คนต่างก็วางตะเกียบกับจอกสุราลง หันไปมองฉินต่งซวีอย่างพร้อมเพรียงกัน
บรรยากาศเงียบสงบขึ้นมา
เห็นเช่นนี้แล้ว ฉินต่งซวีก็ไม่พูดกำกวมอีก กล่าวออกมาตามตรง “ไม่ปิดบังทุกท่าน ในมือของฉินผู้นี้มีแผนที่ลึกลับโบราณฉบับหนึ่ง สงสัยว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับมรดกซากโบราณที่หอเซียนดาบทิ้งไว้ หากว่าเสาะหาโอกาสสัมพันธ์โดยเดินตามแผนที่ลับฉบับนี้ น่าจะหลีกเลี่ยงการรบราฆ่าฟันไปได้มาก”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา ทุก ๆ คนต่างก็ตื่นตะลึง มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยคล้อยตาม
ไม่มีใครคาดคิดว่า ฉินต่งซวีจะได้แผนที่ลับเช่นนี้มา
สายตาของฮวาซิ่นเฟิงเป็นประกาย ถ่ายทอดเสียงให้ซูอี้ กล่าว “ครั้งนี้มาได้ถูกจังหวะเวลา หากได้ดูแผนที่ลับนั้น จะต้องมีประโยชน์ต่อการเดินทางในลำดับถัดมาของพวกเราเป็นแน่”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “หากว่าเจ้ามีแผนที่ลับเช่นนี้ จะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้หรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงตะลึง กล่าวราวกับกำลังครุ่นคิด “กล่าวเช่นนี้ ก็แสดงว่าตาเฒ่าฉินต่งซวีคนนี้มีจุดประสงค์อย่างอื่น”
“ที่สหายเต๋าฉินกล่าวมานั้น เป็นความจริงเช่นนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสกู้ชิงโตวแห่งวัดเสวียนเยว่ถาม
“ไม่มีบิดเบือน”
ฉินต่งซวีหัวเราะน้อย ๆ “ฉินผู้นี้จัดงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ก็เพราะต้องการเชิญผู้ร่วมวิถีไปเสาะแสวงหาโชคลาภอันยิ่งใหญ่นี้ร่วมกัน”
ทุกคนในงานส่งเสียงพูดคุยกันดัง คนจำนวนไม่น้อยเริ่มคล้อยตาม
“ถ้าเช่นนั้นขอเรียนถามพี่ฉิน หากว่าพวกเราร่วมมือกับภูเขาขดมังกรของพวกเจ้ามีเงื่อนไขอันใด?”
กู้ชิงโตวถามอีกครั้ง
“ตั้งเงื่อนไขไม่ใช่จุดประสงค์ดั้งเดิมของฉินผู้นี้”
สีหน้าของฉินต่งซวีแลดูเคร่งเครียดขึ้นมา “แต่ว่า หากทุกท่านต้องการจะออกเดินทางพร้อมกับฉินผู้นี้ จะต้องรับปากเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องใด?”
ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าอยากรู้ออกมา
ฉินต่งซวีกวาดตามองดูทุก ๆ คน เอ่ยออกมาสามคำเบา ๆ “ฆ่าซูอี้!”
รอบด้านเงียบสงบ
ซูอี้!
และในเวลานี้เอง พวกเขาจึงเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดฉินต่งซวีจึงเอาแผนที่ลับฉบับนั้นออกมา หัวใจสำคัญคือต้องการร่วมมือกับบุคคลผู้เก่งกาจจัดการซูอี้!
สายตาของฮวาซิ่นเฟิงส่อประกายประหลาดออกมาเล็กน้อย
จากข้อมูลที่นางสืบมาได้เมื่อก่อนหน้านี้ บอกว่าในงานเลี้ยงคืนนี้ฉินต่งซวีจะประกาศเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการลงมือจัดการกับซูอี้!
เช่นนี้… จะบังเอิญเกินไปเสียแล้ว
ซูอี้นั่งอยู่ตรงนั้น ดื่มสุราของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบอันใดแม้แต่น้อย
“ซูอี้ก็จะไปทะเลวิญญาณโกลาหลด้วยเช่นนั้นหรือ?”
มีคนถามขึ้นมา
“ไม่ผิด”
ฉินต่งซวีกล่าว “ตามข้อมูลที่ฉินผู้นี้ได้รับมา เมื่อสองวันก่อน คน ๆ นี้ได้ออกจากตำหนักเทียนหยวนแห่งอาณาจักรต้าโจวแล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เขาน่าจะมาถึงอาณาจักรต้าฉินแล้ว และเป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่ในเมืองตงฝูแล้วก็เป็นได้”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุก ๆ คนก็แตกตื่นกันอีก
“เรื่องต่อกรกับซูอี้ วัดเสวียนเยว่ของพวกเราไม่มีทางนิ่งเฉยเป็นแน่”
กู้ชิงโตวกล่าวน้ำเสียงจริงจัง แรงอาฆาตในสายตาส่อประกาย
เช่นนี้เป็นการแสดงท่าทีของวัดเสวียนเยว่ว่าต้องการจะร่วมมือกับฉินต่งซวีกำจัดซูอี้!
“ซูอี้ฆ่าคนของวัดซ่างหลินไปไม่รู้เท่าไร กระทั่งผู้อาวุโสจี้เหอก็ยังต้องตายด้วยฝีมือของเขา หากว่าเขากล้าปรากฏตัว วัดซ่างหลินจะไม่เพิกเฉยอย่างเด็ดขาด”
ข้างกายเฉินเจิน หลวงจีนวัยกลางคนหน้าตาดุดันแสดงความต้องการจะฆ่าซูอี้
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในงานส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันดังยิ่งขึ้น
“พี่ฉิน นับรวมข้าด้วย”
โหยวฉางคงผู้สุภาพสุขุมมีกิริยามารยาทเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าขอบอกทุกท่านในที่นี่ตามตรงเช่นกัน การมางานในครั้งนี้ ข้าโหยวฉางคงไม่ได้มาเพื่อแสวงโชคลาภ แต่มาเพื่อตัดหัวของซูอี้โดยเฉพาะ”
ถึงตอนนี้ มีวัดเสวียนเยว่ วัดซ่างหลิน ตระกูลโหยว สามมหาขุมกำลังใหญ่แสดงท่าทีพร้อมเพรียงกันว่าจะร่วมมือจัดการกับซูอี้!
เป็นภาพเหตุการณ์ที่น่ากลัวอย่างมาก!
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินต่งซวียิ่งเด่นชัดมากขึ้น พลางกล่าว “ใช่แล้ว ฉินผู้นี้ลืมกล่าวไปเรื่องหนึ่ง ครั้งนี้เนี่ยสิงคงสหายเต๋าเนี่ย เจ้าสำนักดาบมังกรเร้นแห่งอาณาจักรต้าโจวก็จะร่วมมือกับพวกเราด้วยเช่นกัน”
ทุกคนในงานส่งเสียงร้องตะลึง ต่างก็เบนสายตามองไปที่เนี่ยสิงคง เจ้าสำนักท่านนี้นั่งข้างกายเฉิงเจิน สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าเขาเคยติดต่อกับฉินต่งซวีมาก่อน
“เชอะ ผู้สิงสถิตต้องการจะแก้แค้นแทนฉือเฟิงหลิวเช่นนั้นหรือ?”
ฮวาซิ่นเฟิงเลิกคิ้ว
“เขาทำเช่นนี้เท่ากับหาที่ตาย” ซูอี้ดื่มสุราไปจอกหนึ่ง
ในช่วงเวลาลำดับถัดมา มีผู้ฝึกตนของอาณาจักรต้าฉินเริ่มทยอยแสดงท่าทียินดีจะร่วมมือกับฉินต่งซวี
ดังเช่นลิ่นอวี๋เปยหัวหน้าจวนดาบหงเหลียน รวมถึงคนบางกลุ่มที่ซูอี้ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ
“ยังมีสหายเต๋าท่านใดที่ยินดีจะร่วมมืออีก?”
ขณะที่ฉินต่งซวีเอ่ยถาม สายตาของเขาสอดส่องไปที่สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน
ในสามมหาขุมกำลังผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าฉิน มีสองคนที่แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว เหลือแต่เพียงสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเท่านั้น
อาจารย์อวิ๋นหลางไม่ได้เอ่ยพูดความ ทว่าหลานซัวกลับตอบออกมา “พวกเราไม่สนใจที่จะให้ความร่วมมือ”
พอกล่าวเช่นนี้ออกมา ทุกคนในงานต่างก็นิ่งตะลึง
ฉินต่งซวีขมวดคิ้ว
กู้ชิงโตว เฉิงเจิน กับโหยวฉางคงที่อยู่ห่างออกไปต่างก็เบนสายตามองมา
เวลานี้ เรื่องที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น…
ซางลั่วอวี่ขมวดคิ้วดกเข้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อาจารย์อาหลานซัว ข้าได้ยินว่าตอนอยู่ที่อาณาจักรต้าโจว ซูอี้เคยช่วยชีวิตอาจารย์อาไว้ หรือเป็นเพราะสาเหตุนี้ อาจารย์อาจึงได้ปฏิเสธ?”
บรรยากาศในงานดูไม่ชอบมาพากลขึ้นมา
หลานซัวเป็นศิษย์สายตรงของอาจารย์อวิ๋นหลาง ส่วนซางลั่วอวี่เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน ทั้งสองจึงนับเป็นคนต่างรุ่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ซางลั่วอวี่จึงเรียกหลานซัวว่าอาจารย์อา
ทว่าคำพูดของซางลั่วอวี่กลับไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีความหมายอย่างอื่น!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าซูอี้เคยช่วยชีวิตหลานซัวไว้ ทำให้สายตาคนทั้งหลายมองดูหลานซัวด้วยสายตาที่เย็นชา
หลานซัวสามารถรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงในงานได้อย่างฉับไว แต่นางกลับกล่าวน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่สนใจใยดี “ซางลั่วอวี่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ซางลั่วอวี่ส่ายหน้าพลางกล่าว “ในเมื่อข้าคิดมากเกินไป ท่าทีของอาจารย์อาเพียงคนเดียว ไม่อาจเป็นตัวแทนในการแสดงท่าทีของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนทั้งสำนักได้”
พูดจบ นางก็เบนสายตามองไปที่ฉินต่งซวี แล้วกล่าวคำ “ผู้อาวุโส หากว่าท่านยินดีให้ข้าได้ชมแผนที่ลับฉบับนั้นสักครั้ง ข้าสามารถรับปากได้ว่าจะร่วมจัดการซูอี้ด้วย!”
ฉินต่งซวียิ้มพลางกล่าว “เรื่องนี้แน่นอน”
ความโกรธผุดขึ้นบนใบหน้าของหลานซัว “ซางลั่วอวี่ เมื่อก่อนนี้เจ้าคอยหาเรื่องข้าอยู่ตลอด ข้าคร้านจะถือสาเอาความเจ้า แต่ตอนนี้มันเป็นเวลาไหนกันแล้ว เจ้ายังจะทำตัวเหลวไหลเช่นนี้อีก ไม่กลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตัวเองหรอกหรือ?”
ซางลั่วอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “อาจารย์อา หรือว่าในสายตาของเจ้า พวกเราที่ต้องการจะร่วมมือกับผู้อาวุโสฉินเพื่อจัดการกับซูอี้ล้วนทำตัวเหลวไหลเช่นนั้นหรือ? ถึงขั้นหาเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง เจ้าไม่คิดว่าพูดเช่นนี้มันน่าขันเสียเหลือเกิน?”
เห็นผู้หญิงสองคนทะเลาะเบาะแว้งกันเอง อาจารย์อวิ๋นหลางอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ร้องตวาด “พอได้แล้ว พวกเจ้าสองคนอย่าได้ทะเลาะกันอีก”
เขาเบนสายตามองไปที่ฉินต่งซวี แล้วจึงกล่าว “เรื่องนี้ ข้ากับหลานซัวไม่เกี่ยวข้องด้วย นี่คือท่าทีของข้าฝูอวิ๋นหลาง! เวลานี้สายมากแล้ว ฝูผู้นี้ขอตัวลาไปก่อน”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นและพาหลานซัวออกไป
ส่วนซางลั่วอวี่ถูกเขามองข้ามไปดื้อ ๆ
สีหน้าของซางลั่วอวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวเพราะทนไม่ไหว “อาจารย์ลุง ท่านทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับต้องการเป็นศัตรูกับทุกคนในที่นี้หรอกหรือ?”
กล่าวเช่นนี้ไม่เคารพกันเลยแม้แต่น้อย!