บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 378 ท่านประมุข
ตอนที่ 378: ท่านประมุข
ตอนที่ 378: ท่านประมุข
ซูอี้ไม่ทันสังเกตหน้าตาตะลึงของฮวาซิ่นเฟิง สายตาของเขาทอดมองเสาหินข้างประตูใหญ่ทั้งสองฝั่ง
เมื่อได้พินิจแล้ว เขาก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “กลอนคู่แปดนี้น่าสนใจ”
“คุณชาย หรือกลอนคู่แปดบนเสาหินจะมีความนัยแฝงอยู่”
ฮวาซิ่นเฟิงถาม
“เปล่า นี่คือกลอนคู่แปดที่แสดงถึงมหาวิถี เห็นทีคงเป็นสิ่งที่บรรพชนผู้ก่อตั้งหอเซียนดาบทิ้งไว้ให้”
พูดไป ซูอี้ก็อ่านกลอนคู่แปดบนเสาหินออกเสียง
“หลับฝันถึงชมพูทวีป หัวเราะอดีต หัวเราะปัจจุบัน หัวเราะสี่ทิศ หัวเราะไปหัวเราะมา ใครเล่าจะรู้ว่าฟ้าดินในห้วงฝันใหญ่เพียงใด”
“สงบจิตสงบใจ พินิจเรื่องราวผู้คน พินิจฟ้าดินสุริยันจันทรา พินิจบน พินิจล่าง รับรู้ได้ว่าวันเวลาผ่านมานานเท่าใด”
ฟังจบ ฮวาซิ่นเฟิงไตร่ตรองในใจอยู่อีกหลายรอบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสายตางุนงง “มีความนัยลึกซึ้งอย่างไรหรือ?”
“หากไม่ถึงขั้น ย่อมไม่อาจสัมผัสถึงความหมายในนั้น หากอธิบายสิ่งที่เจ้าของกลอนคู่แปดคิดอยู่ในประโยคเดียว เห็นทีคงจะเป็น ‘มวลบุปผาผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ พระจันทร์เจิดจ้าบนท้องฟ้ารัตติกาล’ กระมั่ง”
ซูอี้กล่าวต่อ “เมื่อพิจารณาจากสิ่งนี้แล้ว ระดับการฝึกฝนของคนผู้นี้คงสูงถึงขอบเขตจักรพรรดิ ซึ่งลือกันว่าหอเซียนดาบแห่งนี้เคยมีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ มีพลังที่สะท้านไปทั้งฟ้าดิน เห็นทีคงจะเป็นคนผู้นี้”
ฮวาซิ่นเฟิงสูดหายใจเข้าลึก
แค่กลอนคู่แปดคู่เดียวก็วิเคราะห์จิตใจของอีกฝ่ายได้ และแน่ใจได้ว่าเป็นสิ่งที่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิทิ้งเอาไว้!?
นี่มันน่ากลัวไปหรือเปล่า?
อีกอย่าง คนคนนี้ยังรู้จักเก้าอักษรจากสมัยบรรพกาล แล้วยังทราบที่มาของคัมภีร์วิญญาณปีศาจแท้ด้วย!
มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาไม่รู้อีกหรือ?
ขณะที่ทั้งคู่สนทนากัน พวกฉินต่งซวีได้กระโดดขึ้นไปตามบันไดหินทีละขั้น ทีละขั้น
เบื้องหน้า บันไดหินทุกขั้นสูงเก้าจั้ง ทำให้คนทั่วไปจำต้องปีนป่ายเท่านั้นถึงจะขึ้นไปได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตน เพียงกระโจนตัวเบา ๆ ก็ไต่ขึ้นไปได้แล้ว
สายตาซูอี้กวาดมองรูปปั้นหินที่ตั้งอยู่สองข้างทางบันไดหินทั้งสามสิบสามขั้น สายตาแข็งทื่อไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งกระแสปราณหาฮวาซิ่นเฟิง
“เตรียมใช้ยันต์แทนกาย”
ฮวาซิ่นเฟิงใจสะท้าน สูดหายใจเข้าลึก กำยันต์แทนกายที่ซูอี้ให้มาในมือแน่น
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินเหตุ ข้าได้สังเกตการณ์มาแล้ว พลังผนึกบนประตูใหญ่ตำหนักยังอยู่ คงยังไม่มีผู้ใดทลายได้”
ซูอี้ส่งกระแสปราณบอก “แต่ประเดี๋ยวหากเกิดเหตุอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต พวกเราต้องเข้าไปในตำหนักก่อนเพื่อแย่งชิงโอกาสวาสนา”
ฮวาซิ่นเฟิงผงะ หรือคนผู้นี้จะมีวิธีทลายพลังผนึกบนประตูใหญ่ตำหนักแล้ว?
ขณะที่กำลังขบคิด คนทั้งหมดขึ้นไปถึงบันไดหินขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
ที่แห่งนี้กว้างขวางนัก ไม่รู้ว่าพื้นปูด้วยวัตถุวิญญาณใด ถึงได้วาววับดั่งกระจก แสงเทวะเปล่งปลั่ง เมื่อยืนอยู่บนนั้น ประดุจยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆม่านหมอก
ส่วนประตูใหญ่สองบานของตำหนักซึ่งปิดสนิทอยู่สูงถึงเก้าจั้ง คลับคล้ายว่าสร้างจากทองเทวะ ภาพทิวทัศน์พงไพรมากมายสลักอยู่บนนั้น บ้างมีวิหคเทวะทะลุทะลวงอยู่บนนภา บ้างมีอสูรดุร้ายกระทืบขุนเขาลำธาร
บ้างมีต้นไม้โบราณกิ่งก้านพลิ้วไหวค้ำจุนฟ้าดินผืนหนึ่ง กิ่งไม้ของมันยื่นออกไปไกลพ้นสรวงสวรรค์ รากเหง้าฝังลึกลงไปถึงนรกโลกันตร์
และยังมีตัวคนมากมายนับไม่ถ้วน กำลังคำนับสักการะอยู่เบื้องหน้าแท่นบูชาสูงเสียดฟ้าด้วยหน้าตาเลื่อมใส
ภาพที่ปีศาจพลุกพล่านมากมายเหล่านี้เห็นแล้วชวนอกสั่นขวัญผวา
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในภาพเหล่านั้น มนุษย์มีท่าทีเลื่อมใสศรัทธาอยู่ตลอด ประดุจมดปลวกที่หมอบกราบอยู่ใต้ผู้ดำรงอยู่ซึ่งเปรียบเสมือนเทพปีศาจ
‘เป็นแหล่งชุมนุมฝึกฝนของพวกฝึกวิถีปีศาจจริง ๆ เสียด้วย’ ซูอี้คิดในใจ
ผู้ฝึกปีศาจในใต้หล้านี้ล้วนทะนงตน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนซึ่งเป็นมนุษย์ ต่างมีความเย่อหยิ่งและวางตนเหนือกว่า
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ดูแคลนผู้ฝึกปีศาจเช่นกัน มีความเห็นว่าผู้ฝึกปีศาจล้วนแล้วแต่แปลงกายมาจากเดรัจฉาน หรือไม่ก็พืชพรรณกลางป่ากลางเขา
สรุปก็คือ ผู้ฝึกตนมนุษย์และผู้ฝึกปีศาจต่างดูถูกกันและกัน
แน่นอนว่าจุดที่เหมือนกันคือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปีศาจหรือผู้ฝึกตนมนุษย์ ต่างยกยอผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่
ผู้ใดกำปั้นหนัก ผู้นั้นเป็นที่ยอมรับ!
ตูม!
ไม่นานนัก ฉินต่งซวีก็พยายามใช้วิชาลับผลักประตูใหญ่ของตำหนักที่ปิดสนิทอยู่ แต่ผลปรากฏว่าพลังของผนึกเผยให้เห็น และคลายกำลังของฉินต่งซวีไปเสียหมด
เมื่อโดนกระแทก ฉินต่งซวีก็โซเซจนเกือบโดนผนึกนั่นสะเทือนจนกระเด็นออกไป
“นี่มัน…”
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“ขออาตมาลองดูหน่อย”
เฉิงเจินก้าวขึ้นไป สองมือประกบ ปากท่องมนต์ ทันใดนั้น ตัวเขาฉายแสงสีทอง หลอมรวมเป็นรูปบงกชทองอร่าม กระแทกเข้าไปหาประตูใหญ่ตำหนัก
ฝ่ามือบงกชคลายผนึก!
เป็นวิชาลับที่ใช้คลายผนึกโดยเฉพาะ อัศจรรย์ใจยิ่งนัก
ปึง!
แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ท่ามกลางสายตาตะลึงของทุกคน ฝ่ามือบงกชสีทองนั้นกลับระเบิดออกประหนึ่งพลุ
ผนึกนั่นแผ่ซ่านกระจายพลังออกจากประตูใหญ่ตำหนัก สะเทือนจนร่างเฉิงเจินโซเซ ถอยออกไปสิบกว่าก้าว ลมปราณในตัวพลุ่งพล่านจนหลุดจากการควบคุม
ทุกคนเคร่งเครียดขึ้น
เฉิงเจินเป็นถึงผู้อาวุโสของอารามฉางจิงวัดซ่างหลิน หนึ่งในสามผู้เฒ่าขอบเขตเปิดทวาร หลวงจีนไม่กี่คนแห่งอาณาจักรต้าฉิน
แต่ต่อให้เขาลงมือเอง มันก็ยังให้ผลดั่งมดที่บังอาจสั่นคลอนต้นไม้ใหญ่!
หลังจากนั้น โหยวฉางคง กู้ชิงโตว และคนอื่น ๆ ต่างทยอยเข้าไปหยั่งเชิง แต่ไม่มีผู้ใดเป็นข้อยกเว้น และไม่อาจทำอะไรประตูใหญ่ตำหนักได้แม้แต่น้อย
ส่งผลให้ทุกคนมีสีหน้าอึมครึมลง
“ท่านโจวไม่ลองดูหน่อยหรือ?”
ทันใดนั้น ซางลั่วอวี่ปริปาก พลางหันไปมองซูอี้
ทุกคนส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ เรื่องที่คนใหญ่คนโตทั้งหลายเหล่านั้นยังทำไม่สำเร็จ โจวอี้ผู้มาจากต้าเซี่ยจะสำเร็จได้อย่างไร?
“ลองดูมิเสียหาย”
ซูอี้เอ่ย ก่อนจะก้าวตรงเข้าไป ปลายเล็บส่องแสงสีใสบาง ๆ ตวัดบนประตูใหญ่ตำหนักอย่างรวดเร็วคล้ายปลายพู่กัน
แค่ไม่กี่อึดใจ บนประตูใหญ่ตำหนักก็มีภาพอักขระค่ายกลอันเร้นลับเผยออกมา
เกินกว่าที่ทุกคนคาดหมาย เมื่อภาพค่ายกลนี้ปรากฏ ราวกับผสานเข้ากับผนึกบนประตูใหญ่ตำหนักได้เป็นเนื้อเดียว มันก่อให้เกิดเป็นคลื่นประหลาด ลำแสงว่ายวน เจิดจ้าเหลือคณา
“นี่มัน…”
พวกฉินต่งซวีเบิกตากว้าง
แต่ไม่นานนัก คลื่นเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ประตูใหญ่ตำหนักปิดสนิทดั่งเก่า ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
ความคาดหวังที่บังเกิดในใจทุกคนก็อันตรธานเช่นกัน
“ข้าเห็นว่าท่านพี่โจวมาจากต้าเซี่ย ครอบครองวิชาลับมากมาย ในเมื่อค้นพบม้วนหยกสีทองท่ามกลางม้วนภาพเหล่านั้นได้ คิดแล้วว่าคงทลายพลังผนึกบนประตูใหญ่ตำหนักนี้ได้เช่นกัน บัดนี้ดูแล้ว… ข้าคงคิดมากไป”
ซางลั่วอวี่ส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยท่าทางผิดหวัง
ฮวาซิ่นเฟิงโมโหจนอยากจะเข้าไปตบหน้าซางลั่วอวี่สักฉาด คำพูดกระแนะกระแหนเช่นนี้ น่าแค้นใจยิ่งนัก
ทว่าซูอี้ไม่สนใจ
ในสายตาเขา ซางลั่วอวี่ไม่ต่างอะไรจากคนตายแล้ว
ในตอนนั้นเอง เสียงถอนหายใจพลันดังขึ้น…
“ข้าเองก็คิดไม่ถึง ทุกท่านนับเป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรต้าฉิน แต่กลับเจอตอหน้าประตูอย่างนั้นหรือ?”
“ทว่าก็ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรเสียตำหนักนี้ก็เป็นสถานที่ฝึกฝนของจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน ผู้เป็นประมุขของหอเซียนดาบ ใช่ว่าใครหน้าไหนก็เปิดได้”
ใครกัน!?
พวกฉินต่งซวีตกใจ
เร่งพลังเตรียมพร้อมรับการต่อสู้ทันที
หัวมุมซึ่งห่างจากตำหนัก มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
ผู้ที่นำอยู่คือชายหนุ่มตาเขียวประหลาด ผิวขาวผ่อง สวมชุดคลุมยาวสีดำ มีแส้ยาวสีแดงฉานขดเป็นวงห้อยอยู่ที่เอว
ด้านหลังเขามีผู้ติดตามอีกเจ็ดแปดคน ทั้งชายทั้งหญิง ล้วนมีพลังน่าสยดสยองเป็นที่สุด
“เขานั่นเอง”
ซูอี้นึกถึงตอนที่เพิ่งเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล เรือสำราญฮัวเยว่เคยโดนอสูรปักษาหน้าผีจู่โจม
ส่วนผู้ที่คอยควบคุมอสูรปักษาหน้าผีเหล่านี้ เป็นไปได้สูงว่าคือชายหนุ่มชุดคลุมดำซึ่งมีพลังปีศาจแผ่ซ่านออกจากตัวผู้นี้
ซูอี้จำได้ชัดเจน ตอนนั้นคนผู้นี้คลี่ยิ้มน้อย ๆ และโบกมือให้ตัวเองจากที่ไกล ๆ
“ถงซิงไห่ ปีศาจงูสวรรค์เฒ่า ราชาฉลามสมุทร ซากศพทองคำเฒ่าปีศาจ เป็นฝีมือตาเฒ่าอย่างพวกเจ้าจริง ๆ เสียด้วย!”
พวกฉินต่งซวีเริ่มไม่สงบ และจำบรรดาคนที่ติดตามอยู่ข้างกายชายหนุ่มชุดคลุมดำได้
ส่วนข้างกายซูอี้ ฮวาซิ่นเฟิงส่งกระแสปราณให้ซูอี้ทันที บอกกล่าวฐานะตัวตนของคนเหล่านั้นให้แก่ชายหนุ่ม
ถงซิงไห่
ประมุขพรรคมารหยิน คลับคล้ายอาจารย์สอนหนังสือผู้สุภาพอ่อนโยน สวมรัดเกล้าปีกนก มือถือแท่งหยก หนวดยาวพลิ้วไสว ระดับพลังขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์
ปีศาจงูสวรรค์เฒ่า ราชาฉลามสมุทร ซากศพทองคำเฒ่าปีศาจ สามคนนี้ล้วนเป็นจอมมารผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมานานหลายปีในอาณาจักรต้าฉิน และเป็นที่ฉาวโฉ่ในเรื่องความอำมหิต
โดยในสามคนนี้ ปีศาจงูสวรรค์เฒ่าระดับพลังอยู่ที่ขอบเขตเปิดทวาร ราชาฉลามสมุทรและซากศพทองคำเฒ่าปีศาจต่างมีระดับพลังอยู่ที่ขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นปลายเช่นเดียวกัน
นอกจากจอมมารทั้งสี่คนนี้แล้ว ข้างกายชายหนุ่มชุดคลุมดำซึ่งเดินนำมายังเหลืออีกสามคน
เด็กสาววัยละอ่อนมือถือทวนยาวสีเงินคนหนึ่ง ชายหนุ่มแบกดาบยาวในชุดม่วงคนหนึ่ง และผู้เฒ่าสวมชุดยาวโบราณพร้อมรัดเกล้าคนหนึ่ง
แม้ว่าระดับพลังที่ทั้งสามคนเผยออกมาอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่พลังของแต่ละคนล้วนเร้นลับแกร่งกล้า เทียบกับจอมมารอย่างพวกถงซิงไห่แล้วไม่ด้อยกว่าเลยสักนิด
ทว่าซูอี้มองออกในปราดเดียวว่าสามคนนี้เป็นประเภทเดียวกับชายหนุ่มชุดคลุมดำซึ่งเดินนำอยู่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้สิงสถิต!
“เหอะ ๆ สหายเต๋าทั้งหลาย ไม่เจอกันนานนะ”
ถงซิงไห่ ประมุขพรรคมารหยินเอ่ย หน้าตาเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
“เจ้าสำนักจวนดาบจื่อเฟิง หลิ่วโม่เหิน เจ้าสำนักจวนดาบแปดขั้ว โม่หานจือ ผู้ฝึกปีศาจขอบเขตไร้เบญจธัญ ลั่วถู และผู้ฝึกตนพเนจรเขาสุริยัน เถี่ยโม่ฉู่ที่ตายอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้เป็นฝีมือพวกเจ้าหมดเลยรึ?”
เฉิงเจินขมวดคิ้งพลางกล่าว
“ถูกต้อง”
ผู้ที่ปริปากก็คือชายหนุ่มชุดคลุมดำซึ่งเดินนำมา
เสียงของเขาใสกังวาน เอ่ยเนิบ ๆ “ข้าให้โอกาสพวกเขารับใช้ข้า ทว่าพวกเขากลับดื้อรั้น เพราะอย่างนั้น… ข้าจึงได้แต่ส่งพวกเขาไปตายก่อน”
พวกฉินต่งซวีเย็นยะเยือกขึ้นในใจ
“ขอถามว่าท่านเป็นใครหรือ?”
เฉิงเจินเอ่ยด้วยหน้าตาเคร่งเครียด สายตาจ้องมองชายหนุ่มชุดคลุมดำ
ชายหนุ่มชุดคลุมดำเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่าฉู่ซิว ผู้ฝึกตนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น โชคดีที่สหายเต๋าทุกท่านไม่รังเกียจ เทิดทูนข้าเป็นนาย เรียกข้าว่า ‘ท่านประมุข’ อย่างเกรงอกเกรงใจ”
ถงซิงไห่อีกด้านเอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อม “ท่านประมุขถ่อมตนเกินไปแล้ว ในใจพวกข้า น่ากลัวว่าทั่วทั้งใต้หล้าพื้นนี้ก็คงไม่มีผู้ใดในมหาวิถีเทียบกับท่านได้แล้ว”
คนอื่น ๆ ข้างกายต่างพากันพยักหน้า ท่าทางเห็นด้วย แต่ละคนมีทีท่าต่ำต้อย นบนอบเชื่อฟัง
เมื่อได้เห็นภาพเหล่านี้ พวกฉินต่งซวีใจเต้นระทึกกันหมด
อย่างที่ทราบว่า พวกถงซิงไห่ล้วนแต่เป็นจอมมารนอกรีตที่ชื่อเสียงเลื่องลือในอาณาจักรต้าฉิน เกรียงไกรดุเดือด อำมหิตยิ่ง
ทว่าจอมมารเฒ่าเหล่านี้กลับเชื่อฟังแต่โดยดี ซ้ำยังนอบน้อมได้ถึงเพียงนี้ ทั้งหมดเพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่าฉู่ซิวผู้นี้เป็นการดำรงอยู่ของตัวตนซึ่งสยองขวัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!