บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 370 พี่ชายของข้ากับซูอี้ฝีมือพอกัน
ตอนที่ 370: พี่ชายของข้ากับซูอี้ฝีมือพอกัน
ตอนที่ 370: พี่ชายของข้ากับซูอี้ฝีมือพอกัน
ผู้ชมรอบด้านต่างเงียบสงัด
คำพูดของซางลั่วอวี่สร้างความประหลาดใจให้กับคนสำคัญทั้งหมดที่นี่
เพราะถึงแม้ว่าซางลั่วอวี่จะเรียกว่าตำนานของรุ่นเยาว์ แต่อย่างไรเสียนางก็ยังคงเป็นเพียงรุ่นเยาว์ของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน คำพูดของนางไร้ความเคารพสิ้นดี!
อาจารย์อวิ๋นหลางยืนนิ่ง พลางจ้องไปที่ซางลั่วอวี่อย่างเย็นชา ก่อนกล่าว “ยัยหนู หลังได้รับการยอมรับจากดาบโบราณเทียนเซี่ย เจ้าก็ยิ่งล้ำเส้นมากขึ้นเรื่อย ๆ นะ!”
ในคำพูดแฝงไปด้วยโทสะและการคุกคาม
ซางลั่วอวี่สูดลมหายใจเข้าก่อนยืนขึ้น “ศิษย์เป็นคนเปิดเผย ล่วงเกินอาจารย์ลุงเข้าแล้ว หวังว่าอาจารย์ลุงจะไม่ถือสา”
หลังจากชะงักไป นางก็เงยหน้ามองอวิ๋นหลาง “ทว่าศิษย์ได้ยินเรื่องหนึ่งมา หวังว่าอาจารย์ลุงจะช่วยชี้แนะ”
อาจารย์อวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสะกดกลั้นความโกรธก่อนกล่าว “ว่ามา”
เสียงของซางลั่วอวี่เย็นชาขณะกล่าวอย่างจริงจัง “ตอนแรกอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาหลานซัวไปยังนครอวี้จิงแห่งต้าโจวพร้อมกัน แล้วพวกท่านยังแวะไปเยี่ยมเยี่ยนซูอี้ด้วย ศิษย์ขอถามว่าระหว่างพวกท่านกับซูอี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไรหรือ?”
หินลูกหนึ่งก่อให้เกิดคลื่นนับพัน!
ดวงตาของผู้ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ต่างหรี่ลง
สีหน้าของฉินต่งซวีมืดหม่น น้ำเสียงของเขาไม่ดีนัก “พี่ฝู มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?”
มันมีร่องรอยกังขาในดวงตาของอาจารย์อวิ๋นหลาง เรื่องลับสุดขีดเช่นนั้น แต่รุ่นเยาว์อย่างซางลั่วอวี่กลับรู้ทั้งหมด ทำให้เขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง อาจารย์อวิ๋นหลางก็กล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “ใช่แล้ว ซูอี้เคยช่วยชีวิตศิษย์ข้าหลานซัวไว้ ข้าจึงไปพบเพื่อแสดงความซาบซึ้งใจด้วยตนเอง”
พูดแล้ว เขามองไปที่ซางลั่วอวี่อย่างเย็นชาก่อนเอ่ย “เจ้าพอใจกับคำตอบนี้หรือไม่?”
ซางลั่วอวี่เหลือบคนอื่น ๆ ในที่นี้แล้วเอ่ย “อาจารย์ลุง คำตอบของท่านจะให้สหายที่อยู่ที่นี่คิดอย่างไรกัน?”
ฉินต่งซวี เฉิงเจิน กู้ชิงโตว และโหยวฉางคง ทั้งหมดต่างขมวดคิ้ว ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่ต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไป
“เฮอะ คิดใช้ผู้อื่นมากดดันข้ารึ?”
อาจารย์อวิ๋นหลางมองดูฉินต่งซวีและคนอื่น ๆ ก่อนกล่าว “ชายชราผู้นี้ก็อยากทราบว่าพวกท่านคิดเห็นเช่นไร?”
เขายืนอยู่ที่นั่นแล้วมองไปรอบ ๆ ซึ่งทุกคนต่างสัมผัสได้ว่าผู้เป็นเลิศในวิถีดาบที่มีชื่อเสียงของต้าฉินมีโทสะขึ้นมาแล้วจริง ๆ
“สหายเต๋าใจเย็น ๆ ก่อน”
ฉินต่งซวีหัวเราะแล้วกล่าว “พี่ฝูไม่ต้องการร่วมมือกับข้าก็เข้าใจได้ แต่ฉินผู้นี้ขอแนะนำให้สหายเต๋าว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องในทะเลวิญญาณโกลาหลอีกจะดีกว่า”
พลังการต่อสู้ของอาจารย์อวิ๋นหลางนั้นน่าตื่นตะลึง ทั้งเขายังมีสถานะสูงส่งในสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนด้วย หากไม่จำเป็นฉินต่งซวีจะไม่ล่วงเกินเขาโดยง่าย
“โอกาสของหอเซียนดาบเป็นของทุุกคน เหตุใดข้าจะร่วมด้วยไม่ได้?”
อาจารย์อวิ๋นหลางโพล่งอย่างเย็นชา
ฉินต่งซวีขมวดคิ้ว สีหน้าของเขามืดมน
กู้ชิงโตวจากวัดเสวียนเยว่แค่นเสียงเย็นก่อนกล่าว “ฝูอวิ๋นหลาง แน่นอนว่าเจ้าเข้าร่วมได้ แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้ากับซูอี้ลอบร่วมมือกันเสียล่ะ ไม่เช่นนั้นผู้คนที่นี่จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ในคำพูดแฝงไว้ด้วยคำเตือน
“งั้นรึ มารอดูกันต่อไป”
จากนั้นอาจารย์อวิ๋นหลางก็ไม่สนใจอยู่ต่ออีก เขาจากไปพร้อมหลานซัว
มองดูร่างพวกเขาจากไป คนใหญ่คนโตในที่นี้ต่างขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครกล่าวคำใด
ความจริงปฏิบัติการที่ทะเลวิญญาณโกลาหลยังไม่ได้เริ่มขึ้นทันที มันเป็นเรื่องไม่ฉลาดที่จะฉีกหน้ากับอาจารย์อวิ๋นหลางตั้งแต่ตอนนี้
“ไม่นึกว่าอาจารย์อวิ๋นหลางกับหลานซัวจะค่อนข้างน่าสนใจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขากลับเลือกล่วงเกินตาเฒ่าที่นี่แทนที่เป็นศัตรูกับท่าน ช่างหาได้ยากนัก”
เห็นเช่นนี้แล้วฮวาซิ่นเฟิงก็อดถอนใจอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่ได้
ซูอี้ดื่มไปสุราลงคอ ก่อนกล่าว “พวกเราเองก็ไปกัน งานเลี้ยงเช่นนี้น่าเบื่อเกินไป”
ผู้คนที่อยู่ที่นี่อาจเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงของต้าฉิน ซึ่งแต่ละคนล้วนสูงส่งและมีเกียรติ
แต่ในสายตาของซูอี้ พวกเขาไม่ใช่มากไปกว่ากลุ่มผู้ฝึกขั้นวิถีต้นกำเนิดตัวน้อย ๆ กระทั่งสิ่งที่พูดคุยในงานเลี้ยงก็ล้วนน่าเบื่อสุดขีด ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เตรียมจะลุกขึ้น แต่กลับถูกหยุดโดยฮวาซิ่นเฟิงซึ่งรีบกล่าวว่า “คุณชายซู ท่านไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะพลาดโอกาสทองไป!”
ซูอี้ชะงักก่อนถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
“คุณชาย ฉินต่งซวีกับคนอื่น ๆ ต้องการร่วมมือกันสำรวจ ขณะเดียวกันก็ถือท่านเป็นศัตรู ในสถานการณ์เช่นนี้เหตุใดพวกเราไม่เข้าร่วมกับพวกเขาเล่า?”
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวด้วยเสียงตื่นเต้นกว่าเดิม “ตราบใดที่ท่านปะปนเข้าไปในกลุ่มของพวกเขา หลังจากไปถึงทะเลวิญญาณโกลาหล ท่านไม่เพียงแต่สามารถใช้งานพวกเขาตามโอกาส แต่เมื่อโอกาสมาถึงท่านสามารถทำให้พวกเขาประหลาดใจได้ด้วย!”
ดวงตาของนางส่องสว่าง “ถึงตอนนั้น โชคลาภในหอเซียนดาบจะเป็นของพวกเรา และสมบัติทั้งหมดของพวกเขาก็จะเป็นของพวกเราเช่นกัน!”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยกนิ้วโป้งขึ้น “ร้ายกาจ”
ฮวาซิ่นเฟิงหัวเราะ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชม”
“เช่นนั้นเจ้าจะเข้าร่วมกับพวกเขาด้วยวิธีใด”
ซูอี้สนใจอย่างยิ่ง
“ดูข้านี่”
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าว ก่อนสูดหายใจเข้าลึกแล้วลุกขึ้น
นางมองไปยังฉินต่งซวีแล้วกล่าว “ผู้อาวุโสฉิน พี่ชายของข้ากับข้าเองก็อยากเข้าร่วมกับท่านเพื่อจัดการเจ้าโจรซูอี้เช่นกัน!”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา สายตาของผู้คนก็มองไปยังฮวาซิ่นเฟิงอย่างสงสัยว่านางเป็นใครกัน?
แม้แต่ฉินต่งซวีเองก็อดตะลึงไปไม่ได้ ก่อนเขาจะถามขึ้น “ขออภัยด้วย แต่สายตาของฉินฝ้าฟาง ขอทราบนามของแม่นาง และไม่ว่าอาจารย์ของแม่นางคือผู้ใดกัน?”
ทุกคนงุนงงกว่าเดิม ระดับของงานเลี้ยงเย็นนี้สูงนัก ซึ่งคนธรรมดาไม่มีโอกาสเข้าร่วมโดยสิ้นเชิง
แต่ฉินต่งซวีที่เป็นเจ้าของงานกลับไม่รู้แม้แต่นามของผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ?
ฉินต่งซวีเองก็รู้สึกอับอายในใจ ครั้งนี้บัตรเชิญถูกจัดการโดยข้ารับใช้เก่าข้างกาย เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ายังมีคนที่ไม่คุ้นหน้าเข้าร่วมด้วย?
ก่อนนี้เขาคิดเพียงว่าฮวาซิ่นเฟิงกับซูอี้เป็นรุ่นเยาว์ที่ผู้อาวุโสพามาร่วมงานเลี้ยงจึงไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
เวลานี้คนรับใช้เก่าแก่รีบมาที่ข้างกายฉินต่งซวีแล้วกล่าวเสียงต่ำ “นายท่าน สตรีนางนั้นถือป้ายตราของใต้เท้าลวี่อวิ๋น ศิษย์คนรองของปราชญ์หลิวฮั่วแห่งสำนักเทียนอิ่น บ่าวเฒ่าตรวจสอบดูแล้ว ป้ายตราไม่ใช่ของปลอมจึงอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาขอรับ”
ม่านตาของฉินต่งซวีหดตัวลง เขาพยักหน้า หัวใจเต้นแรง
ปราชญ์หลิวฮั่ว!
นี่คือตัวตนที่ลึกลับและน่าสะพรึงที่สุดในต้าฉิน ซึ่งมาจากต้าเซี่ย และมีรากฐานบ่มเพาะที่น่าสะพรึงซึ่งเป็นที่สงสัยกันว่าอยู่ในวิถีวิญญาณแล้ว!
ในต้าฉิน ปราชญ์หลิวฮั่วได้รับศิษย์ไว้สามคน ศิษย์คนโตนามสวีอิ่น คนรองลวี่อวิ๋น คนที่สามหรั่นฉงหยาง
ทั้งสามคนต่างเป็นตัวตนระดับสูงในวิถีต้นกำเนิด ซึ่งพรสวรรค์ของพวกเหนือยิ่งกว่าปีศาจ!
ยามนี้ชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่มีป้ายตราของลวี่อวิ๋น ศิษย์คนรองของปราชญ์หลิวฮั่ว แม้แต่ฉินต่งซวีก็ไม่กล้าดูแคลน
ยามนี้ฮวาซิ่นเฟิงยิ้มและเอ่ยขึ้น “รายงานผู้อาวุโส นามของข้าคือโจวเฟิง นี่พี่ชายของข้าโจวอี้ พวกเราสองคนมาจากต้าเซี่ย ซึ่งสมควรแล้วที่ผู้อาวุโสจะไม่รู้ที่มาของพวกเรา”
นางสร้างตัวตนของนางกับซูอี้ขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ซึ่งคำพูดและสีหน้าของนางไม่มีความผิดปกติ ดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
“ต้าเซี่ยรึ!?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงจอแจดังขึ้นในบริเวณ
ทั้งกู้ชิงโตว เฉิงเจิน โหยวฉางคง และคนอื่น ๆ ต่างก็อดมีสีหน้าประหลาดใจไม่ได้
ต้าเซี่ยอยู่ห่างไกลจากต้าฉินนัก มันเป็นอาณาจักรที่เป็นเอกเทศซึ่งตั้งอยู่บนมหาทวีปคังชิง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้ฝึกตนจากต้าเซี่ยมาปรากฏที่ต้าฉินน้อยนัก
ยามนี้ฮวาซิ่นเฟิงแจงฐานะเช่นนั้นออกมาจึงยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจ
มีเพียงฉินต่งซวีที่แสดงสีหน้าโล่งอก ปราชญ์หลิวฮั่วมาจากต้าเซี่ย ในเมื่อชายหญิงคู่นี้มาจากต้าเซี่ยพร้อมป้ายตราของลวี่อวิ๋น ศิษย์ของปราชญ์หลิวฮั่ว มันย่อมสมเหตุสมผล
“แม่นางต้องการร่วมมือกับพวกเราสังหารซูอี้รึ?”
ฉินต่งซวีกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ถูกแล้ว”
ฮวาซิ่นเฟิงเอ่ย “ซูอี้ผู้นี้ได้ล่วงเกินปราชญ์หลิวฮั่ว ในเมื่อพวกเราพี่น้องเจอโอกาสเช่นนี้ย่อมไม่คิดนั่งดูอยู่เฉย ๆ”
ปราชญ์หลิวฮั่ว!
ได้ยินฮวาซิ่นเฟิงกล่าวถึงฉายานามนี้ สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่ในที่นี้ต่างเปลี่ยนไป พวกเขาต่างอดคิดไม่ได้ว่าสตรีนางนี้มาจากต้าเซี่ย หรือนางจะเป็นศิษย์ข้างกายปราชญ์หลิวฮั่วกัน?
ซูอี้อดเหลือบมองฮวาซิ่นเฟิงไม่ได้ สตรีนางนี้โกหกคำแล้วคำเล่า นางกล้าแสร้งเป็นคนของปราชญ์หลิวฮั่ว หรือนางไม่กลัวปราชญ์หลิวฮั่วมาคิดบัญชีกับนางหลังจากรู้เรื่องอย่างนั้นรึ?
“นี่…”
ฉินต่งซวีลังเล
สำหรับเขา การที่มีตัวตนแปลกหน้าจากต้าเซี่ยมาเข้าร่วมย่อมรู้สึกกังวลเล็กน้อย
โดยเฉพาะปฏิบัติการณ์ครั้งนี้เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ หากเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ผลที่ตามมายากจะคาดเดา
หากปฏิเสธก็เป็นไปได้ว่าจะล่วงเกินอีกฝ่ายเอา
แม้ฉินต่งซวีจะสงสัยว่าหญิงชายคู่นี้น่าจะถูกปราชญ์หลิวฮั่วส่งมา เพื่อเข้าร่วมในการสำรวจคว้าโอกาสครั้งนี้ก็ตาม
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้
หากล่วงเกินปราชญ์หลิวฮั่วขึ้นมา คงแย่แน่
คล้ายมองทะลุความคิดของฉินต่งซวี กู้ชิงโตวจากวัดเสวียนเยว่จึงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แม่นางน้อย ปฏิบัติการของพวกเราใช่ว่าใครก็เข้าร่วมได้ เจ้ากล่าวว่าจะลงมือเพื่อปราชญ์หลิวฮั่ว เจ้าควรแสดงพลังออกมา ให้พวกเราเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถเช่นนั้นจริงใช่หรือไม่?”
นี่เป็นการยั่วยุ
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดในที่นี้ต่างพยักหน้ารับ
เห็นเช่นนี้ฮวาซิ่นเฟิงก็ย่นคิ้วเล็กน้อยคล้ายไม่พอใจ นางกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ก็ถูก อย่างไรเสียข้ากับพี่ชายก็มาจากต้าเซี่ย มีเหตุผลที่พวกท่านจะเป็นกังวล”
หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็แสดงสีหน้าภาคภูมิและมั่นใจ คล้ายกับตัดสินใจได้แล้วกล่าว “ก็ได้ ใครที่อยากลองพลังของพวกเราพี่น้องก็ยืนขึ้นมา!”
เสียงนั้นกังวานไปทั่วฝูงชน ดึงดูดความสนใจของทุกคน พวกเขาทั้งหมดต่างประหลาดใจ
ความหมายในคำพูดเหล่านี้อวดดีเกินไป ความหมายของมันสื่อชัด ว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็สามารถเข้าไปประลองกับพวกเขาสองพี่น้องได้ ทำท่าทีราวกับว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใดเลย
“แม่นางผู้นี้ ข้าเชื่อว่าเจ้าอยู่เพียงขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น แต่น้ำเสียงของเจ้าใหญ่โตพอดู เจ้าไม่กังวลว่าจะเสียหน้าตอนพ่ายแพ้รึ?”
ซางลั่วอวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฮวาซิ่นเฟิงยิ้มน้อย ๆ แล้วชี้ไปทางซูอี้ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงกล่าวอย่างมั่นใจ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พี่ชายของข้าจะสู้แทนข้า อย่ามองว่าเขาเป็นเพียงขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ข้าไม่ได้อยากจะโม้ แต่พลังในการต่อสู้ เขากับซูอี้นั่นฝีมือพอ ๆ กันเลย”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ผู้ชมก็ตกตะลึง ซึ่งพวกเขาทั้งหมดล้วนแสดงสีหน้าไม่เชื่อ