บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 375 ซากพระราชวังสวรรค์
ตอนที่ 375: ซากพระราชวังสวรรค์
ตอนที่ 375: ซากพระราชวังสวรรค์
ตูม! ตูม! ตูม!
อสูรปักษาหน้าผีบุกแนวป้องกันและพุ่งเข้าหาเรือสำราญฮัวเยว่ราวกับสายฟ้าตัวแล้วตัวเล่า ตัวเรือสำราญฮัวเยว่จึงเต็มไปด้วยรูพรุนและมีร่องรอยของความเสียหายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
บางคราก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
ห้องที่ซูอี้และฮวาซิ่นเฟิงอยู่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่มีอสูรปักษาหน้าผีพุ่งเข้ามาหาพวกเขา พวกมันก็จะถูกซูอี้จับตัวมาดึงเขี้ยวออกมาแล้วโยนออกไป
เหมือนกับเหยื่อล่อรอกระต่าย พอถึงเวลาก็จับมันไว้
หลังจากนั้นสองเค่อ
ในที่สุดผู้คนบนเรือสำราญฮัวเยว่ก็เอาชนะการโจมตีของอสูรปักษาหน้าผีและพุ่งออกไปยังทะเลที่ห่างออกไป
ขณะที่จากไป ซูอี้ได้เห็นจากไกล ๆ ว่าในส่วนลึกของดอกบัวสีเขียวนั้นได้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน
เป็นชายสวมเสื้อคลุมดำ ผิวขาวดังหยก ดวงตาของเขามีสีเขียวและทรงเสน่ห์ มีแส้สีแดงพันอยู่รอบเอว และถือน้ำเต้าสีแดงสดไว้ในมือ
คล้ายว่าเขาจะสังเกตเห็นการจ้องมองของซูอี้จึงอดที่จะตกใจไม่ได้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นโบกมือให้ซูอี้พร้อมรอยยิ้ม
ดุจบอกลาสหายเก่า
จากนั้นร่างของชายในชุดคลุมสีดำก็หายไปอย่างเงียบ ๆ
“เป็นผู้สิงสถิตอีกคนหนึ่ง”
ดวงตาของซูอี้ลึกล้ำขึ้น ขณะที่เขาจดจำรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายไว้อย่างแจ่มชัด
“คุณชาย ท่านกำลังดูอะไรอยู่รึ?”
ฮวาซิ่นเฟิงถาม
“มีตัวโง่งมไม่รู้จักตายกล้ามายั่วยุข้า มันควรภาวนาว่าอย่าให้โดนข้าจับได้”
ซูอี้พูดเบา ๆ
เขามองไปที่ฮวาซิ่นเฟิง แล้วบรรยายลักษณะของชายในชุดคลุมสีดำเมื่อครู่นี้ ก่อนถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้เป็นใคร?”
ฮวาซิ่นเฟิงส่ายหัวและกล่าว “หากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้สิงสถิต ตัวตนของเขาก็ยากต่อการคาดเดา คนเหล่านี้ยังปกปิดรัศมีและตัวตนได้ดียิ่งนัก เช่นเดียวกับฉินฝู องค์ชายหกของราชวงศ์ฉิน และ เนี่ยสิงคง เจ้าสำนักดาบมังกรเร้น ถ้าไม่ใช่เพราะคำเตือนของคุณชาย เกรงว่าข้าคงไม่กล้าแม้แต่จะนึกว่าพวกเขาจะเป็นผู้สิงสถิต”
ซูอี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก
การถูกอสูรปักษาหน้าผีโจมตีครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ทำให้สามารถรวบรวมเขี้ยวของอสูรปักษาหน้าผีมากกว่าหกสิบคู่มาได้อย่างง่ายดาย
ไม่ต่างจากเก็บวัตถุวิญญาณระดับห้ากองหนึ่งได้เปล่าๆ
หลังจากศึกครั้งนี้ เรือสำราญฮัวเยว่บางส่วนได้รับความเสียหายและถูกทำลายลง ซึ่งเมื่อตรวจนับดูแล้วพบว่ามีตัวตนบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เก้าคนบนเรือถูกอสูรปักษาหน้าผีสังหาร
การสูญเสียเช่นนี้ทำให้ผู้ควบคุมเรืออย่างกู้ชิงโตวหลั่งโลหิตในใจ สีหน้าของเขาดูมืดมนและย่ำแย่นัก
สีหน้าของฉินต่งซวีและคนอื่น ๆ ก็ย่ำแย่อย่างยิ่งเช่นกัน
หลังจากมาถึงทะเลวิญญาณโกลาหลไม่นานก็พบเข้ากับหายนะเช่นนี้ จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกแย่
อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปเงียบสงบนัก แม้ว่าจะพบกับภัยธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงมาได้
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ไกลออกไปมีเสียงร้องไห้ดังแว่วมา เสียงก้องกังวานระหว่างสวรรค์และโลกราวกับเสียงทารกร้องไห้แทรกซึมอย่างมาก
“เป็นที่นี่!”
บนเรือสำราญฮัวเยว่ ฉินต่งซวียืนอยู่ข้างราวบันได ดวงตาของเขาเป็นประกายเผยให้เห็นถึงความคาดหวัง
ข้าง ๆ เขา กู้ชิงโตว เฉิงเจิน และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ต่างทอดสายตาออกไปด้วยสีหน้าตกใจอย่างไม่อาจควบคุม
ไกลออกไป ระหว่างสวรรค์กับโลกมีแสงศักดิ์สิทธิ์อันเปล่งประกายส่องลงมาดุจน้ำตกเข้าปกคลุมฟ้าดินระยะนับพันจั้งเอาไว้ ย้อมฟ้าดินบริเวณนั้นด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อันรุ่งโรจน์
ในอากาศ มีสิ่งก่อสร้างคล้ายพระราชวังสวรรค์ซึ่งสูงใหญ่จนไม่อาจประเมินได้ปรากฏ ซึ่งทั้งหมดเหมือนจะทำจากกองทองคำศักดิ์สิทธิ์และหยกเซียน โดยมีสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์นับพันสายแผ่ออกมา
มองดูแล้วช่างคล้ายที่พำนักของเทพเซียน!
“คุณชาย ดูสิ นั่นคือพลังของซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ มันรายล้อมที่นี่มาระยะหนึ่งแล้วและดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนจากทั่วทุกมุมโลก”
ดวงตาของฮวาซิ่นเฟิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เพียงมองทิวทัศน์อันตระการตาเช่นนี้ก็รู้ว่าในซากปรักหักพังจะต้องมีโชคที่ไม่ธรรมดาปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน!”
ซูอี้มองดูจากไกล ๆ หลังพินิจมันครู่หนึ่งก็กล่าว “ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ดีในการคว้าโอกาสจริง ๆ แต่ขณะเดียวกัน มันก็เปี่ยมไปด้วยอันตรายครั้งใหญ่ อีกเดี๋ยวอย่าเพิ่งโลภในสมบัติ และไขความลับในนั้นก่อนแล้วค่อยลงมือยังไม่สาย”
ในสายตาของเขา ไม่ว่าฟ้าดินจะมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อันรุ่งโรจน์เพียงใด มันก็ไม่อาจซ่อนเร้นรัศมีอาฆาตพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าได้!
ฮวาซิ่นเฟิงพยักหน้า
นางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรปฏิบัติการครั้งนี้ก็มีคู่แข่งมากมาย และอันตรายที่คาดเดาไม่ได้ย่อมรอพร้อมที่จะสำแดงออกมา!
“บัดซบ! มีคนนำเข้าไปในซากปรักหักพังก่อนแล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงเต็มไปด้วยโทสะของฉินต่งซวีก็ดังขึ้นบนเรือ
ทุกคนต่างเฝ้ามองดูเขาและเห็นว่าหน้าประตูของสิ่งก่อสร้างที่เหมือนพระราชวังบนท้องฟ้า ประตูสองบานที่มีความสูงสิบจั้งได้เปิดออกแล้ว ซึ่งด้านในประตูถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดจึงยากที่จะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน
“จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าพลังต้องห้ามที่ทางเข้าซากปรักหักพังจะสลายไปในอีกสามวันให้หลังหรอกหรือ?”
กู้ชิงโตวขมวดคิ้ว
“ต้องมีผู้ลงมือทำลายพลังต้องห้ามนั้นล่วงหน้า”
สีหน้าของโหยวฉางคงมืดมน
ตัวตนทรงอำนาจเหล่านี้คิดการณ์ใหญ่ไว้ แต่กลับพบว่าถูกคนล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว ใครบ้างจะไม่กระวนกระวายและโกรธแค้น?
“ทุกคนไม่ต้องกังวลไป ซากปรักหักพังเหล่านี้อันตรายและคาดเดาไม่ได้ แม้ว่าจะเข้าไปก่อนก็ไม่แน่ว่าจะคว้าโอกาสได้ก่อน”
ฉินต่งซวีสูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าคนอื่นจะคว้าโอกาสในนั้นไปได้จริง พวกเราเพียงแค่ต้องลงมือแย่งกลับมา!”
“เอาล่ะ เข้าไปกันเถิด!” ว่าแล้วเขาก็เดินนำเข้าไป
ยอดฝีมือบนเรือสำราญฮัวเยว่ทั้งหมดต่างบินตามหลังฉินต่งซวีไปทางพระราชวังสวรรค์ที่อยู่ห่างออกไป
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ายามซูอี้กำลังจะเข้าไปในประตู เขาได้เหลือบมองไปยังทะเลที่อยู่ไกล ๆ ก่อนจะถอนสายตากลับแล้วเดินเข้าไป
“ชายผู้นั้นเป็นใครกัน พลังของจิตสัมผัสของเขาจะน่ากลัวเกินไปหรือไม่?”
ใต้ท้องทะเลที่มีความลึกพันจั้ง ชายหนุ่มรูปงามสวมชุดเสื้อคลุมสีเหลืองมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หากเก๋อฉางหลิงอยู่ที่นั่น เขาจะทราบได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์ของเขา เก๋อเฉียน
“กลัวไปไย การเข้าไปในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ พวกนั้นก็ไม่ต่างจากเหยื่อที่ถูกส่งตัวเองไปหน้าประตู แค่รอถูกเชือดเท่านั้น”
ในทะเลแห่งจิตวิญญาณของเก๋อเฉียน เสียงชายชราพูดขึ้นอย่างสบาย ๆ
“ตาเฒ่า ท่านแน่ใจหรือว่าหอเซียนดาบนี้เป็นกับดักสังหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าจริง ๆ”
สีหน้าของเก๋อเฉียนลังเล
“มันเป็นทั้งกับดักสังหารและสถานที่แห่งโอกาส มีใครบางคนวางแผนจะฆ่านกสองตัวด้วยการปาหินก้อนเดียว เก็บเกี่ยวโอกาส แล้วใช้ดำกินดำ สังหารเหยื่อที่ล่อมาแล้วเก็บเกี่ยวโอกาสทั้งหมด”
เสียงชายชราดูเคร่งขรึมเล็กน้อย” อย่าไปลงน้ำโคลนแบบนี้จะดีกว่า”
เก๋อเฉียนเอ่ยเยาะ “เมื่อก่อนท่านมักชักชวนข้าให้ไปเสี่ยงอันตราย ทั้งสาบานว่าบนมหาทวีปคังชิงไม่มีผู้ใดจะสามารถคุกคามท่านได้ไม่ใช่หรือ?”
ในคำพูดเต็มไปด้วยการประชดประชัน
ชายชราเปลี่ยนจากความอับอายเป็นโกรธ ก่อนพูดอย่างดุร้ายว่า “เจ้ามันไม่รู้อะไร ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเราได้พบผู้สิงสถิตอย่างน้อยสามคน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนฝ่ายอธรรมขอบเขตเปิดทวาร ส่วนตัวตนที่อ่อนแอที่สุดที่เจอล้วนมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตไร้เบญจธัญ ด้วยขอบเขตไร้แพร่งพรายปัจจุบันของเจ้า จะมีคุณสมบัติไปงัดข้อกับพวกเขาได้อย่างไรกัน?”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจ “ชายชราผู้นี้เคยเป็นผู้ทรงอำนาจที่เหยียดหยามสวรรค์และท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาว ขอบเขตจักรพรรดิเมื่อพบข้าล้วนต้องก้มศีรษะ ไม่กล้าไม่เคารพ ไม่เคยคิดเลยว่าตอนนี้ข้าจะเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ หากไม่เพราะเช่นนี้… ฮึ่ม แค่มดปลวกตัวเล็ก ๆ พวกนั้น ชายชราแค่พลิกฝ่ามือก็กำจัดได้แล้ว!”
เก๋อเฉียนพูดอย่างโกรธเคือง “เอาล่ะ หากท่านสามารถกำจัดนิสัยขี้โม้นี้ได้เมื่อไร ข้าจะมองท่านสูงขึ้นแล้วกัน”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่น่าแปลกคือซูอี้ผู้นั้นจนบัดนี้ยังไม่เผยร่องรอยใด ๆ เขาไม่สนใจในโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เลยหรือ?”
พูดถึงซูอี้ เสียงชายชราเริ่มจริงจังมากขึ้นแล้วพูดว่า “บางทีชายคนนั้นอาจมาถึงแล้ว แต่พวกเราแค่ไม่รู้”
“เอาจริง ๆ นะ ข้าอยากเห็นฝีมือของเขาจริง ๆ…”
เก๋อเฉียนเอ่ยอย่างวาดฝัน
ไม่นานมานี้ หลังจากที่กลับมาจากส่วนลึกของทะเลฮุนหมิงชายแดนทางเหนือของต้าโจว เขาได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับซูอี้ ซึ่งทำเอาเขาตกใจมากจนหลั่งเหงื่อเย็น
เพิ่งผ่านไปนานแค่ไหนกัน ซูอี้กลับทรงพลังมากจนสังหารเทพเซียนเดินดินเหมือนการฆ่าไก่เชือดสุนัข?
หลังจากตกใจ เก๋อเฉียนก็รู้สึกโชคดียิ่งที่ไม่ได้ไปหาเรื่องซูอี้ตั้งแต่แรก มิฉะนั้น เขาจะต้องโชคร้ายแน่!
“เจ้าต้องการต่อสู้กับเขารึ? แม้เขากับเจ้าจะเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เหมือนกัน แต่เจ้ากำลังฝึกฝน ‘ทักษะซ่อนลมหายใจเต่าหางมังกรดำ’ ที่สอนโดยนายท่านผู้นี้ ในแง่ของภูมิหลังและพลังการต่อสู้แล้ว เพียงพอที่จะข้ามไปสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญในโลกนี้ได้ แต่ถ้าเจ้าพบซูอี้จริง ๆ…”
ก่อนที่เสียงชายชราจะพูดจบ เก๋อเฉียนก็เอ่ยขัด “ข้าแค่อยากเห็นฝีมือของเขา แค่มองดูจากห่าง ๆ ใครบอกว่าข้าจะสู้กับเขากัน? ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ!”
เสียงชายชราที่อดกลั้นมานานพลันสบถ “ขี้ขลาด!”
เกลียดนักที่เหล็กไม่ยอมเป็นเหล็กกล้า
เก๋อเฉียนไม่สนใจ
ทันใดนั้น เจ้าของเสียงชายชราเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงรีบพูดว่า “ใช้ทักษะซ่อนลมหายใจเต่าหางมังกรดำต่อไป!”
เก๋อเฉียนตกตะลึงในใจ ด้วยสัญชาตญาณที่ฝึกฝนมาอย่างระมัดระวังหลายปี เขาจึงทำตามที่เสียงของชายชราบอกทันที ใช้ทักษะลับสะกดลมหายใจลงอย่างสมบูรณ์ ทั่วร่างคล้ายไร้ชีวิตกลายเป็นเพียงหินเย็นยะเยือกใต้ก้นทะเล
ฟึ่บ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน จิตสัมผัสที่น่าสะพรึงกลัวได้แผ่ขยายไปทั่วบริเวณทะเลแห่งนี้ ราวกับการลอบมองของเทพเจ้า บีบให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหายใจไม่ออก
ในตอนนั้นเองเก๋อเฉียนพลันหวาดผวา
อีกด้าน ในทะเลไกลออกไปมีลิงยักษ์สีขาวที่สูงเกินหนึ่งจั้งซึ่งดูเหมือนภูเขาลูกเล็ก ๆ อยู่
ดวงตาของลิงยักษ์นั้นกระจ่างใสและสงบนิ่ง มันไขว้แขนไว้ที่อก โดยถือง้าวสีทองที่ยาวราวหนึ่งจั้งไว้ในมือ
บนเบาะนั่งที่ไหล่กว้างข้างซ้ายของมันมีร่างสตรีในชุดคลุมยาวธรรมดานั่งอย่างเกียจคร้าน
สตรีผู้นั้นปลอมตัวเป็นบุรุษ ด้วยริมฝีปากแดงและฟันขาว นางดูหล่อเหลายิ่งนัก ในมือขวานางถือพัดขนนกสีขาวราวหิมะไว้พลางโบกเบา ๆ อย่างเกียจคร้าน
นางมองดูซากปรักหักพังของหอเซียนดาบจากระยะไกล ราวกับมาชมภูเขาและสายน้ำ จากนั้นครู่หนึ่งนางก็แย้มยิ้ม “ฉงหยาง ไปกันเถิด ไปดูที่เกาะไร้หวนก่อนแล้วอีกเดี๋ยวค่อยกลับมาที่นี่กัน”
ลิงยักษ์สีขาวสูงเท่าภูเขา พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวอย่างเคารพ “ขอรับ ท่านอาจารย์”