บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 376 โอกาสวาสนาหนึ่ง
ตอนที่ 376: โอกาสวาสนาหนึ่ง
ตอนที่ 376: โอกาสวาสนาหนึ่ง
หลังจากที่หนึ่งคนหนึ่งวานรไปแล้ว พลังจิตอันน่าพรั่นพรึงซึ่งปกคลุมผืนทะเลแถบนี้จึงได้สลายไป
ใต้มหาสมุทร เก๋อเฉียนผู้ตึงเครียดถึงขีดสุดโล่งอกเสียที
ในจิตวิญญาณของเขา เสียงชราแหบแห้งดังขึ้น “คิดไม่ถึงเลยว่า ในทะเลวิญญาณโกลาหลแห่งนี้จะมีมหาปราชญ์สวรรค์แห่งวิถีวิญญาณมาเยือน!”
เก๋อเฉียนลูบใบหน้าแข็งทื่อของตน พลางส่งเสียงพึมพำ “เหตุใดโลกนี้ถึงได้น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ หรือ… เราควรไปจากทะเลวิญญาณโกลาหลดี?”
เสียงชราแหบแห้งนั้นโมโหจนคำรามลั่น “ข้ามีชีวิตอยู่มานานโข นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนสารเลวขี้ขลาดเช่นเจ้า หนนี้หากเจ้ากล้าออกไปจากที่นี่ ข้ารับรองว่าจะไม่มีวันถ่ายทอดเคล็ดฝึกฝนให้เจ้าอีก!!”
เก๋อเฉียนผงะ ก่อนจะถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “ข้าเพียงแต่พูดไปอย่างนั้น”
ใจเขาเริ่มคิดวางแผน หาทางเอาชีวิตรอดในทะเลวิญญาณโกลาหลซึ่งมีภยันตรายแฝงอยู่ทุกที่…
ภายในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ
ตำหนักโอ่อ่าตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบงดงาม ประดุจเขาวงกตขนาดยักษ์ ร่องรอยจากค่ายกลบรรพกาลอยู่ทุกหนแห่ง
กลางอากาศ มีม่านพลังเขตแดนล่องหนปกคลุมอยู่ ผู้ใดเข้าไปใกล้ ก็จะโดนพลังในเขตแดนถล่ม พลานุภาพระดับนั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดก็ไม่อาจต้านทาน
นั่นก็หมายความว่า… ที่แห่งนี้ไม่อาจบินเหินทางอากาศได้!
ในมือฉินต่งซวีมีแผนที่ลับอยู่แผ่นหนึ่ง เขานำทางทุกคนทะลุทะลวงเข้าไป ราบรื่นตลอดทั้งทาง
แต่ต้นเหตุที่ทำให้พวกเขามีสีหน้าไม่สู้ดี คือตลอดทางนี้ พวกเขาพบสถานที่ซึ่งมีโอกาสวาสนาซ่อนอยู่หลายครั้งหลายครา ทว่าด้านในกลับว่างเปล่าทุกที่ เห็นได้ชัดว่ามีคนชิงตัดหน้าพวกเขาไปแล้ว!
“จะว่าไปแล้ว ท่านได้แผนที่ลับนี้จากใดกัน? หรือเจ้าพวกที่เข้ามาในซากปรักหักพังแห่งนี้ก่อนหน้าเราก็มีแผนที่ลับนี้เช่นกัน”
กู้ชิงโตวถามฉินต่งซวีอย่างอดมิได้
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่ขอปิดบัง แผนที่ลับนี้ พี่เนี่ยสิงคงเป็นผู้ยกให้ข้า ท่านพี่เนี่ย คิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้หรือ”
ขณะที่พูด สายตาฉินต่งซวีหันไปมองเจ้าสำนักดาบมังกรเร้น เนี่ยสิงคง
ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ตอบกลับด้วยใบหน้าราบเรียบ “แผนที่ลับนี้ข้าได้จากสหายสนิทท่านหนึ่ง ส่วนเขาได้มอบให้ผู้อื่นหรือไม่นั้น ข้าไม่อาจทราบได้”
แต่ละคนคิ้วขมวดเล็กน้อย รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
“ขอบังอาจถามท่านพี่เนี่ยสักเล็กน้อย สหายสนิทผู้นั้นของท่านคือใครหรือ”
กู้ชิงโตวนัยน์ตาวาวโรจน์ เอ่ยถามเสียงเข้ม
เนี่ยสิงคงส่ายหัวพลางเอ่ย “เขาเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือทุกท่านก็เห็น ตลอดทางที่เราเดินเข้ามา หากปราศจากการชี้ทางจากแผนที่นี้ น่ากลัวว่าเราคงไม่มาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น”
ข้อนี้… ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้
ในซากปรักหักพังหอเซียนดาบแห่งนี้มีภยันตรายอยู่เต็มไปหมด ร่องรอยค่ายกลมีให้เห็นอยู่ทุกหนแห่ง หากไม่มีการชี้ทางจากแผนที่ลับนี้ เกรงว่าพวกเขาคงพบเคราะห์ร้ายซึ่งอันตรายถึงชีวิตมานับไม่ถ้วนแล้ว
“เดินทางกันต่อเถิด”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง ฉินต่งซวีก็นำทางทุกคนไปต่อ
ซูอี้และฮวาซิ่นเฟิงเดินรั้งท้ายขบวน
หลังจากได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซูอี้ก็ส่งกระแสปราณ “เนี่ยสิงคง ผู้สิงสถิตคนนี้มีพิรุธนัก เป็นไปได้สูงว่าเขาจะสวมบทเป็นหนอนบ่อนไส้ ข้าสงสัยว่าเขาใช้แผนที่ลับเป็นเหยื่อล่อ เพื่อลวงพวกฉินต่งซวีมายังที่นี่”
นัยน์ตาคู่สวยของฮวาซิ่นเฟิงแข็งทื่อไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากเป็นเช่นนั้น ซากปรักหักพังหอเซียนดาบแห่งนี้ก็เป็นกับดักที่ใครบางคนจงใจสร้างขึ้นตั้งแต่แรก?”
“เป็นไปได้ แต่โอกาสวาสนาที่อยู่ในนี้น่าจะเป็นของจริง มิฉะนั้น คงไม่เป็นที่ฮือฮาถึงเพียงนี้แน่”
ซูอี้เอ่ยโดยไม่คิดอะไร
“คุณชาย ท่านว่าเนี่ยสิงคงคิดเหมือนที่เราคิดหรือไม่ อยากได้ทั้งโอกาสวาสนา ทั้งยังอยากยึดส่วนแบ่งผู้อื่น หลอกตาเฒ่าพวกนั้นให้หมด”
คิ้วคู่สวยของฮวาซิ่นเฟิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ซูอี้เอ่ยนิ่งๆ “ถ้าอย่างนั้นต้องมาดูกันหน่อย ว่าผู้ที่ร่วมมือกับเนี่ยสิงคงมีความสามารถถึงเพียงนั้นหรือไม่”
“ให้ตาย! สมุนไพรวิญญาณที่เจริญเติบโตในบ่อน้ำทิพย์นี้เพิ่งจะโดนเด็ดไปเห็น ๆ!”
พวกซูอี้เดินเข้ามาในดงสิ่งปลูกสร้างหนึ่ง
ที่นี่มีตำหนักเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่มากมาย จุดศูนย์กลางเป็นสนามกว้างร้อยจั้ง ด้านข้างของสนามคือสระน้ำรัศมีราว ๆ สามจั้ง
สระน้ำแห้งเหือดไปนานแล้ว เหลือเพียงโคลนดำจำนวนหนึ่ง
เวลานั้น โหยวฉางคงเอื้อมมือไปจับรากบางส่วนที่ยังอยู่ในกองโคลน ซึ่งยังมีพลังปราณจิตวิญญาณบางส่วนหลงเหลืออยู่
เห็นได้ชัดว่าเป็นสมุนไพรวิญญาณสุดล้ำค่า ทว่าถูกใครบางคนชิงเด็ดตัดหน้าไปก่อน
เป็นเหตุผลให้โหยวฉางคงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
อุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายดั้นด้นมาถึงซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ ทว่าตลอดทางที่ผ่านมา บริเวณซึ่งควรมีโอกาสวาสนากลับไร้ซึ่งสิ่งใด คล้ายกับว่าโดนผู้อื่นชิงตัดหน้าอยู่เสมอ! …ความรู้สึกนี้ช่างแย่เหลือเกิน!
ฉินต่งซวีสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยกำชับ “ค้นหาสิ่งปลูกสร้างใกล้ ๆ นี้ ดูว่ามีโชคลาภใดที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่พบหรือไม่”
ฉับพลันนั้น ทุกคนแยกย้ายกันลงมือ
ซูอี้กำยันต์ลับ ‘สืบวิญญาณ’ ไว้ ชั่วพริบตานั้น คล้อยตามการกระตุ้น ไม่นานนัก ยันต์ลับสั่นสะเทือนเล็กน้อย เกิดคลื่นกระเพื่อมรอบบริเวณ
“มาทางนี้”
ซูอี้สัมผัสได้ถึงคลื่นที่กระเพื่อมสั่นไหว จึงรุดหน้าไปทางตำหนักหนึ่งซึ่งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับฮวาซิ่นเฟิง
นับแต่เข้ามาในดงซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ เขาก็กำยันต์ลับสืบวิญญาณนี้อยู่ในมือตลอด ตลอดทาง ชายหนุ่มได้ใช้ยันต์ดังกล่าวเพื่อสัมผัสถึงโชคลาภโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน
ทว่าไม่พบสิ่งใดเลย
และในตอนนี้เอง ที่ยันต์ลับแผ่นนี้มีปฏิกิริยาในที่สุด!
ภายในตำหนักทิศตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อซูอี้และฮวาซิ่นเฟิงเข้ามาในนี้ ซางลั่วอวี่และลิ่นอวี๋เปยก็อยู่ในนี้เช่นกัน
ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าโต๊ะอักษรซึ่งเต็มไปด้วยม้วนหนังสือ และกำลังเปิดอ่านม้วนหนังสือไปทีละม้วน
แต่สาเหตุที่ทั้งคู่ขมวดคิ้ว คือทั้งหมดนั้นล้วนเป็นม้วนภาพวาด มีภาพดอกไม้นกปลา เทือกเขาสายน้ำ สุริยาจันทรา และทิวทัศน์อื่น ๆ มากมาย
มีแต่ของธรรมดา ไร้ซึ่งสิ่งน่าสนใจ
ตอนที่ซูอี้และฮวาซิ่นเฟิงเข้ามา พวกซางลั่วอวี่สองคนได้เปิดดูม้วนภาพวาดเหล่านั้นอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่งแล้ว และโยนทิ้งเกลื่อนพื้นไปหมด
พอเห็นซูอี้และฮวาซิ่นเฟิง ซางลั่วอวี่ก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย นัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบ แล้วหมุนตัวจากไป
ลิ่นอวี๋เปยยิ้มน้อย ๆ เอ่ยขึ้น “ที่นี่มิมีสิ่งใดน่าสนใจ ทั้งสองท่านเชิญตามสะดวก”
พูดจบ เขาเองก็หมุนตัวจากไป
“เมื่อก่อนสองคนนี้ต่างเห็นว่าอีกคนเป็นศัตรูคู่อาฆาตไม่ใช่หรือ?”
ฮวาซิ่นเฟิงประหลาดใจนิดหน่อย
“สนใจเรื่องพวกนี้ไปเพื่อสิ่งใด”
ซูอี้ส่ายหน้ายกใหญ่ สายตากวาดผ่านม้วนภาพที่กระจายเกลื่อนกลาด ผ่านไปครู่ใหญ่ มุมปากพลันยกยิ้มเป็นเส้นโค้ง “หอเซียนดาบแห่งนี้ต้องเป็นสำนักอสูรปีศาจอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางครอบครอง ‘วิชาลวงตาดาราสวรรค์’ ซึ่งเป็นวิชาลับเก่าแก่ของวิถีปีศาจแน่นอน”
วิชาลวงตาดาราสวรรค์?
ฮวาซิ่นเฟิงผงะ
เห็นเพียงซูอี้สะบัดแขนเสื้อ เก็บม้วนภาพเกลื่อนกลาดขึ้นมาจนหมด ซึ่งมีทั้งหมดสามสิบหกม้วนด้วยกัน
จากนั้น เขาก็เข้ามาอยู่เบื้องหน้าโต๊ะอักษร และได้เห็นเส้นตรงสามสิบหกเส้นที่สลักฉวัดเฉวียนตวัดพันมั่วอยู่บนพื้นผิวโต๊ะอักษร
เขาดีดนิ้ว เปลวเพลิงหนึ่งลุกโชนอยู่บนโต๊ะอักษร
เปรี๊ยะ!
แสงไฟวาวโรจน์ เส้นตรงบนโต๊ะอักษรเหล่านั้นราวกับมีชีวิตขึ้นมาอย่างเงียบงัน ลอยละล่องขึ้นมาอยู่กลางอากาศ เรียงตัวกันเป็นภาพลึกลับภาพหนึ่ง เปรียบเสมือนดวงดาวสามสิบหกดวงที่กำลังโคจรกันอยู่
ภาพนี้ ส่งผลให้ฮวาซิ่นเฟิงตาเป็นประกาย
ก่อนที่…
ซูอี้ยกมือขึ้น ม้วนภาพสามสิบหกม้วนจะคลี่ออกทีละม้วนอยู่ในอากาศ พร้อมกับพุ่งไปยังภาพลึกลับที่ลอยอยู่
ภาพอันน่าเหลือเชื่อบังเกิด
เมื่อแต่ละม้วนภาพสัมผัสกับภาพลึกลับภาพนั้น พลันกลายเป็นลำแสง หลอมรวมเข้ากับดวงดาวแต่ละดวงในภาพลึกลับ
ม้วนภาพสามสิบหกม้วน ประจวบเหมาะกับดวงดาวสามสิบหกดวง
เคว้ง!
เมื่อม้วนภาพทุกม้วนหายไป ภาพลึกลับนั้นเปล่งแสงดาวเจิดจรัสอีกครา ฉับพลันนั้น หลอมรวมกลายเป็นม้วนหยกโบราณสีทองหนึ่งม้วน
ฮวาซิ่นเฟิงอดสะท้านใจมิได้ เปลี่ยนความตกต่ำสู่ความอัศจรรย์ก็เท่านี้เอง!
หากไม่ได้เห็นกับตา น่ากลัวว่านางเองก็คงเป็นเช่นเดียวกับซางลั่วอวี่และลิ่นอวี๋เปย เห็นม้วนภาพเหล่านั้นเป็นของธรรมดาจึงเมินเฉยไป
ซูอี้คว้าม้วนหยกโบราณสีทองมาไว้ในมือ ใช้จิตสัมผัสสอดส่องด้านใน และได้เห็นบันทึกด้านในเกี่ยวกับวิชาลับด้านจิตวิญญาณซึ่งมีนามว่า ‘วิชาเทวะหลอมดารา’ นับว่าเร้นลับไม่เบา เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาจิตวิญญาณโบราณแขนงหนึ่ง
ทว่าซูอี้กลับผิดหวังนิดหน่อย
เขาหาได้ขาดแคลนเคล็ดวิชาฝึกฝน สำหรับชายหนุ่มแล้ว ต่อให้ม้วนหยกโบราณสีทองนี้บันทึกเรื่องราวซึ่งเกี่ยวข้องกับหอเซียนดาบ มันก็นับว่าดีกว่าเคล็ดวิชาจิตวิญญาณนี้มาก!
“คุณชาย ในนั้นบันทึกเรื่องใดไว้หรือ”
ฮวาซิ่นเฟิงเอ่ยด้วยความใคร่รู้
ซูอี้กำลังจะยื่นม้วนหยกโบราณสีทองให้ ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นก็ส่งมาจากประตูใหญ่
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณท่านโจวที่ลงมือให้ ช่วยให้ข้าและแม่นางลั่วอวี่ได้ประจักษ์ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของโอกาสวาสนานี้”
รับชมเห็นลิ่นอวี๋เปยกับซางลั่วอวี่เดินเข้ามาด้วยกัน
ลิ่นอวี๋เปยหน้าตาเบิกบานด้วยความยินดี
ส่วนหน้าตาซางลั่วอวี่ฉายแววตะลึงอยู่แวบหนึ่ง ราวกับคิดไม่ถึงว่าซูอี้จะสามารถคลายปริศนาในม้วนภาพธรรมดา ๆ เหล่านั้นจนได้โอกาสวาสนามา
“ท่านโจว โปรดคืนม้วนหยกโบราณสีทองนี้ให้พวกเราด้วยเถิด”
ลิ่นอวี๋เปยก้าวไปด้านหน้า เอ่ยด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “เพื่อเป็นการตอบแทน เมื่อกลับถึงต้าฉิน ข้าขอเลี้ยงสุราท่านโจวให้อิ่มหนำ”
ซูอี้อืมออกมาคำหนึ่ง
ฮวาซิ่นเฟิงหลุดขำอย่างอดไม่ได้ “ลิ่นอวี๋เปย ท่านเองเป็นถึงหัวหน้าจวนดาบหงเหลียน มีชื่อเสียงไม่น้อย ไยจึงพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้?!”
รอยยิ้มของลิ่นอวี๋เปยเจื่อนลง ขมวดคิ้วพลางกล่าว “ทั้งสองท่าน ที่แห่งนี้ข้าเป็นผู้ค้นพบกับแม่นางลั่วอวี่ มิหนำซ้ำ พวกเราทั้งสองได้ตรวจสอบม้วนภาพเหล่านั้นแล้วด้วย เพียงแต่ในเวลานั้นพวกเรามิทันได้ค้นพบความเร้นลับในนั้น”
ฮวาซิ่นเฟิงโมโหจนคิ้วตั้ง
คนตาบอดยังดูออกเลยว่าลิ่นอวี๋เปยเข้ามาแย่งโอกาสวาสนา
นางกำลังจะว่ากล่าวบางอย่าง ทว่าหน้าทางเข้าโถงใหญ่ คนใหญ่คนโตอย่างฉินต่งซวี กู้ชิงโตว เฉิงเจิน และคนอื่น ๆ พลันทยอยเข้ามา
เมื่อเห็นม้วนหยกโบราณสีทองในมือซูอี้ คนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่างก็ตาเป็นประกายกันหมด พร้อมกับอึ้งเล็กน้อย
นับตั้งแต่เข้ามาในหอเซียนดาบจวบจนบัดนี้ นี่เป็นโอกาสวาสนาแรกที่พวกเขาค้นพบ
ทว่าใครเล่าจะคิด โอกาสวาสนานี้จะถูกค้นพบโดยโจวอี้ผู้มาจากต้าเซี่ย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ฉินต่งซวีถาม
สีหน้าลิ่นอวี๋เปยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
โดยพูดเป็นนัยว่าเขาและซางลั่วอวี่เป็นฝ่ายพบโอกาสวาสนานี้ก่อน ดังนั้นโอกาสวาสนานี้สมควรเป็นของเขาและซางลั่วอวี่
คนใหญ่คนโตระดับนี้จอมเจ้าเล่ห์กันทั้งนั้น มีหรือจะดูไม่ออกว่าลิ่นอวี๋เปยแถอย่างไร้เหตุผล หมายจะแย่งโอกาสวาสนานี้?
ในตอนนั้นเอง ซางลั่วอวี่จึงเอ่ยเสียงใส “ผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าและลิ่นอวี๋เปยได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะยกโอกาสวาสนานี้ให้พวกเราทุกคนได้ศึกษาจนแตกฉาน”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอื้อนเอ่ย พวกฉินต่งซวีก็คล้อยตามขึ้นมาทันที