บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 377 คัมภีร์วิญญาณปีศาจแท้
ตอนที่ 377: คัมภีร์วิญญาณปีศาจแท้
ตอนที่ 377: คัมภีร์วิญญาณปีศาจแท้
สีหน้าของฮวาซิ่นเฟิงอึมครึมลง เจ้าซางลั่วอวี่สารเลวคนนี้… คิดทำตัวมือเติบด้วยสมบัติของผู้อื่น!
ซูอี้ยืนอยู่ที่เดิมตั้งแต่แรก ท่าทางนิ่งเฉย สังเกตการณ์เงียบเชียบ
ทว่า ตอนที่ได้ยินคำพูดของซางลั่วอวี่ เขาก็อดขำมิได้
“ท่านโจวคิดเห็นอย่างไร” สายตาฉินต่งซวีทอดมองซูอี้
เหล่าผู้อาวุโสคนใหญ่คนโตผู้อื่นก็พากันมองไป
แรงกดดันที่มองไม่เห็น พลันพุ่งตรงมายังซูอี้
เห็นดังนั้น สายตาลิ่นอวี๋เปยและซางลั่วอวี่ฉายแววสมน้ำหน้าขึ้นมานิดหน่อย
“เคล็ดวิชาฝึกฝนจิตวิญญาณเช่นนี้ ย่อมยกให้พวกท่านได้อยู่แล้ว”
ซูอี้โยนม้วนหยกโบราณให้ลั่วซางอวี่ด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับโยนกระดูกให้หมา
แต่ในส่วนลึกของใจซูอี้ จิตสังหารได้บังเกิดขึ้นแล้ว
ซูเสวียนจวินผู้นี้ยึดหลักการ ‘สิ่งที่ให้ เจ้าย่อมหยิบไปได้ ทว่าสิ่งที่ไม่ให้ เจ้ามิควรแย่ง!’ มาโดยตลอด
ต่อให้เป็นกระดูกให้หมากินก็ไม่ได้!
ทุกคนแปลกใจนิดหน่อย ราวกับไม่คิดว่าคนหนุ่มจากต้าเซี่ยผู้นี้จะรู้หน้าที่ถึงเพียงนี้
จากนั้น ทุกคนก็หัวเราะกันหมด
“ไม่เลว ท่านโจวทำเช่นนี้ เรียกได้ว่ามีคุณธรรมสูงส่ง พวกข้านับถือ”
ฉินต่งซวีพยักหน้าด้วยความพอใจ
หน้าตาคนใหญ่คนโตอื่น ๆ ก็ดีขึ้นไม่น้อย
มีเพียงซางลั่วอวี่ที่รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะตอนที่นัยน์ตาลุ่มลึกราบเรียบชำเลืองมองตัวเองด้วยสายตาประหนึ่งมองคนที่ตายไปแล้ว ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
‘คนผู้นี้คงแค้นข้าเข้ากระดูกเลยล่ะสิ?’
ซางลั่วอวี่พึมพำในใจ นางส่ายหัวราวกับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่และไม่อยากคิดให้มากกว่านี้
เจ้าคนที่มาจากต้าเซี่ย ล่วงเกินก็ล่วงเกินไปเถิด ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
ไม่นานนัก พวกเขาก็ออกจากพื้นที่นี้ เดินทางต่อไปยังส่วนในหอเซียนดาบที่ลึกกว่านี้
ระหว่างทาง พวกฉินต่งซวีส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงไม่ขาดสาย
พวกเขาได้เห็น ‘วิชาเทวะหลอมดารา’ ในม้วนหยกโบราณสีทอง จึงตระหนักได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนจิตวิญญาณที่หาได้ยากยิ่ง แต่ละคนจึงหน้าตาปีติประหนึ่งได้ครอบครองสมบัติล้ำค่า
แม้แต่ลิ่นอวี๋เปยกับซางลั่วอวี่ก็ดีใจมากเช่นกัน
ทำเอาซูอี้ที่รับชมอดที่จะส่ายหัวกับตัวเองไม่ได้
เพียงเคล็ดวิชาฝึกฝนจิตวิญญาณแขนงหนึ่งเท่านั้น พวกเขากลับยินดีปรีดาออกนอกหน้า อย่างกับพวกขอทานที่ไม่เคยพบเจอสิ่งล้ำค่าแท้จริง!
“คุณชาย ท่าน…. ท่านไม่โกรธจริงหรือ?”
ฮวาซิ่นเฟิงส่งกระแสปราณถาม ระหว่างทางนางคอยสังเกตสีหน้าซูอี้อยู่ตลอด แต่กลับพบว่าฝ่ายหลังไม่มีท่าทีไม่สบอารมณ์หรือโมโหแต่อย่างใด
“ไม่คุ้มหรอก” ซูอี้ตอบโดยไม่คิดอะไร
ไม่ถึงขั้นโกรธ ทว่าจิตสังหารอยากฆ่าคนย่อมมี และรุนแรงมากเสียด้วย!
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี รอให้เราค้นพบโอกาสวาสนาก่อน ค่อยจัดการตาแก่พวกนั้น โดยเฉพาะนังซางลั่วอวี่ ข้าขอสั่งสอนนางเอง!”
เมื่อพูดถึงซางลั่วอวี่ ฮวาซิ่นเฟิงแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
สองวันก่อน ในงานรื่นเริงที่หมู่บ้านเทียนสุ่ย ผู้หญิงคนนี้ในฐานะศิษย์สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน กลับยอมแตกหักกับอาจารย์อวิ๋นหลางของสำนักตน เพื่อให้ได้ร่วมมือกับพวกฉินต่งซวี
และหลังจากนั้น ตอนที่พวกฉินต่งซวีต้องการหยั่งเชิงพลังของซูอี้ ผู้หญิงคนนี้กลับออกหน้าออกตา หมายจะประชันฝีมือกับซูอี้โดยไม่รู้ที่ต่ำที่สูง
หากไม่ใช่เพราะฉินฝูยื่นมือเข้ามายุ่ง คงได้โดนซูอี้ทำร้ายไปแล้ว
และตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ยิ่งหนักข้อ ยึดครองโอกาสวาสนาที่ซูอี้ค้นพบเป็นของตัวเอง และมอบให้กับพวกฉินต่งซวี!
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จะไม่ให้ฮวาซิ่นเฟิงเคียดแค้นได้อย่างไร?
“เมื่อนกน้อยที่ขนยังขึ้นไม่ครบไม่รับพลังปานเหยี่ยว ย่อมผยองจองหองอย่างอดไม่ได้เป็นธรรมดา”
ซูอี้ออกความเห็น “อย่างเช่นซางลั่วอวี่ พอได้รับการยอมรับจากดาบโบราณเทียนเซี่ย นอกจากนางจะได้รับพลังแล้ว ยังมีจิตใจอันโอหังทะนงตนด้วย”
ฮวาซิ่นเฟิงได้ยินดังนั้น ก็ถึงคราวกระจ่าง
คนเรามีดีที่รู้จักประเมินตน
ทว่าสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งก็คือการประมาณตน
“นี่มัน?”
ทันใดนั้น พวกฉินต่งซวีชะงักฝีเท้า มองตรงไปยังที่ซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนักด้วยความตะลึง
ด้านหน้าเป็นสถานที่คล้ายลานประลอง กว้างใหญ่ไพศาล บนพื้นวาววับนั้นมีศพนอนอยู่สิบกว่าศพ
มีทั้งชายและหญิง คนชราแลเยาว์วัย รูปการณ์ตายสุดแสนอนาถ ทั้งยังมีเลือดไหลออกจากศพอยู่เรื่อย ๆ
ทุกคนใจสั่นกันหมด และพากันระวังตัวขึ้นมา
ที่ผ่านมาทั้งทาง พวกเขามีแผนที่ลับคอยนำทิศ มิเคยต้องพานพบอันตรายใด ๆ ซึ่งนับว่าผิดปกติมหันต์อยู่แล้ว
จวบจนได้เห็นศพพวกนั้น ทุกคนถึงกับหนาวสะท้านขึ้นมา และรู้สึกผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกท่านดูนี่ นี่คือเจ้าสำนักจวนดาบจื่อเฟิง หลิ่วโม่เหิน!”
กู้ชิงโตวสูดหายใจเข้าลึก มองศพหนึ่งในนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมดำ หว่างคิ้วมีรูเลือดอยู่รูหนึ่ง หน้าอกระเบิด ท่าทางการตายชวนขนลุกนัก
สีหน้าพวกฉินต่งซวีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิ่วโม่เหินเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นกลางที่มีชื่อเสียงมานานหลายปี นับเป็นตัวตนระดับแนวหน้าในต้าฉินเช่นกัน
แต่ตอนนี้ ศพของเขากลับนอนอยู่ที่นี่!
“สวรรค์! นี่มันเจ้าสำนักจวนดาบแปดขั้ว โม่หานจือ ผู้ฝึกปีศาจขอบเขตไร้เบญจธัญ ลั่วถู และผู้ฝึกตนพเนจรเขาสุริยัน เถี่ยโม่ฉู่!”
เสียงตะลึงอีกเสียงดังขึ้น และก็เห็นโหยวฉางคงตาโต หน้าตื่นตระหนก
คนอื่น ๆ ในที่นี้มองหน้ากันไปมา สีหน้าฉายแววเคร่งเครียด
ศพแล้วศพเล่า เมื่อครั้งยังมีชีวิตล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนที่เลื่องชื่อในอาณาจักรต้าฉิน แค่กระทืบเท้าก็ทำให้แว่นแคว้นหนึ่งสั่นสะเทือนได้ เป็นคนระดับเทพเซียนที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปได้แต่แหงนมอง
ทว่าบัดนี้ กลับตายอยู่ที่นี่… ทั้งยังตายอย่างน่าสยดสยอง!
“นี่พวกเขาพบเข้ากับสิ่งใดกัน?”
ฉินต่งซวีสงสัยระคนตะลึง
เฉิงเจินประกบมือ เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง “สถานที่แห่งนี้ไร้ร่องรอยการต่อสู้ มิหนำซ้ำสมบัติที่ติดตัวศพเหล่านี้ถูกกวาดไปสิ้น หากอาตมามองไม่ผิด พวกเขาคงถูกผู้อื่นปลิดชีพและนำศพมาทิ้งไว้ที่นี่”
ทุกคนถึงสังเกตว่าเป็นดั่งที่เฉิงเจินกล่าว ในพื้นที่ระแวกใกล้เคียงไม่มีร่องรอยที่ดูหลงเหลือจากการต่อสู้จริง ๆ และศพเหล่านั้นก็ไม่มีสมบัติติดตัวด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่เป็นการฆ่าแล้วนำศพมาทิ้ง!
“หรือจะเป็นฝีมือของถงซิงไห่ ประมุขพรรคมารหยิน และพวกมารนอกรีตนั่น?”
ฉินต่งซวีมีสีหน้าอึมครึมไม่บอกอารมณ์
“ศพพวกนี้ยังอุ่นอยู่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน หากเป็นตามที่คาด ในเส้นทางหลังจากนี้ เป็นไปได้สูงว่าพวกเราเองก็จะเจอกับการสังหารปล้นสะดมเช่นนี้”
เฉิงเจินเอ่ยเสียงแผ่ว
ขณะที่พูด สายตาของเขาทอดมองไปยังส่วนที่ลึกลงไปในซากปรักหักพัง “ทุกท่านโปรดดู ในจุดที่ห่างออกไปไกล ๆ นั่น มีไอหมอกหนาแน่น เกิดลำแสงพุ่งทะลวงนภา!”
ฟึ่บ!
สายตาทุกคู่หันมองอย่างพร้อมเพรียง
และได้เห็น จุดที่ห่างออกไปไกล ๆ มีแสงเจิดจรัสงดงามดูศักดิ์สิทธิ์หมุนวน แสงอันเจิดจ้านั้นราวกับแตะต้องได้ เผยให้เห็นถึงความขลังและโอ่อ่า
“โอกาสวาสนาที่ถูกฝังอยู่ในหอเซียนดาบแห่งนี้ ต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน!”
ลิ่นอวี๋เปยตาลุกวาว
“แต่ที่นั่นมีเคราะห์ร้ายน่ากลัวดักรออยู่เช่นกัน หากพวกเราเข้าไป เป็นไปได้ว่าต้องเผชิญกับภยันตรายที่ศพเหล่านี้พานพบแน่”
เฉิงเจินเอ่ยเสียงเข้ม
ทุกคนมีสีหน้าสับสน เริ่มไขว้เขวขึ้นมา
เมื่อได้เห็นภาพเหล่านี้แล้ว ซูอี้ก็นึกขำในใจ โอกาสวาสนาในโลกนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะครอบครองง่ายดายโดยไม่ต้องผ่านอันตรายใด ๆ?
“ท่านว่าเราควรมุ่งหน้าต่อหรือไม่?”
ฉินต่งซวีหันมองเฉิงเจิน
“ไปดูหน่อยคงมิเป็นไร”
เฉิงเจินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แต่ทว่า หนทางหลังจากนี้ ทุกคนโปรดเตรียมตัวเข่นฆ่าสุดกำลังไว้ด้วย ห้ามประมาทและชะล่าใจเด็ดขาด หากพบความเปลี่ยนแปลงที่อันตรายถึงชีวิต ต้องล่าถอยในทันที อย่าได้หลงมัวเมาไปกับการต่อสู้เป็นอันขาด เทียบกับโอกาสวาสนาแล้ว การมีชีวิตรอดย่อมสำคัญที่สุด”
ทุกคนพยักหน้ากันหมด และเรียกอาวุธของตัวเองออกมา พลังปราณพลุ่งพล่านพร้อมลงมือทุกขณะ
เบื้องหน้าฮวาซิ่นเฟิงวุ่นวายไปชั่วขณะ อาวุธในมือตาเฒ่าพวกนั้นไม่มีชิ้นใดมิใช่ศาสตราวิถีต้นกำเนิด แต่ละอย่างต่างมีความเร้นลับและอานุภาพของตนเอง
เอื๊อก!
นางลอบกลืนน้ำลาย ส่งกระแสปราณหาซูอี้ด่วนจี๋ “คุณชาย หลังจากนี้เราควรทำอย่างไรกันดี?”
ซูเย่ยัด ‘ยันต์แทนกาย’ ใบหนึ่งให้ฮวาซิ่นเฟิงโดยมิให้ผู้ใดรู้ตัว พร้อมกล่าว
“จำที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบอาจเป็นกับดักที่ถูกจัดแจงไว้อย่างรัดกุม เมื่อถึงจุดที่ลำแสงทะลวงนภานั่น ย่อมต้องเกิดการต่อสู้ที่ไม่อาจคาดเดาได้แน่!”
“ถึงเวลานั้น พอจับสถานการณ์ได้แล้ว ค่อยหาโอกาสลงมือก็ยังไม่สาย”
“เจ้าเก็บยันต์แทนกายนี้ไว้ให้ดี หากเกิดอันตรายถึงชีวิตเมื่อใด บีบยันต์ให้แหลก มันจะช่วยเจ้าได้”
ได้ฟังดังนั้น ฮวาซิ่นเฟิงก็สงบสติอารมณ์ พร้อมพยักหน้า
ในไม่ช้า คนทั้งหมดจึงรุดหน้าต่อ
ตลอดทางยังคงสงบราบรื่นตามเดิม ไม่เกิดอันตรายใด ๆ ขึ้น
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกฉินต่งซวีก็ยิ่งเกิดความระแวงขึ้นในใจ แต่ละคนตึงเครียดประหนึ่งธนูที่ขึ้นคัน พร้อมยิงออกไปทุกเมื่อ
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงจุดที่เกิดลำแสงทะลวงนภา
และได้เห็นม่านแสงสูงพันจั้ง จุติลงจากฟากฟ้า ตำหนักสูงใหญ่โอ่อ่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางแสงนั้น
หน้าตำหนักมีบันไดหินสามสิบสามขั้น แต่ละขั้นสูงเก้าจั้งทั้งสิ้น ไม่เหมือนฝีมือมนุษย์
สองด้านของบันไดหินมีรูปปั้นตั้งอยู่ทุกขั้น
รูปปั้นเหล่านั้นมีรูปร่างประหลาด ล้วนเป็นปีศาจดุร้ายชนิดต่าง ๆ ดูราวกับมีชีวิต แต่ไม่มีรูปปั้นใดเป็นรูปมนุษย์เลย
ปลายทางบันไดหินคือประตูใหญ่ของตำหนัก มีเสาหินมหึมาสองต้นซึ่งมีมังกรใหญ่ตวัดเกลียวคอยค้ำจุน บนเสาหิน มีตัวอักษรสีทองรูปร่างประหลาดทว่าฝังลึกสลักไว้หนึ่งบรรทัด
แค่ประตูตำหนักก็สูงถึงเก้าจั้ง ราวกับถูกหลอมขึ้นด้วยทองเทวะ ปิดแน่นสนิท ราวกับไม่เคยเปิดเลยในเวลาที่ผ่านมา
ด้านบนเหนือประตูหลักตำหนักมีป้ายหนึ่งแขวนอยู่ เป็นตัวอักษรสีทองรูปร่างบิดเบี้ยวสลักอยู่บนนั้น
เมื่อได้มองตำหนักสูงใหญ่โอ่อ่า และลำแสงเจิดจ้าศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จากที่ไกล ๆ พวกฉินต่งซวีก็รู้สึกตัวเล็กขึ้นมา
ประหนึ่งมดปลวกที่ได้มาอยู่บนวังเทวะที่เทพเจ้าสถิต ชวนสะท้านใจอย่างมาก
“ตำหนักโอ่อ่าเช่นนี้ ดูราวกับในเรื่องเล่าตำนาน!”
โหยวฉางคงอุทานด้วยความทึ่ง
“อักษรสีทองสามตัวบนป้ายนั้นต้องเป็นคำว่า ‘หอเซียนดาบ’ เป็นแน่แท้”
ฉินต่งซวีเอ่ยเสียงเบา
เขาเองก็เฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ไม่รู้จักอักษรสีทองประหลาดเหล่านี้ จึงทำได้เพียงแยกแยะด้วยความคาดเดา
อย่างไรเสีย ที่นี่ก็เป็นซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ
“คุณชาย ท่านรู้จักอักษรสีทองเหล่านั้นหรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงส่งกระแสปราณถาม
“นี่คือหนึ่งในเก้าอักษรบนคัมภีร์วิญญาณปีศาจแท้ซึ่งเก่าแก่ที่สุด มันถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยสัตว์ร้ายบรรพกาล ‘ไป๋เจ๋อ’*[1] แต่ไม่นิยมแพร่หลายในโลกฝึกฝนเท่าใด มีเพียงลูกหลานสืบสายเลือดของไป๋เจ๋อและสาวกถึงจะศึกษาอักษรคัมภีร์วิญญาณปีศาจแท้อันเก่าแก่นี้ได้”
ซูอี้เอ่ยเล่าที่มาของอักษรสีทองได้อย่างง่ายดาย “ฉินต่งซวีเดาไม่ผิด อักษรบนป้ายนั้นคือคำว่าหอเซียนดาบจริง ๆ”
ฮวาซิ่นเฟิงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
นางเพียงแปลกใจ ถึงถามไปเช่นนั้น
ไม่คิดเลยว่าซูอี้จะรู้จริง ๆ ท่าทางคุ้นชินประหนึ่งว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ควรรู้!
[1] ไป๋เจ๋อ คือสัตว์ในตำนานของจีน มีลักษณะลำตัวเหมือนสิงโต มีเขาสองข้าง และมีเคราเหมือนแพะ