บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 373 ตัวตนร้ายกาจจากฝ่ายอธรรม
ตอนที่ 373: ตัวตนร้ายกาจจากฝ่ายอธรรม
ตอนที่ 373: ตัวตนร้ายกาจจากฝ่ายอธรรม
ในชีวิตก่อนหน้านี้ ซูอี้ใช้เวลาหลายพันปีในการศึกษาขอบเขตไร้เบญจธัญ
เขารวบรวมคัมภีร์โบราณมากมายที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตไร้เบญจธัญเอาไว้
ความเข้าใจเรื่อง ‘เมล็ดพันธุ์เต๋า’ ลองมองไปทั่วโลกกว้าง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเกรงว่าจะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา
สิ่งที่เรียกว่า เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้ว เดิมเป็นเพียงตำนานที่ล่ำลืออยู่ในเก้ามหาแดนดินเท่านั้น
ตามข่าวลือ ตัวตนร้ายกาจบางคนที่มีพรสวรรค์และรากวิญญาณเพียงพอทำให้สวรรค์สะเทือน เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญจะต้องพบกับหายนะที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ราวกับถูกยับยั้ง ซึ่งตั้งแต่อดีตไม่เคยมีใครรอดพ้นหายนะนั้นมาได้
จึงมีตำนานเล่าขานว่าหากใครสามารถรอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ พวกเขาจะสามารถสร้างเมล็ดพันธุ์เต๋า …เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วที่แท้จริงได้!
แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดการณ์
เนื่องจากตั้งแต่สมัยโบราณไม่มีใครสามารถเอาชีวิตรอดจากชะตากรรมในการถูกยับยั้งเช่นนี้มาก่อน จึงไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้ว’ มีจริงหรือไม่
แต่ซูอี้มั่นใจว่ารากฐานมหาวิถีเช่นนี้มีอยู่จริง!
นี่คือคำตอบที่เขาได้รับจาก ‘การกลับชาติมาเกิด’ ในภูมิมืดมิด ซึ่งมีบันทึกเกี่ยวกับ ‘เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้ว’ อยู่
ว่ากันว่าเมล็ดพันธุ์เต๋าประเภทนี้เป็นเมล็ดเต๋าสมบูรณ์แบบที่สร้างขึ้นโดยการต่อสู้เพื่อฉกฉวยพลัง ซึ่งจบลงด้วยการถูกกวาดล้างในที่สุด เนื่องจากสวรรค์ไม่ยอมรับ เมื่อพยายามสร้างเมล็ดพันธุ์เต๋าประเภทนี้จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ!
ซูอี้ย่อมไม่หวาดกลัวภัยพิบัติการยับยั้งใด ๆ และเขาก็ไม่กลัวจะถูกกวาดล้างแต่อย่างใด
ในการกลับชาติมาเกิดครั้งนี้ เดิมทีเขาก็ต้องการเข้าสู่วิถีดาบที่สูงขึ้น จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะพลาดโอกาสที่จะสร้างเมล็ดพันธุ์เต๋าที่แข็งแกร่งที่สุด
…
ในเช้าวันถัดมา
ณ ทะเลตะวันออก
‘เรือสำราญฮัวเยว่’ ยาวหลายร้อยจั้งได้พากลุ่มคนที่นำโดยฉินต่งซวีตรงเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลตะวันออก
ซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิงก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย
“ตามความเร็วของเรือวิเศษลำนี้ จะสามารถไปถึงขอบทะเลวิญญาณโกลาหลได้ในอีกสองวัน”
ในห้องส่วนตัวบนเรือสำราญฮัวเยว่ ฮวาซิ่นเฟิงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ดวงตาของนางมองไปรอบห้องส่วนตัว หลังจากตกแต่งเสร็จ นางก็พูดอย่างมีความสุขว่า “ถ้าการเดินทางนี้ผ่านไปด้วยดี เรือวิเศษลำนี้จะเป็นของเราในอนาคต”
ซูอี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางมองออกไปไกล ๆ
ดวงตะวันสีทองส่องลงสู่ท้องทะเลสีคราม ดุจทองคำที่ร่วงหล่นสร้างระลอกคลื่นทอประกายระยิบระยับ
เนื่องจากเรือสำราญฮัวเยว่โบยบินไปในอากาศ ทิวทัศน์ในสายตาจึงกว้างขึ้น จากระยะไกลยังสามารถเห็นเรือประมงหลายลำที่ลอยอยู่ในทะเลค่อย ๆ แล่นห่างออกไป และบางครั้งก็พบฝูงนกทะเลบินผ่านพลางส่งเสียงร้องกังวาน
ลมทะเลที่พัดมาเล็กน้อยทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
“เรือวิเศษลำนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าทรงพลังนัก มันสามารถใช้เป็นเพียงพาหนะเท่านั้น ทั้งใหญ่โต เทอะทะ และโอ้อวดเกินไป ซึ่งง่ายที่จะตกเป็นเป้าหมายของสัตว์อสูรที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเล”
ซูอี้จิบสุราพลางสูดกลิ่นอายทะเล
“เอ้อ ถ้าคุณชายไม่ชอบก็ให้ข้าแล้วกัน”
ฮวาซิ่นเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ได้”
ขณะที่ซูอี้พูด เขาก็นั่งลงที่โต๊ะแล้วหยิบแผ่นยันต์หยกเปล่าออกมาแล้วเริ่มหลอมสร้างทีละอัน
“คุณชายกำลังสร้างยันต์ลับประเภทใดอยู่รึ?”
ฮวาซิ่นเฟิงถามอย่างสงสัย
ซูอี้พูดอย่างไม่แยแส “ถ้าเป็นตามที่เจ้าพูด ต้นกำเนิดของหอเซียนดาบคือตัวตนที่บ่มเพาะในระดับขอบเขตจักรพรรดิ เช่นนั้นในบรรดาของที่ตกทอดของกองกำลังนี้จะต้องมีกับดักและค่ายกลสังหารอยู่มากมาย ไม่ต้องพูดถึงขอบเขตเปิดทวารในเรือลำนี้เลย แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณหากคิดแสวงหาโอกาส เกรงว่าจะต้องเผชิญภัยคุกคามถึงตายนับไม่ถ้วน”
ฮวาซิ่นเฟิงเหน็บหนาวในใจ ก่อนว่า “ผู้เฒ่าฉินต่งซวีมีแผนที่ลับอยู่ในมือ หากร่วมมือกันก็น่าหลีกเลี่ยงภยันตรายต่าง ๆ นานาไปได้”
ซูอี้ยิ้มและส่ายหัว “ไม่พูดถึงว่าแผนที่ลับนั้นเป็นของจริงหรือไม่ ถึงจะเป็นของจริงก็ไร้ประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ผู้ใดจะกล้ามั่นใจว่าทุกอย่างในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น?”
หลังจากกล่าวเขาก็เหลือบมองที่ฮวาซิ่นเฟิงแล้วกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น แผนที่ลับอาจช่วยชี้ถึงอันตรายบางส่วนและกับดักที่ซ่อนอยู่ล่วงหน้า แต่เมื่ออันตรายปรากฏจะมีสักกี่คนที่จะหลีกเลี่ยงมันได้?”
ซูอี้ในชาติก่อนได้เดินทางไปทั่วมหาดินแดน ซึ่งเขาได้ผ่านสถานที่ที่อันตรายมากมาย ในด้านประสบการณ์ไม่รู้ว่าเหนือกว่าผู้คนในโลกนี้ไปเท่าไร
ความเคร่งขรึมก่อขึ้นที่ระหว่างคิ้วของฮวาซิ่นเฟิง ก่อนนางจะกล่าวว่า “เช่นนั้น ยันต์หยกที่คุณชายกำลังปรับแต่งในขณะนี้คือการเตรียมพร้อมสำหรับการค้นหาโอกาสอย่างนั้นรึ?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า
ยันต์ลับที่เขาหลอมสร้างในขณะนี้ ได้แก่ ‘ยันต์แทนกาย’ ที่สามารถป้องกันภัยพิบัติแทน ‘ยันต์ซ่อนลมปราณ’ ที่สามารถปกปิดรัศมีของร่างกาย และ ‘ยันต์ตรวจจับพลัง’ ที่สามารถตรวจจับความผันผวนของพลังได้…
มันมีนับหลายสิบประเภท
นี่เป็นทางเลือกสุดท้าย ด้วยฐานการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ในการสำรวจวัตถุโบราณที่น่าจะเหลือไว้โดยผู้ฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิเช่นนี้ เขาก็ทำได้แค่เตรียมการล่วงหน้าไว้ให้มากเท่านั้น
ถ้าเขาอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องวุ่นวายเช่นนี้เลย
“คุณชาย ท่านช่วยแบ่งปันเครื่องรางที่สร้างให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงมองที่ซูอี้ด้วยดวงตาที่มีความหวัง
“เจ้าแค่ตามข้ามาก็พอ”
ซูอี้ปฏิเสธโดยตรง
ยันต์หยกเหล่านี้ดูเหมือนจะสร้างได้ง่าย แต่จริง ๆ แล้วพวกมันผลาญพลังจิตอย่างมาก อีกทั้งแผ่นยันต์หยกที่ว่างเปล่าทั้งหมดที่ใช้นั้นล้วนเป็นหยกวิญญาณระดับห้า ซึ่งมีราคาแพง
ตัวซูอี้ยังมีไม่พอใช้ แล้วเขาจะมอบให้ฮวาซิ่นเฟิงได้อย่างไร
“อ้อ…”
ฮวาซิ่นเฟิงไม่อาจซ่อนความผิดหวังของนางได้ ในอดีตเมื่อนางต้องการสิ่งใด ตราบที่นางเอ่ยปากทุกคนจะเป็นฝ่ายเสนอตัวส่งมันไปที่ประตูของนางเอง
แต่ซูอี้กลับปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด!!
“นิสัยของชายผู้นี้ช่างไม่รู้จักเอาใจสตรีเลยจริง ๆ…”
ฮวาซิ่นเฟิงพึมพำกับตัวเอง
ในเวลาเดียวกันนั้น…
ณ ห้องโถงชั้นบนสุดของเรือสำราญฮัวเยว่
ฉินต่งซวี กู้ชิงโตว โหยวฉางคง เฉิงเจิน และเนี่ยสิงคง รวมตัวกันและมีการสนทนาที่เป็นความลับ
“เมื่อวานนี้ฉินผู้นี้ได้รับข่าวที่แน่ชัดมา แม้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ไปยังส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลเพื่อสำรวจโอกาสในครั้งนี้ แต่มีเพียงกองกำลังเดียวเท่านั้นที่สมควรได้รับความสนใจจากพวกเราจริง ๆ”
“กองกำลังฝ่ายอธรรมซึ่งนำโดย ‘ถงซิงไห่’ ประมุขพรรคมารหยิน และได้รวบรวมยอดฝีมือฝ่ายอธรรมมาราวสิบกว่าคน”
“เท่าที่ข้ารู้ก็มี ‘ปีศาจงูสวรรค์เฒ่า’ เสวี่ยหุนซาน ‘ราชาฉลามสมุทร’ จิ่วซาเหอ และ ‘ซากศพทองคำเฒ่าปีศาจ’ จินเยี่ยนหลิ่ง”
“เจ้าเฒ่าสามตัวนี้ แต่ละคนต่างโหดเหี้ยมและปลิ้นปล้อนกว่าอีกคน อย่างปีศาจงูสวรรค์เฒ่า เมื่อราวห้าสิบปีก่อนได้ข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าทะลวงขั้นและก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปิดทวารไปแล้ว”
“ราชาฉลามสมุทรและซากปีศาจเฒ่าทองคำล้วนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่มาเนิ่นนานเช่นกัน ฝ่ายแรกมีความเชี่ยวชาญในกฎแห่งสายน้ำ ส่วนฝ่ายหลังมีความชำนาญทักษะลับแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวหลายอย่าง”
“ตอนนี้พวกเขาได้ร่วมมือกับประมุขพรรคมารหยิน จึงมองข้ามไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความเคร่งขรึมก็ปรากฏขึ้นบนคิ้วของทุกคนที่อยู่ที่นั่น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อไปสำรวจโอกาสในหอเซียนดาบจะต้องพบกับผู้ฝึกปีศาจเฒ่ากลุ่มนี้แน่นอน
“นอกจากตัวตนเหล่านี้แล้ว พวกเราต้องระวัง ‘ผู้สิงสถิต’ ด้วย”
ดวงตาของฉินต่งซวีกะพริบไหว “ข่าวการปรากฏของซากปรักหักพังของหอเซียนดาบในครั้งนี้ใหญ่เกินไป หากไม่มีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้น ผู้สิงสถิตในหลายปีที่ผ่านมาจากต้าฉิน ต้าเว่ย และต้าโจว ทั้งสามอาณาจักรก็น่าจะมาเข้าร่วมด้วย ผู้สิงสถิตเหล่านี้ไม่ว่าจะพลังบ่มเพาะสูงหรือต่ำก็ไม่ควรประมาท ควรรู้ว่าตัวตนที่สามารถข้ามจากโลกอื่นมายังมหาทวีปคังชิงได้ก็ต้องอยู่ขั้นวิถีจิตวิญญาณเป็นอย่างต่ำ ดังนั้น ถึงเวลานี้จะเป็นเพียงวิญญาณ แต่ทักษะลับและไพ่ตายที่พวกเขาเชี่ยวชาญจะต้องมีอยู่ไม่น้อย”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา สีหน้าผู้ฟังทุกคนก็แตกต่างกันไป
ผู้สิงสถิต!
สำหรับผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ต่างคุ้นเคยกับกับพวกเขาดี
“พี่ฉิน ท่านมีรายชื่อผู้สิงสถิตที่แน่นอนหรือไม่?”
โหยวฉางคง ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลโหยวถามขึ้น
ฉินต่งซวีส่ายหัว “คนเหล่านี้แต่ละคนล้วนสามารถซ่อนตัวตนได้ดีนัก หากอีกฝ่ายไม่เป็นฝ่ายเผยตัวออกมาเองก็ยากที่จะระบุตัวพวกเขาได้”
หลายคนผงกหัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเกี่ยวกับผู้สิงสถิตก็คือ ตัวตนของพวกเขานั้นลึกลับยิ่ง ลำพังใช้เพียงตาเปล่าและจิตสัมผัสแม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้สิงสถิต
“บางทีบนเรือลำนี้อาจมีผู้สิงสถิตอยู่ด้วย”
เฉิงเจิน ผู้อาวุโสอารามฉางจิงแห่งวัดซ่างหลินพูดขึ้น เขาผอมดังท่อนฟืน มีคิ้วและเคราสีขาว เมื่อเขาพูดเช่นนี้ สีหน้าของหลาย ๆ คนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พี่เฉิงเจินพบเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ?” ฉินต่งซวีถาม
“พี่น้องจากต้าเซี่ยคู่นั้นดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง”
เฉิงเจินดูสงบ เสียงของเขาแหบแห้งและเนิบช้า “ตามที่สหายเต๋าฉินกล่าว พวกเขามาพร้อมกับสัญลักษณ์ของลวี่อวิ๋น ศิษย์คนรองของปราชญ์หลิวฮั่ว แต่ยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพวกเขา”
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย
“ข้าก็สงสัยเช่นกัน ทุกอย่างดูบังเอิญเกินไป และพวกเราก็ไม่มีทางยืนยันได้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับปราชญ์หลิวฮั่วหรือไม่”
กู้ชิงโตวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ “หากพวกเขามีเจตนาร้ายหรือแผนการอื่น พวกเราต้องระวังตัวไว้ล่วงหน้า”
สีหน้าฉินต่งซวีหม่นหมองไปชั่วขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็ฉายแววเย็นชาและกล่าวว่า “เรื่องนี้จัดการได้ง่าย ระหว่างทางที่ไป หาโอกาสทดสอบพวกเขาดู หากตัวตนมีปัญหาจริง ๆ ก็แค่สังหารพวกเขาทิ้งล่วงหน้า พวกเราต้องไม่ปล่อยให้อะไรมากระทบปฏิบัติการของพวกเราได้!”
…
สองวันต่อมา
ทะเลที่อยู่ไกลออกไปพลันหม่นครึ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว
เมฆดำหนาทึบปกคลุมท้องฟ้าและดวงตะวันไว้ บางครายังมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นและแสงสีแดงเลือดวาบผ่าน
ลมทะเลพลันเปลี่ยนรุนแรงและสับสน มืดมนและหม่นหมอง ชวนให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
การมาถึงที่นี่ก็เท่ากับถึงชายขอบของทะเลวิญญาณโกลาหลแล้ว!
ความเร็วในการบินของเรือสำราญฮัวเยว่เองก็ลดลง และระมัดระวังมากขึ้น
เพราะในบริเวณทะเลอันไร้คลื่นแห่งนี้ บางครั้งก็จะมีพายุโหมกระหน่ำจากท้องฟ้าข้ามผ่านทะเลไป ซึ่งมันสามารถฉีกเรือวิเศษอย่างเรือสำราญฮัวเยว่ออกเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย
บนเรือ ซูอี้ยืนพิงราวบันไดมองดูฉากที่วุ่นวายและโกลาหลราวกับจุดสิ้นสุดของโลกจากระยะไกล
บรรยากาศของทะเลวิญญาณโกลาหลนี้ช่างยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง เผยให้เห็นฉากการทำลายล้างและล่มสลายอันแปลกประหลาด!
“เมื่อนานมาแล้วบริเวณทะเลแห่งนี้จะต้องประสบกับหายนะบางอย่าง ซึ่งทำให้กฎสวรรค์และโลกเสียหายอย่างรุนแรง หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วน ฉากที่โกลาหลและพังทลายนี้จึงได้ก่อตัวขึ้น…”
ซูอี้กล่าวกับตัวเอง
ลมทะเลพัดมา พัดเสื้อคลุมของเขาโบกสะบัดจนเกิดเสียง