บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 374 สิ่งต้องห้ามทั้งสี่
ตอนที่ 374: สิ่งต้องห้ามทั้งสี่
ตอนที่ 374: สิ่งต้องห้ามทั้งสี่
ทะเลวิญญาณโกลาหล!
สถานที่ที่อันตรายที่สุดในต้าฉิน
ตามข่าวลือ มีโบราณวัตถุของกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณฝังอยู่มากมายในบริเวณทะเลแห่งนี้ นับแต่โบราณกาลได้ดึงดูดผู้แข็งแกร่งมากมายให้เข้ามาสำรวจ
มีผู้โชคดีที่ได้รับมรดกโบราณเป็นครั้งคราว จากนั้นพวกเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
ทว่า ผู้โชคดีมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ที่มาสำรวจโอกาสเสียชีวิตลงที่นี่และไม่เคยได้กลับไปอีกเลย!
จนถึงตอนนี้ คนที่กล้าที่จะผจญภัยในทะเลวิญญาณแห่งความโกลาหลนั้นแทบจะเป็นตัวตนที่อยู่เหนือบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์กันหมด
ตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ลงไปต่างก็ไม่กล้าข้ามผ่านทะเลสายฟ้านั้นไป
“การมาถึงที่นี่เทียบเท่ากับการเข้าสู่เขตทะเลวิญญาณโกลาหล และยิ่งเข้าไปลึกเท่าไรก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”
สีหน้าของฮวาซิ่นเฟิงเริ่มจริงจังและเคร่งขรึม “หอสิบทิศของพวกเราได้รวบรวมข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับทะเลวิญญาณโกลาหลไว้แล้ว แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ทะเลแห่งนี้จนถึงขณะนี้ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปลายยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น”
“ทะเลวิญญาณโกลาหลแห่งนี้ลึกลับเกินไป อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งของและพลังที่แปลกประหลาดมากมาย ซึ่งสถานที่บางแห่งเป็นเสมือนแดนต้องห้ามที่แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารก็ยังไม่กล้าย่างเหยียบ ไม่เช่นนั้นอาจต้องสูญเสียชีวิตไป”
“ในส่วนลึกของทะเลนี้มีเจดีย์กระดูกขาวที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือดซึ่งจะปรากฏตัวขึ้นในทะเลบริเวณต่าง ๆ ราวกับวิญญาณ เมื่อพบเห็นมันแล้วจะต้องรีบหลีกหนีให้ไกลโดยทันที ไม่เช่นนั้นจะถูกห้อมล้อมด้วยหมอกสีเลือดอันไร้ขอบเขตจนเหลือเพียงกองกระดูก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจดีย์กระดูกขาวไป”
ซูอี้ได้ยินเช่นนี้ก็พูดขึ้นด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “น่าสนใจ มีสิ่งแปลก ๆ อย่างอื่นอีกหรือไม่?”
“ย่อมมีแน่นอน”
ฮวาซิ่นเฟิงสมกับเป็นสมาชิกของหอสิบทิศ นางรีบเล่าเรื่องแปลกประหลาดและสิ่งผิดปกติอื่น ๆ ทันที
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในส่วนลึกของท้องทะเลที่วุ่นวายมีการค้นพบสิ่งต้องห้ามทั้งสี่
นอกจากเจดีย์กระดูกขาวที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือดแล้ว อีกสามแห่งคือเกาะไร้หวน ภูเขาฝังศพ และเรือเก็บดาว
ที่เกาะนามว่า ‘ไร้หวน’ บนเกาะไม่มีกระทั่งหญ้า เมื่อตกกลางคืนจะมีโคมไฟสีน้ำเงินลอยอยู่บนนั้น ก่อนปรากฏนิมิตที่น่าสะพรึงกลัวดังนรกและภูตผี
ใครก็ตามที่อยู่ห่างจากเกาะนี้ไปราวสามสิบลี้ก็เหมือนเหยียบย่างสู่ถนนที่ไม่อาจหวนกลับ ไม่ว่าจะมีระดับการฝึกฝนสูงส่งเพียงใด ทั้งกายเนื้อและโลหิตจะสลายเป็นขี้เถ้าในทันใด
นี่คือที่มาของชื่อไร้หวน
ภูเขาฝังศพ เป็นภูเขาขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในทะเลวิญญาณโกลาหล
ภูเขาลูกนี้ลึกลับที่สุด ตราบเท่าที่สิ่งมีชีวิตใด ๆ เหยียบย่ำลงบนภูเขานี้ พวกมันจะหายไปเสมือนระเหยไปในอากาศ
หมอกสีเทาบนภูเขาจะจางลงเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันเป็นพัก ๆ
ซึ่งจะเห็นว่าบนภูเขาสีดำสูงพันจั้งมีโซ่สีดำสี่เส้นที่หนาเท่างูเหลือมอยู่ โดยโซ่แต่ละเส้นจะล่ามเข้ากับซากศพหนึ่งร่าง
จากซากศพทั้งสี่ มีศพหนึ่งเป็นชายร่างผอมที่มีปีกอยู่บนหลัง ทั้งยังมีสามหัวและหกแขน
อีกศพยาวหนึ่งร้อยจั้ง ลำตัวส่วนบนปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทอง ส่วนล่างเป็นสัตว์ที่มีหางเป็นงู
อีกสองศพ หนึ่งเป็นหลวงจีนที่นุ่งห่มจีวรเปื้อนเลือดและไม่มีศีรษะ และอีกหนึ่งเป็นนักพรตที่อกถูกแหวกออกและสวมมงกุฎดอกบัวไว้บนศีรษะ
ไม่มีใครรู้ตัวตนของพวกเขา แต่ศพของพวกเขาถูกล่ามโซ่มาหลายปีแล้ว ซึ่งยังคงมีรัศมีผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
มีผู้ฝึกฝนขอบเขตเปิดทวารคนหนึ่งที่พยายามเข้าใกล้ภูเขาฝังศพ แต่ก่อนที่เขาจะได้ปีนขึ้นไปบนภูเขา วิญญาณของเขาก็ถูกทำลายโดยรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเล็ดลอดออกมาจากศพทั้งสี่ และตกตายอย่างน่าสังเวช!
จากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ภูเขาฝังศพที่เต็มไปด้วยความลึกลับและแปลกประหลาดนี้อีก
ส่วนเรือเก็บดาวนั้นเป็นเรือลำเล็กสีดำ ซึ่งมีความยาวเพียงสามจั้ง เหมือนเรือเก็บบัว แต่ทุกครั้งที่เรือลำนี้ปรากฏขึ้นราวกับเต็มไปด้วยแสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ ลี้ลับดุจความฝัน
เรือลำนี้ก็น่าสะพรึงยิ่งเช่นกัน ตราบใดที่มีคนเข้ามาใกล้ แสงดาวบนเรือจะลุกโชนขึ้นก่อนเปลี่ยนเป็นปราณดาบอันน่าหวาดกลัว ซึ่งสามารถสังหารผู้ฝึกตนได้อย่างง่ายดายด้วยการกวาดผ่านครั้งเดียว!
จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครสามารถรอดชีวิตจากการตัดหัวของปราณดาบแห่งเรือเก็บดาวได้!
“เจดีย์กระดูกขาว เกาะไร้หวน ภูเขาฝังศพ เรือเก็บดาว…”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ซูอี้จึงอดแปลกใจไม่ได้ ทะเลวิญญาณโกลาหลแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ
น่าเสียดายที่ฮวาซิ่นเฟิงให้ข้อมูลมาน้อยเกินไป ทำให้เขายากที่จะเข้าใจที่มาของสิ่งแปลกประหลาดทั้งสี่นี้
สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจได้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เจดีย์กระดูกขาว’ น่าจะเป็นอาวุธพิเศษ และโคมไฟสีน้ำเงินบนเกาะที่ไร้หวนนั้นน่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกผี
ในบรรดาศพทั้งสี่ที่ถูกล่ามโซ่ไว้บนภูเขาฝังศพ ชายที่มีปีกสองปีกบนหลังและสามหัวกับหกแขนนั้นน่าจะเป็นลูกหลานของ ‘เผ่าพันธุ์จิตวิญญาณปีกสีเงิน’
ผู้ที่ร่างกายส่วนบนปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทอง และส่วนล่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหางงู คาดว่าน่าจะเป็นลูกหลานของ ‘เผ่าพันธุ์จิตวิญญาณมังกรเกล็ด’
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของซูอี้ และเขาก็ไม่สามารถตัดสินได้หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
ในทางกลับกัน ซูอี้สนใจเรือเก็บดาวนั้นอย่างมาก เรือลำนี้เต็มไปด้วยปราณดาบที่เหมือนดวงดาว หากเป็นสมบัติจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ระหว่างการสนทนา เรือสำราญฮัวเยว่ได้บรรทุกทุกคนตรงเข้าไปในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหล
ระหว่างเดินทางมีเมฆฝนฟ้าคะนองหนาแน่น คลื่นในท้องทะเลเกรี้ยวกราด ท่ามกลางภาพอันวุ่นวายและปั่นป่วน บางครั้งก็จะมีสายฟ้าสีเลือดส่องประกายวาบจากส่วนลึกของเมฆดำบนท้องฟ้า ผ่าท้องฟ้าและทะเลด้วยเส้นแสงสีแดงสดอันน่าขนลุกชวนสะพรึง
ทว่า เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินต่งซวีกับคนอื่น ๆ มาที่นี่ เหล่าผู้แสวงหาโชคต่างถูกนำโดยพวกเขา ระหว่างทางเรือสำราญฮัวเยว่ได้หลีกเลี่ยงภัยธรรมชาติมากมายมาโดยไม่มีอันตรายใด ๆ
หลังจากนั้นสองเค่อ
“หนีเร็ว หนี—!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนอย่างหวาดกลัวมาจากทะเลอันไกลโพ้น
แต่เสียงนั้นก็หยุดลงกะทันหันและหายไป
บนเรือสำราญฮัวเยว่ ฉินต่งซวี กู้ชิงโตว และคนอื่น ๆ มีสีหน้าเคร่งขรึมและสงสัย
ข้างหน้าเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?
ซูอี้และฮวาซิ่นเฟิงก็ถูกดึงดูดความสนใจเช่นกัน พวกเขามองไปก็เห็นเพียงทะเลที่ปั่นป่วนและมืดครึ้ม กับท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆฝนสีดำ โดยไม่พบสิ่งอื่นอีก
“คุณชาย นี่แหละคือวิถีของทะเลวิญญาณโกลาหล มักเกิดเรื่องแปลกประหลาดที่ไม่คาดคิดขึ้นเสมอ แม้แต่ผู้ฝึกฝนขอบเขตเปิดทวาร หากไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในพื้นที่ทะเลแถบนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอด”
ฮวาซิ่นเฟิงกระซิบ “แต่คราวนี้พวกเราร่วมมือกับตาเฒ่าพวกนั้นจึงไม่ต้องห่วง เรื่องพวกนี้ ถึงแม้จะมีอันตรายมา พวกเขาก็จะขวางไว้เอง”
ในตอนท้ายนางอดเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมาไม่ได้
“นั่นอะไรน่ะ?”
จู่ ๆ ซูอี้ก็สังเกตเห็นว่าเหนือผิวน้ำทะเลที่ห่างไกลจากเรือสำราญฮัวเยว่ออกไป มีแสงสีเขียวราวกับเปลวไฟพลิ้วไหวไปกับคลื่นทะเลที่ไม่หยุดซัดสาด
เมื่อมองดูดี ๆ จะพบว่าเป็นกอดอกบัวสีซึ่งเขียวแน่นขนัดไปจนสุดลูกหูลูกตา ดังผ้าห่มสีเขียวที่ปกคลุมทะเลไว้
ฮวาซิ่นเฟิงตกตะลึงครู่หนึ่ง และจากนั้นก็แสดงท่าทีตกใจว่า “ไม่ดีแล้ว นี่มัน ‘ภูตอสูรปักษาบงกช!!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงตะโกนของฉินต่งซวีก็ดังก้องไปทั่วบนเรือสำราญฮัวเยว่ “รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
น้ำเสียงของเขาเผยความเคร่งขรึมที่หาได้ยาก
วูด!
เรือสำราญฮัวเยว่ส่งเสียงคำราม แสงของสมบัติหมุนเวียน ซึ่งความเร็วก็เร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังลูกธนูถูกปล่อยจากสาย พุ่งทะยานไปไกล
ทว่าท่ามกลางดอกบัวสีเขียวที่อยู่ห่างออกไป เงาร่างพร่ามั่วสีฉูดฉาดนับร้อยก็แห่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับจะปกคลุมท้องฟ้า ก่อนพุ่งเข้าหาเรือสำราญฮัวเยว่
ด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด!
ซูอี้เห็นในทันทีว่าเงาร่างพร่ามั่วสีฉูดฉาดล้วนเป็นปักษาบงกชที่มีลักษณะที่แปลกประหลาดและดุร้าย
พวกมันทั้งหมดมีขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น ปีกของมันโปร่งใสแผ่สีสันฉูดฉาดชวนดึงดูดใจ ส่วนหัวดูบิดเบี้ยวและดุร้าย ลูกตาแดงก่ำ เขี้ยวแหลมคม ปากของพวกมันส่งเสียงกรีดร้องบาดหูราวกับเสียงภูตผีร่ำไห้
เมื่อปักษาบงกชหลายร้อยตัวเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน มันราวกับพายุหลากสีที่เข้ากลืนกินท้องฟ้าและปกคลุมโลกไว้
เร็วเกินไปแล้ว!
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ สัตว์ร้ายเหล่านี้ได้ไล่ล่าตามมา และอยู่ห่างจากเรือสำราญฮัวเยว่ไปไม่ถึงร้อยจั้ง
“ทุกท่าน โปรดเตรียมต่อสู้!”
ฉินต่งซวีตะโกนขึ้นเมื่อเห็นฉากนี้
กู้ชิงโตว เฉิงเจิน เนี่ยสิงคง โหยวฉางคง และบุคคลสำคัญอื่น ๆ แต่ละคนต่างนำอาวุธล้ำค่าของตนออกมาโจมตีไปยังอากาศทันที
ตูม!
ปราณดาบ ลำแสงมีด เงาหอก ขวานยักษ์… อาวุธล้ำค่าอันน่าตื่นตาทุกรูปแบบระเบิดไปทางปักษาบงกชที่ไล่ตามจากระยะไกลและกวาดล้างพวกมันด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
ทันใดนั้น ปักษาบงกชจำนวนมากก็ถูกระเบิดออกและสังหารทิ้ง
แต่พวกมันมีจำนวนมากเกินไป ตอนนี้จึงแน่นขนัดเต็มท้องฟ้าและบดบังซึ่งดวงอาทิตย์ ทั้งยังพุ่งเข้าหาเรือสำราญฮัวเยว่จากทิศทางที่ต่างกัน พวกเขาจึงไม่สามารถฆ่าพวกมันทั้งหมดลงในคราวเดียวได้
“สหายเต๋าบนเรือทุกท่าน ได้โปรดช่วยกันลงมือด้วย!”
ฉินต่งซวีคำราม
ไม่จำเป็นต้องให้เขาเตือน ยอดฝีมือบนเรืออย่างซางลั่วอวี่กับลิ่นอวี๋เปยและคนอื่น ๆ ก็ลงมือเช่นกัน
ตูม!
การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นทันทีท่ามกลางความมืดมิดและอึมครึมของทะเลวิญญาณโกลาหล
ซูอี้ไขว้มือไปข้างหลัง พลางพิงราวบันไดแล้วทอดมองออกไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนพูดกับตัวเองว่า “การต่อสู้ครั้งนี้มีบางอย่างผิดปกติ”
ฮวาซิ่นเฟิงตกใจและกล่าวว่า “คุณชายพบอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ฟึ่บ!
ในเวลานี้เอง ปักษาบงกชก็พุ่งเข้ามา มันทะลุแนวป้องกันของเรือสำราญฮัวเยว่และพุ่งตรงไปยังหน้าต่างที่ซูอี้ยืนอยู่
ร่างกายขนาดเท่ากำปั้นของมันฉายแสงฉูดฉาดที่เฉียบคมไร้ที่เปรียบออกมา และลูกตาสีแดงคู่นั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกระหายเลือด
ซูอี้เอื้อมมือออกไป พลังที่มองไม่เห็นพลันเข้าห่อหุ้มปักษาบงกชไว้ มันถูกคุมขังและถูกมือซูอี้คว้าไว้ในทันที มันกรีดร้องแหลมบาดหูขณะพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่อาจหนีไปได้
ฝ่ามือของซูอี้ออกแรง ทั่วร่างของปักษาบงกชสั่นไหว ก่อนหมดสติไปในทันทีอย่างง่ายดายราวกับมดถูกบี้
ซูอี้แค่เอ่ย “นี่คือ ‘อสูรปักษาหน้าผี’ มันไม่ได้ทรงพลังมากนัก เดิมพวกมันจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน เว้นแต่…”
ฮวาซิ่นเฟิงรีบถาม “เว้นแต่อะไรหรือ?”
“เว้นแต่จะมีใครใช้ ‘ทักษะควบคุมวิญญาณ’ เพื่อลอบควบคุมพวกนี้ไว้”
ขณะที่ซูอี้พูด เขาก็เคาะปลายนิ้วสองครั้ง เขี้ยวสีขาวเหมือนหิมะของอสูรปักษาหน้าผีก็ถูกกะเทาะออกและกลิ้งหล่นลงมายังฝ่ามือของเขา
หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าเขี้ยวที่คล้ายจันทร์เสี้ยวสีขาวดุจหิมะคู่นี้แหลมคมจนน่าตกใจ และบรรจุกลิ่นอายแห่งปัญหาอันแปลกประหลาดไว้
หลังจากสูญเสียเขี้ยวไป พลังชีวิตของอสูรปักษาหน้าผีก็พลันหายไปอย่างสมบูรณ์และตายคาที่
ซูอี้เก็บเขี้ยวคู่นั้นทันที
นี่คือวัตถุวิญญาณระดับห้า ถึงมันจะดูเล็ก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นวัตถุที่หายากและมีค่ามาก
“คุณชายหมายความว่าการโจมตีที่พวกเราเผชิญในครั้งนี้เป็นเพราะมีคนกำลังบงการอย่างลับ ๆ ใช่หรือไม่?!” ฮวาซิ่นเฟิงพลันตระหนัก ก่อนอดที่จะแปลกใจไม่ได้