บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 37 อยากเรียนงั้นหรือ ข้าสอนได้
ตอนที่ 37 อยากเรียนงั้นหรือ? ข้าสอนได้
ในไม่ช้า เหล่าช่างในโรงตีอาวุธที่ถูกเรียกก็ทยอยกันเข้ามา
เมื่อรู้นอกรู้ในของเหตุการณ์แล้ว พวกคนงานก็อดส่ายหน้าและหัวเราะไม่ได้ ประหนึ่งได้พบเห็นเรื่องราวขบขัน
ไม่มีผู้ใดคิดจริงจัง
ก็แค่ไอ้หนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้ทราบวิธีตีดาบมาบ้าง มีหรือจะมากพอที่จะพังป้ายโรงตีอาวุธแห่งนี้?
มีคนไปเกลี้ยกล่อมหวังเทียนหยางโดยกล่าวว่า “ผู้เฒ่าหวัง โปรดระงับลงเถิด คนหนุ่มนั้นไม่รู้จักคิด เหตุใดท่านต้องถือจริงจังด้วยกัน? ด้วยความสามารถของท่าน หากมัวแต่สนใจเรื่องพวกนี้ ท่านจะเสียภาพลักษณ์เอาได้”
หวังเทียนหยางกล่าวอย่างโกรธเคือง “เสียภาพลักษณ์ผายลมอันใด! ตัวข้ากิน ดื่ม เที่ยวซ่อง รวมทั้งพนันตั้งแต่ยังเด็ก ยังจะมาพูดถึงภาพลักษณ์อะไรอีก? ทั้งหมดคือตัวข้าจริง!”
เขาเดินมาตรงหน้าเตาพร้อมหยิบคีมขึ้น ขณะกำลังใส่ถ่านในกองไฟ เขาเอ่ยพูดด้วยเสียงดังลั่น “ไอ้หนูซูผู้นี้คิดมาพังป้ายโรงตีอาวุธของข้า ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเป็นไร!”
บรรดาช่างตีอาวุธทุกคนหัวเราะขื่นขม เพราะทราบดีว่าหวังเทียนหยางดื้อรั้นเป็นปกติ
“เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเจ้าเป็นเพื่อนของคุณชายหวง หากเจ้าอยากจะตีดาบ ข้าก็ช่วยได้ เหตุใดจึงไปรบกวนผู้เฒ่าหวังกัน?”
มีคนเตือนซูอี้ด้วยความหวังดี “กล่าวขออภัยต่อผู้เฒ่าหวัง ให้เรื่องราวแล้วกันไปเสีย”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพื่อตีดาบ หาได้ต้องการมาเพื่อกระตุ้นโทสะผู้คนไม่ แต่หากใครจะคิดเป็นอย่างอื่นข้าก็ช่วยไม่ได้”
สิ้นคำกล่าว เขาหยุดยืนหน้าเตาไฟ
มีโต๊ะทองแดงขนาดใหญ่อยู่โต๊ะหนึ่ง และมีเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับตีดาบมากมายวางอยู่ด้านบน
“พวกเจ้าวางวัสดุตีดาบพวกนั้นไว้ที่นี่เสีย”
ซูอี้มองกลุ่มคนรับใช้ก่อนจะสั่งการ
พบเห็นเช่นนี้ บรรดาช่างฝีมือต่างขมวดคิ้วไปครู่หนึ่ง กลายเป็นพวกเขาไม่พอใจ คนหนุ่มผู้นี้เหตุใดไม่รู้ความถึงเพียงนี้ได้?
เพราะเห็นแก่หน้าหวงเฉียนจวิน พวกเขาจึงไม่พูดว่าร้ายต่อหน้า หากไม่เช่นนั้นซูอี้คงถูกด่าทอไปเสียนานแล้ว
ช่างตีดาบผู้หนึ่งมองที่หวงเฉียนจวินก่อนบ่นใส่ “คุณชายหวง สหายท่านผู้นี้เป็นใครกัน อายุแค่นี้ แต่นิสัยคล้ายไม่ใช่!”
หวงเฉียนจวินที่กำลังกังวลกับตนเอง ขณะนี้ได้ยินจึงกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “หยุดวาจาไร้สาระของเจ้าไปเสีย พี่ซูของข้าจะทำได้หรือไม่ได้ เดี๋ยวพวกเจ้าจงเบิกตารับชมเอาเอง อย่ากวนใจข้าและพี่ซูในเวลานี้!”
กลุ่มช่างฝีมือไม่กล้าเอ่ยอะไรต่ออีก ทำได้เพียงมองซูอี้ด้วยความไม่พอใจที่มากยิ่งขึ้น
“ในเมื่อคุณชายหวงว่าอย่างนั้น พวกเราจะรอรับชมฝีมือสหายของท่านให้เป็นขวัญตา!”
เสียงฮึมฮัมดังตอบ
ผู้อื่นต่างคิดว่ามีเรื่องสนุกให้รับชม ทั้งยังคาดหวังจะได้เห็นซูอี้ทำพลาด
เมื่อคนรับใช้วางวัสดุหลอมดาบอย่างแล้วอย่างเล่าลงไป ซูอี้จึงเริ่มลงมือ
เรื่องอย่างการหลอมตีดาบยาวธรรมดาเล่มหนึ่งนั้น สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องยาก
ขั้นแรกคือนำวัสดุเจ็ดชนิดใส่ลงในเตาเผาทีละอย่าง ก่อนจะกล่าวสั่งหวังเทียนหยาง
“เร่งไฟขึ้น ข้าบอกหยุดเมื่อใดคือหยุด”
ผู้คนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มผู้นี้หยาบคาย กล้าเอ่ยคำสั่งต่อผู้เฒ่าหวังจริง!
แก้มของหวังเทียนหยางกระตุกอย่างรุนแรง เขาข่มความโกรธที่ผุดอยู่ในใจตัวเอง และคอยเพิ่มถ่านต่อไปเพื่อเพิ่มความร้อน
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป
ซูอี้โรยผงทองแดงตะวันสีชาดจำนวนหนึ่งเข้าไปในเบ้าหลอม ก่อนกล่าวย้ำอีกครั้ง “เร่งไฟอีก”
หวังเทียนหยางทำหน้าบึ้งตึง ไม่พูดไม่จาและทำตามที่เขาสั่ง
ในใจเขามีโทสะคุกรุ่น พร้อมคิดระบายใส่ซูอี้หากพบเห็นการตีดาบผิดพลาด
ถัดจากนั้น ซูอี้ใส่วัสดุหลอมดาบลงไปอย่างแล้วอย่างเล่า สั่งหวังเทียนหยางคุมไฟ ราวกับอีกฝ่ายเป็นลูกมือคุมไฟที่ต่ำต้อยกว่า
พบเห็นเช่นนี้ บรรดาช่างตีเหล็กยิ่งไม่สบายใจ พวกเขาต่างมองว่าซูอี้ไร้ซึ่งความนอบน้อม กระทั่งอหังการ
แต่หวงเฉียนจวินกลับคาดหวังอยู่ภายใน
เมื่อได้เห็นซูอี้ที่ตีดาบอย่างสงบนิ่ง เขาก็ยิ่งมีความมั่นใจเปี่ยมล้น!
‘อย่างเลวร้ายที่สุด ดาบที่พี่ซูตีขึ้นอาจไม่ดีเทียบผู้เฒ่าหวัง ทว่าตราบเท่าที่ทำเสร็จ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเสียหน้า นั่นถือว่ามากพอแล้ว’
เมื่อคิดดังนี้ หวงเฉียนจวินรู้สึกผ่อนคลายลง
“เร่งไฟขึ้นอีก”
“ไม่พอ ทำต่อไป”
“แรงกว่านี้”
…ยิ่งเวลาผ่านไป ก็มีเพียงเสียงของซูอี้ที่พูดสั่งหวังเทียนหยางให้คุมไฟต่อไป
ใบหน้าของหวังเทียนหยางยิ่งดูน่าเกลียดมากขึ้น ลมหายใจออกจมูกรุนแรง ศีรษะที่เกือบจะล้านเลี่ยนปรากฏควันสีขาว ราวกำลังเดือดดาลถึงขีดสุด
หวงเฉียนจวินและกลุ่มช่างตีดาบ ต่างมองด้วยสายตาแตกต่างกันไป
กระทั่งหนึ่งในสี่ชั่วยามต่อมา เปลวไฟในเตาเผาก็ม้วนตัว ความร้อนแรงกระจายทั้งโรงตีอาวุธ ทำให้ผู้คนรู้สึกราวอยู่ในที่ที่มีแต่หินเหลวจากภูเขาไฟ
เหงื่อทุกคนไหลหลั่ง เสื้อผ้าเปียกชุ่ม
บนหน้าผากของหวังเทียนหยางที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้น เหงื่อของเขาไหลราวกับสายน้ำ และแก้มคล้ำกลายเป็นสีแดง
ยอดช่างตีดาบเช่นเขายังรู้สึกว่ายากทานทนกับความร้อนระดับนี้
ในขณะเดียวกันนี้ ซูอี้ก็หยิบแหวนมังกรซึ่งมีส่วนผสมของทองคำสีชาดลายม่วงออกมา ก่อนจะโยนมันลงไปในเตาหลอม
ฟู่!
เปลวไฟพุ่งออกมา ส่องแสงสว่างจ้า
ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า คือแหวนกำลังละลายไปทีละน้อย จนกลายเป็นของเหลวใสสีม่วง
ซูอี้เทน้ำแข็งลึกล้ำกลั่นที่เตรียมไว้ห้าจินลงไปโดยไม่ลังเล
เมื่อน้ำเย็นมาปะทะกับเบ้าหลอมที่ร้อนระอุ ไอน้ำสีขาวพวยพุ่งออกมาจนเต็มทั่วทั้งโรงตีอาวุธในทันที
สายตาของทุกคนพร่ามัวไป และถอยห่างออกอย่างไม่รู้ตัว เพราะเกรงว่าจะสัมผัสถูกไอน้ำที่ร้อนจนไม่อาจประเมิน
กระทั่งผ่านไปครึ่งทาง เสียงเกรี้ยวกราดของหวังเทียนหยางก็ดังออกจากไอน้ำนั้น
“ขณะตีและขัดเกลาดาบ เจ้ากล้าเทน้ำแข็งลึกล้ำกลั่นลงในเบ้าหลอมได้อย่างไร! ข้าเพิ่งพบเจอเรื่องราวอันเหลวไหลเช่นนี้เป็นครั้งแรก!”
ในถ้อยคำแฝงความเหยียดหยาม ความโกรธ และความสงสัย
บรรดาช่างตีดาบผู้อื่นต่างพูดไม่ออก
พวกเขาฝึกตีดาบมาหลายปี และไม่เคยเห็นผู้ใดกระทำเช่นซูอี้มาก่อน มันดูไม่เข้าท่าอย่างเห็นได้ชัด!
ไม่นานคลื่นความร้อนและไอน้ำในห้องก็ค่อยจางหาย
ผู้คนได้การมองเห็นกลับคืน
คิ้วและหนวดเคราของหวังเทียนหยางมีรอยไหม้ ส่วนผมบางเลือนหาย ทั้งศีรษะล้านเลี่ยน ประหนึ่งไข่ต้มใบหนึ่ง
เขากำลังโกรธจัด ฟันกัดแน่น
ขณะที่ซูอี้มีท่าทีราบเรียบและสงบนิ่ง ในมือถือคีมเหล็กอันหนึ่งพร้อมต้นแบบดาบหยาบ ๆ ที่อยู่ตรงหน้า สายตากำลังพิจารณาถี่ถ้วน
ต้นแบบดาบทั้งเล่มมีสีเข้ม มีประกายแวววาวสีม่วงจาง นอกเหนือจากนั้น ก็ไม่มีใดพิเศษ
“ต้นแบบดาบนี่ดูดีเลยทีเดียว…”
ช่างตีเหล็กคนหนึ่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ
อีกคนหนึ่งกล่าว “ก็แค่ต้นแบบดาบ ที่เหลือขึ้นอยู่กับว่าจะทนการตีขึ้นรูปให้สมบูรณ์ได้หรือไม่ ข้าไม่คิดเชื่อว่าดาบที่ดีจะมาจากต้นแบบหยาบกร้านเช่นนี้”
“เอาน่า ในเมื่อสหายน้อยผู้นี้หลอมต้นแบบดาบขึ้นมาได้ เขาก็น่าจะขัดเกลาขึ้นรูปให้มันพอจะเป็นดาบที่มีคมได้!”
บางคนเลือกเย้ยหยัน ราวกับต้องการโหมไฟ
‘เจ้าพวกนี้ ตั้งใจพูดเย้ยหยันอย่างเห็นชัด!’
หวงเฉียนจวินนึกเหยียดหยามภายใน เขาไม่พูดอะไร รวมถึงไม่ทราบด้วยว่าผู้ใดสุดท้ายแล้วจะหัวเราะกันแน่
ซูอี้วางต้นแบบดาบบนทั่งเหล็กแข็ง ค้อนยักษ์ปรากฏในมือขวา พร้อมฟาดหวดมันลง
ตึง!
สะเก็ดไฟปลิวว่อน แรงสะเทือนปรากฏต่อเนื่อง
แก้วหูกลุ่มคนอื้ออึงไปครู่ สีหน้าแสดงถึงความแปลกใจ หนุ่มน้อยร่างผอมบางกลับมีพละกำลังมหาศาล ค้อนขนาดใหญ่หนักราวร้อยจินในมือนั้น ถูกใช้ราวกับเบาดุจขนนกแถมยังคล่องแคล่วช่ำชอง
ในตอนนี้ สายตาของหวังเทียนหยางจับจ้องการกระทำของซูอี้ โดยหวังให้ซูอี้ทำพลาด…
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงเหล็กกระทบดังต่อเนื่อง กังวานทั่วทั้งห้อง สะเก็ดกระเด็นแตกราวกับดอกไม้เพลิงอยู่ใต้ค้อนยักษ์นั้น เป็นภาพอันงดงาม
ขณะนี้เอง ที่หลายคนพบเห็นสิ่งผิดปกติ
“นี่มันเคล็ดวิธีตีดาบอะไรกัน ทำไมเสียงลงค้อนถึงเป็นจังหวะที่คล้ายกับการหายใจ?”
ไม่ช้า หนึ่งในผู้มีฝีมือตีดาบเอ่ยคำขึ้น
ผู้อื่นต่างประหลาดใจไม่น้อย ขณะนี้ได้ตระหนักถึงสถานการณ์อันชัดเจน
ในสะเก็ดไฟนั้น มีท่วงทำนองจังหวะอันลึกลับและยากอธิบายในการทุบแต่ละครั้ง และในการทุบอย่างต่อเนื่อง ต้นแบบดาบจะหดลง แข็งขึ้น ยืดหยุ่นขึ้นและเปลี่ยนไปอย่างเงียบงัน
‘หรือเจ้าหนุ่มนี่จะมีวิธีตีดาบลับเฉพาะอยู่จริง?’
ความคิดเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นในใจช่างตีดาบคนอื่นเช่นกัน ท่าทีพวกเขากลับกลายเป็นจริงจังขึ้นมา
คราแรก พวกเขานึกรำคาญต่อความอหังการของซูอี้ คำพูดหลากหลายตระเตรียมเอาไว้ พวกเขาตั้งใจจะสอนบทเรียนแก่ซูอี้ทันทีที่ตีดาบผิดพลาด ให้เขาได้ทราบว่าความเชี่ยวชาญหมายถึงอะไรและเป็นอย่างไร เพื่อเป็นราคาของการโอ้อวดเกินตัว
ทว่าตอนนี้…
ไม่มีผู้ใดกล้าคิดเช่นนั้น
ในฐานะผู้อาวุโสที่ตีดาบมาหลายปี พวกเขาจะไม่เห็นได้อย่างไร ว่าวิธีการตีดาบของซูอี้นั้นดูแปลก และเห็นความต่างได้อย่างชัดเจน?
“รับชม รับชมเสีย!”
หวงเฉียนจวินตื่นเต้นขนาดตะโกนออกมา “ข้าทราบอยู่แล้ว ตราบที่พี่ซูลงมือ ย่อมสะกดเหล่าสายตาเฒ่าชราที่มองอย่างนึกว่าเหนือกว่าได้”
ผู้คนของสำนักแพทย์ซิ่งหวงต่างก็ได้รับบทเรียนกันไปแล้ว!
หวงเฉียนจวินไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาจึงมองไปยังหวังเทียนหยาง
กระนั้นแล้ว เขากลับได้เห็นช่างตีดาบหัวโล้นผู้หยิ่งผยองเสมอขณะนี้ยืนค้างประหนึ่งรูปปั้นทองแดง สายตามองยังการเคลื่อนไหวตัวของซูอี้ ใบหน้าคล้ำเผยความผันแปร ราวกับไม่อาจสงบใจได้อีก
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์เขากำลังถูกเร่งเร้า!
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้เฒ่าหวังจอมเกรี้ยวกราดยังต้องตกตะลึงเลยงั้นหรือ?”
หวงเฉียนจวินนึกยินดี กระทั่งหัวเราะเสียงดังออกมา
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นหวังเทียนหยางนิ่งค้างเช่นนี้มาก่อน!
ชายชราผู้นี้ยโสโอหังเป็นที่หนึ่ง ขนาดไม่ให้ความสำคัญแม้แต่หวงอวิ๋นชงผู้เป็นบิดาของตัวเขา กระนั้นบัดนี้กลับถูกพี่ซูของเขากำราบเข้าเสียแล้ว!
ผ่านไปเนิ่นนาน
ชิ้ง!
เสียงดาบดังขึ้นในห้อง
เสียงที่ได้ยินในหูทุกคนนั้น เป็นเสียงคมบาดที่สามารถทำให้สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว และตื่นจากจิตที่ฟุ้งซ่าน
แม้แต่จิตใจและดวงตาของหวงเฉียนจวิน ก็ถูกดึงดูดไปด้วย
สิ่งที่ได้เห็น
ใบดาบยาวสองฉื่อกับเจ็ดชุ่น*[1] กว้างสามช่วงนิ้ว เป็นดาบยาวสีดำชัดเจน บัดนี้มันถูกถือไว้ในมือของซูอี้
แม้ดาบเล่มนี้จะเป็นสีดำ แต่พื้นผิวของมันกลับสะท้อนแสงมันวาวราวกับยามราตรีที่มีจันทร์เต็มดวง
ขณะที่ข้อมือของซูอี้ขยับหมุน พื้นผิวดาบที่ดำประหนึ่งน้ำหมึกพลันส่องประกายสีม่วงอ่อนจางเป็นครั้งคราว ดูมีนัยยะบางอย่าง
มันดูราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของตน
“นี่มัน…”
กลุ่มช่างตีดาบเผยท่าทีหวาดหวั่น สีหน้าพวกเขาลุ่มหลงและร้อนแรง มันคือดาบอันเลิศล้ำที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ!
พบเห็นดาบ ความยโสที่พวกเขาเคยมีกลายเป็นถูกสยบ
“ดาบทั่วไปเปรียบได้กับเศษฝุ่นหากเทียบกับดาบเล่มนี้!”
ใจของหวงเฉียนจวินเต้นแรง เมื่อสายตาของเขามองไปยังดาบนี้ ความรู้สึกราวกับถูกบาดแทง ดาบที่ปล่อยกลิ่นอายคมกล้ารุนแรงได้ขนาดนี้มีหรือเขาจะไม่ทราบถึงความพิเศษของมัน?
เชร้งง!
ชั่วพริบตา ซูอี้เคาะนิ้วเบาหนึ่งครั้ง ตัวดาบเผยประกายแสงสีม่วงเจิดจ้า เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าร้อง พลันดังเลือนลั่นทั้งห้อง
พบเห็นเช่นนี้ ซูอี้พยักหน้ารับ บ่งบอกชัดถึงความพอใจ
แม้ดาบเล่มนี้ไม่ใช่อาวุธวิญญาณ กระนั้นกลับสามารถแผดสีประกายม่วงขึ้นมา ตัวดาบยังปรากฏร่องรอยพลังวิญญาณ เป็นผลให้ดาบเล่มนี้เหนือล้ำกว่าดาบทั่วไป อยู่ในจุดขั้นกลางระหว่างอาวุธธรรมดาและอาวุธวิญญาณ
“เจ้า…เจ้าใช้วิธีตีดาบอะไรกัน!?”
ในตอนนี้ หวังเทียนหยางที่เงียบมานานตัดสินใจเอ่ยคำขึ้น ดวงตาเขาดูมึนงงและสับสนเล็กน้อย ราวกับพบเจอเรื่องที่ชวนตกใจจนเกินควร
ซูอี้มองอีกฝ่าย “อยากเรียนงั้นหรือ? ข้าสอนได้”
หวังเทียนหยางตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง ราวกับไม่เชื่อหูตนเอง
จากนั้นสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปมาก
จนในท้ายที่สุด
ภายใต้สายตาที่กำลังตกตะลึงของทุกคนนั้น ช่างตีดาบชื่อดังแห่งเมืองกว่างหลิง ก็แสดงท่าทีอันชวนอับอายของผู้เฒ่าชราออกมา
เขาคุกเข่าลง และก้มหัวคำนับ
“วิธีการของคุณชายปราดเปรื่อง หวังผู้นี้ขอคารวะ!”
“จิตใจของคุณชายงดงามไม่แพ้กัน ทั้งยังเปิดใจกว้าง หวังผู้นี้คำนับอีกครั้ง!”
หลังเสียงดังกล่าวตอบ ทั้งห้องกลายเป็นเงียบงัน
[1] หนึ่งฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว หนึ่งชุ่นเท่ากับ 1 นิ้ว