บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 38 แขกตัวร้ายมาถึงหน้าประตู
ตอนที่ 38 แขกตัวร้ายมาถึงหน้าประตู
เมื่อเดินออกจากโรงตีอาวุธ ซูอี้เก็บดาบยาวในมือเข้าฝัก
ฝักดาบทำขึ้นโดยฝีมือของหวังเทียนหยางเอง มันถูกหุ้มด้วยหนังฉลามสีเขียว ตัวกระบังดาบที่สวมทับถูกแกะลายอย่างเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา
เรื่องควรค่าให้กล่าวอีกอย่างคือ การตีดาบเล่มนี้ซูอี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายวัสดุใดทั้งสิ้น
ไม่ใช่ว่าซูอี้ไม่ยอมให้เงิน แต่เป็นหวังเทียนหยางที่ขอยอมตายเสียดีกว่ารับเงินไว้…
“ฮ่าฮ่า วันนี้ช่างเปิดหูเปิดตาเสียจริง ใครจะไปคิดว่าตาแก่จอมหยิ่งและหัวดื้ออย่างผู้เฒ่าหวังจะมีวันที่ก้มหัวเคารพคนอื่นด้วย?”
แม้จะออกจากโรงตีอาวุธแล้ว หวงเฉียนจวินก็ยังตื่นเต้นไม่หาย
ณ ตอนนี้ บรรดาช่างตีดาบรวมถึงหวังเทียนหยางต่างเป็นเสมือนผู้เล่าเรียน ที่เชื่อฟังวิชาการตีดาบจากซูอี้อย่างนอบน้อม
สำหรับซูอี้แล้ว นี่เป็นเพียงวิธีการสอนทำอุปกรณ์อันดาษดื่นก็เท่านั้น หาได้มีอะไรพิเศษไม่
แต่สำหรับหวังเทียนหยางและผู้อื่น ต่างรู้สึกเหมือนพวกเขาได้ลาภก้อนใหญ่ และรู้สึกทั้งกลัวและเกรง กระทั่งเปลี่ยนจากที่เรียกชื่อซูอี้ไปเรียก ‘ปรมาจารย์ซู’ เสียแทน
ดังนั้น ในยามที่ซูอี้กล่าวบอกจะชำระค่าใช้จ่าย หวังเทียนหยางและผู้อื่นต่างไม่ยินดี ปฏิเสธรับเงินจาก ‘ปรมาจารย์ซู’ อย่างแข็งขัน
หวงเฉียนจวินเห็นภาพดังนี้แล้ว จะห้ามเขาถอนหายใจได้อย่างไร?
“เจ้าคิดจะไปงานประลองประตูมังกรหรือไม่?”
อย่างกะทันหัน ซูอี้ก็เอ่ยถามขึ้นมา
สิ้นคำถาม ท่าทียินดีของหวงเฉียนจวินเลือนหาย พร้อมนึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดตอนพบเหวินเจวี๋ยหยวน
ความเงียบงันคงอยู่ครู่หนึ่ง หวงเฉียนจวินก็กล่าวด้วยความขมขื่น “ตัวข้าอยู่ในระดับขั้นสอง ‘ขัดเกลาภายใน’ แห่งขอบเขตโคจรโลหิตเท่านั้น ขณะที่เหวินเจวี๋ยหยวนสำเร็จถึงขั้นขัดเกลากระดูก หรือก็คือขั้นที่สี่แห่งขอบเขตโคจรโลหิต ความห่างชั้นนี้มากเกิน อีกครึ่งเดือนก็จะถึงงานประลองประตูมังกรแล้ว ต่อให้ข้าพยายามจนสายตัวขาดก็คงไม่อาจเติมเต็มช่องว่างนี้ได้”
แต่ทันใดนั้นแววตาหวงเฉียนจวินเผยความขึงขัง น้ำเสียงแน่วแน่ “แต่ถึงจะเอาชนะไม่ได้ ข้าก็จำเป็นต้องเข้าร่วม ความล้มเหลวไม่ได้เลวร้าย หากไม่มีความกล้าที่จะเผชิญกับมัน นั่นคือไร้ประโยชน์ และทั้งชีวิตข้าจะไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้อีก!”
ซูอี้พยักหน้า ถ้อยคำล้ำลึกจากปากเอ่ยขึ้น
“ปณิธานบุรุษ เลือดบุรุษควรกล้าหาญ แข็งขัน ไม่เกรงกลัวทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว”
“บางครั้งอาจดูเหมือนก้าวถอยกลับ แต่แท้จริงนั้นไม่ใช่ ขอแค่เพียงอย่าปล่อยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความขลาดเขลาฝังรากลงในจิตใจ เจ้าจะก้าวหน้าอย่างยั่งยืน”
อย่างไรแล้ว ซูอี้ก็เป็นผู้รู้แจ้งในวิถีเซียน
หนทางแห่งการฝึกตนยากทุกย่างก้าว มีเพียงแต่ต้องมีจิตใจอันกล้าหาญและไม่ย่อท้อจึงจะสามารถข้ามผ่านบรรลุมหาวิถีสู่สวรรค์ได้!
สำหรับความขลาดเขลา มันไม่มีทางนำพาไปถึงจุดสูงสุดได้แม้จะใช้เวลาชั่วชีวิต
หวงเฉียนจวินชะงักไป เขานึกย้อนถึงคำที่หวงอวิ๋นชงผู้เป็นบิดามักกล่าวบ่อยครั้ง
“ลูกพ่อ ถึงคนอื่นจะหัวเราะเยาะเจ้าที่ทำตัวกร่างและเย่อหยิ่ง แต่ในสายตาพ่อแล้ว มันเป็นทางที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะ ที่คนเราควรจะแผลงฤทธิ์ได้แบบไม่กลัวฟ้าดินผีสางและเทพ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ในตอนนี้อีกครั้ง หวงเฉียนจวินพลันเกิดสภาวะอารมณ์ปะปนอย่างยากพูดกล่าว
ผ่านไปพักใหญ่ ดวงตาของเขาก็เริ่มแน่วแน่ขึ้นและกล่าวคำ “พี่ซู ข้าจะจำคำสอนท่านไว้ และในอนาคตข้าจะไม่มีวันก้าวถอยหลังแน่นอน!”
ซูอี้กล่าวเตือน “ไม่ก้าวถอยหลัง แต่ไม่ควรบ้าบิ่น เจ้าเองต้องรู้จักประมาณตนด้วย”
จากนั้นซูอี้ก็ไม่กล่าวคำใดอีก
เขาไม่เคยชอบการสั่งสอนหรือให้เหตุผล
“พี่ซู ท่านจะเข้าร่วมงานประลองประตูมังกรหรือไม่?” หวงเฉียนจวินเอ่ยถาม
ซูอี้ส่ายหน้า “แม้รางวัลไม่ใช่น้อย ทว่าน่าเบื่อเกินไป”
น่าเบื่อ?
งานประลองที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋นนั้น ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของซูอี้ได้แม้แต่น้อยเลยงั้นหรือ?
หวงเฉียนจวินพูดไม่ออก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นานจากนั้น ขณะพวกเขาผ่านตรอก ทันใดนั้นก็มีเด็กตะโกนขึ้นมา
“ซูอี้! มาช่วยข้าที! เร็ว!”
หวงเฉียนจวินอดหันหน้าไปมองไม่ได้ และเห็นกลุ่มเด็กน้อยกำลังทุบตีเด็กอีกคนอยู่ในตรอก
คนที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ คือเด็กคนที่กำลังถูกทุบตี ทั้งตัวนั้นถูกกดลงกับพื้น ถูกทุบตีและกรีดร้อง
เหวินหมิงหรง
ในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านหญิงใหญ่ตระกูลเหวิน เด็กน้อยผู้นี้เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า ‘ถึงข้าเหวินหมิงหรงจะยังเด็ก แต่ข้าก็ละอายหากต้องอยู่กับบุตรเขยตระกูลเช่นซูอี้’ และครั้งนั้นสร้างเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่น้อย
ผู้อาวุโสบางส่วนเคยคุยโวไว้ว่าเด็กคนนี้มีความทะเยอทะยาน และจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์
แต่กระนั้นตอนนี้ เหวินหมิงหรงกำลังถูกรังแกและร้องขอความช่วยเหลือจากซูอี้ ผู้ซึ่งเป็นคนที่เขาเคยต่อว่า ‘น่าอายที่จะอยู่ด้วย’
ซูอี้ทำเพียงมองไปทางนั้นโดยที่ไม่หยุดเท้าตัวเอง เขาเดินไปต่อเสมือนเป็นผู้ตาบอด
การตอบรับอันเฉยชาและโหดร้าย ทำให้เหวินหมิงหรงแทบคลุ้มคลั่ง เสียงกรีดร้องดังขึ้น “ก็ได้ซูอี้ จงรอข้า! เมื่อใดกลับถึงบ้านเรื่องเจ้าจะถูกรายงาน!”
ในตอนนี้ หวงเฉียนจวินกลับเป็นผู้เดินเข้าไปหา
เด็กเกเรผู้กำลังทุบตีเหวินหมิงหรงเกิดระวังตัว และหยุดการกระทำของตัวเอง
“มาช่วยข้าหรือ? วิเศษนัก เมื่อใดกลับถึงบ้าน ข้าจะขอบิดาให้มอบรางวัลแก่เจ้า!”
เหวินหมิงหรงนึกยินดี
แต่เขากลับเห็นหวงเฉียนจวินย่อตัวลง ยื่นมือหยิกใบหน้าสกปรกของเหวินหมิงหรงและบิดอย่างแรง จนเหวินหมิงหรงร้องด้วยความเจ็บปวด น้ำตาแทบไหลออกมา
“ไอ้เด็กปากเหม็น เจ้ากำลังสงสัยใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงหยิกเจ้า? หึหึ หากไม่ใช่เพราะสถานะตัวตนของข้า ข้าคงทุบตีเจ้าจนตายด้วยมือของข้าเองแล้ว!” หวงเฉียนจวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“เจ้า…” เหวินหมิงหรงตกตะลึง
“พวกเจ้าไม่ต้องนิ่งอึ้ง ลงมือต่อเต็มที่ได้เลย”
หวงเฉียนจวินลุกขึ้น ก่อนจะออกคำสั่งให้เด็กเกเรพวกนั้น และเดินจากมาด้วยรอยยิ้ม
ในตรอกนั้น เสียงร้องของเหวินหมิงหรงผู้โชคร้ายดังขึ้นอีกครั้ง และร้องไห้หาพ่อแม่ไม่หยุด…
เหตุทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องใดกับซูอี้
…
สำนักแพทย์ซิ่งหวง
เมื่อซูอี้กลับมา เขาก็เห็นกลุ่มของผู้คุ้มกันที่ดูแข็งแกร่งยืนอยู่หน้าประตู ขวางเอาไว้ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไป
ด้านนอกสำนักแพทย์นั้นเงียบสงัด ไม่มีผู้คนมาพบหมออีก
“ผู้ใดบุกมาท้าทาย?”
แววตาของหวงเฉียนจวินลุกเป็นไฟ ก่อนจะก้าวเข้ามา “พวกสารเลวบัดซบ ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่?”
“นายน้อยหวง?”
พบเห็นหวงเฉียนจวิน เหล่าผู้คุ้มกันเกิดร้อนรนขึ้นมา
กระนั้นก็ไม่มีใครถอยกลับ เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างรั้งพวกเขาไว้ไม่ให้ถดถอย
ชายชุดดำตรงหน้าคนหนึ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นายน้อยหวง สำนักแพทย์ซิ่งหวงนี้เป็นอาณาเขตตระกูลเหวินของเรา ท่านกล่าวว่าเรามาสร้างความวุ่นวายมันคงไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่กระมัง?”
“เจ้ามาจากตระกูลเหวิน?” หวงเฉียนจวินประหลาดใจ
ชายชุดดำพยักหน้ากล่าว “เราคือข้ารับใช้ของนายใหญ่รองของตระกูลเหวิน วันนี้เรามากับนายน้อยของเราเพื่อทำธุระบางอย่าง นายน้อยหวงนี่ไม่ใช่ธุระกงการของท่าน เช่นนั้นขออย่าได้ยุ่งเกี่ยว”
หวงเฉียนจวินขมวดคิ้ว “นายน้อยของพวกเจ้ารึ? มันผู้นั้นใช่เหวินเจี้ยหยวนหรือไม่?”
“ก็ไม่ผิด” ชายชุดดำกล่าว
ทันใดนั้น หวงเฉียนจวินพลันเข้าใจ
สำนักแพทย์ซิ่งหวงนี้เดิมถูกคุมโดยเหวินฉางชิง ทว่านับตั้งแต่เมื่อวานนี้ ที่นี่ถูกควบคุมโดยซูอี้
และเมื่อวานนี้ ซูอี้เก็บกวาดข้ารับใช้ทุกคนที่ทำงานให้เหวินฉางชิงในสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ไม่แปลกใจ หากเหวินเจี้ยหยวนผู้เป็นบุตรชายเหวินฉางชิงจะมาที่นี่เพื่อแก้แค้น!
ในขณะเดียวกัน เมื่อชายชุดดำเห็นซูอี้อยู่ไม่ไกล ใบหน้านั้นปรากฏความเคร่งขรึม
เขายกมือชี้ไปที่ซูอี้พร้อมด่าทอ “ท่านเขย ในที่สุดก็กลับมาจนได้ ท่านรู้หรือไม่ว่านายน้อยรอท่านที่นี่นานเพียงใดแล้ว?”
ผู้คุ้มกันคนอื่นต่างเผยสีหน้าเหยียดหยัน
สาเหตุที่พวกเขาตามเหวินเจี้ยหยวนมาที่นี่เพื่อหาเรื่อง จะให้มาสุภาพกับซูอี้ได้อย่างไร
“ข้า…”
หวงเฉียนจวินเกือบหลุดคำหยาบ แต่ซูอี้กลับกดไหล่ของเขาไว้ “เจ้ารออยู่ที่นี่”
หวงเฉียนจวินหันหน้าไปมองซูอี้ พลันเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายทอประกายเยือกเย็น
ขนาดอยู่ฝั่งเดียวกันใจของเขายังสั่นรุนแรง
“นายน้อยของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?”
ซูอี้ก้าวมาด้านหน้า พร้อมกับท่าทางเฉยเมย
ตอนโดนหยามที่ด้านนอกโรงตีอาวุธ ซูอี้ไม่สนใจ เพราะถือว่าเป็นมดแมลงตัวหนึ่งและเมินไป
แต่ที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงนี้ต่างออกไป ที่นี่เป็นอาณาเขตของเขา ขณะนี้ถูกศัตรูมาระราน และจะให้เขาไม่สนใจได้อย่างไร?
“ตามข้ามา”
ชายชุดดำมองซูอี้อย่างเย็นชา ก่อนจะหันหน้าเดินไปด้านในสำนักแพทย์
ซูอี้ตามไป
ผู้คุ้มกันคนอื่นเดินตามหลังซูอี้และล้อมกรอบอย่างใกล้ชิด ราวกังวลว่าซูอี้อาจจะหนีไป
“พี่ซูตั้งใจจะลงมือด้วยตัวเอง…”
หวงเฉียนจวินเกือบจะตามไปด้วย แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของซูอี้เมื่อครู่นี้ เขาจึงหยุดฝีเท้า
‘คำสั่งของพี่ซู ข้าต้องทำตาม ทว่าหากข้าเอาแต่รอแบบนี้ ก็จะดูเหมือนข้าไร้ความสามารถเกินไป…’
หวงเฉียนจวินครุ่นคิด
เขาไม่ได้ห่วงเรื่องความปลอดภัยของซูอี้ แต่เสียดายที่เขาไม่สามารถรับชมเรื่องสนุกได้…
ในไม่ช้า เมื่อตัดสินใจได้ หวงเฉียนจวินก็หันเดินจากไป
ด้านในสำนักแพทย์ซิ่งหวง
หูเฉวียน อู๋กว่างปินและผู้อื่นต่างก็อยู่ที่นั่น ทว่าพวกเขากำลังขมวดคิ้วและดูกังวล
เมื่อเห็นซูอี้ถูกนำตัวเข้ามา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
เมื่อวานนี้ ซูอี้ได้มาเป็นผู้ดูแลสำนักแพทย์ซิ่งหวง และวันนี้เหวินเจี้ยหยวน บุตรของเหวินฉางชิงก็มาหาเรื่อง เป็นผลให้หูเฉวียนและผู้อื่นตระหนักว่าซูอี้กำลังตกที่นั่งลำบาก
หูเฉวียนรีบเตือน “ท่านบุตรเขย ขอท่านอย่าได้มีเรื่องกับนายน้อยเหวินเจี้ยหยวน ยอมถอยสักก้าวเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย”
ซูอี้ไม่คิดใส่ใจ เพียงพยักหน้าและกล่าว “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พวกเจ้าไม่ต้องกังวลอะไร”
ขณะหูเฉวียนคิดเอ่ยคำต่อ เขาพลันถูกชายชุดดำผลักและตำหนิ “เรื่องของเจ้าก็ไม่ใช่ จงหยุดอยู่เฉยที่ตรงนี้!”
สิ้นคำ เขาจึงพาซูอี้ตรงไปที่ลานด้านหลัง
เมื่อเห็นพวกเขาลับตาไป หูเฉวียนและคณะต่างมองหน้ากันพลางถอนหายใจ
พวกเขาเคารพในทักษะการแพทย์ของซูอี้ แต่ครั้งนี้ปรากฏคนจากตระกูลเหวินมาหาเรื่อง และพวกเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ที่ลานด้านหลังของสำนักแพทย์ซิ่งหวง
เหวินเจี้ยหยวนที่ไพล่มือด้านหลัง ยืนอยู่ด้านข้างต้นแคฝรั่ง พลางจ้องไปที่บ่อน้ำซึ่งถูกปิดด้วยโซ่ คิ้วขมวด และไม่พูดอะไรอยู่นาน
“เก้าปีก่อน นักบวชเต๋าอู๋รั่วชิวเคยกล่าวไว้ หากคนเป็นอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาจะถูกปีศาจในบ่อน้ำจับกิน แต่ซูอี้รอดมาได้อย่างไร?” เหวินเจี้ยหยวนพึมพำกับตัวเองพลางรู้สึกสงสัย
เขามาที่นี่ในเช้านี้เพราะตั้งใจมารับชมว่าซูอี้จะตายอนาถอย่างไร ผู้ใดกันคาดคิดว่าซูอี้ผู้น่าตายจะยังสบายดี!
“นายน้อย พวกเราพาซูอี้มาแล้ว”
ชายชุดดำกับกลุ่มผู้คุ้มกันเดินมาในลานพร้อมกับซูอี้
ปัง!
ประตูลานถูกปิด ชายชุดดำและคณะแยกย้ายกันไปเฝ้าในหลายตำแหน่ง
พวกเขาจ้องซูอี้ด้วยสายตาเย็นชา ราวกับกำลังมองเหยื่อที่ติดบ่วง
ถัดจากบ่อน้ำเก่านั้น เหวินเจี้ยหยวนในชุดคลุมขาวก็หันกลับมามองซูอี้ ถ้อยคำเอ่ยขึ้น
“จงตอบข้า เมื่อคืนที่เจ้าอยู่ที่นี่ มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่?”
คำพูดนั้นแข็งกร้าว ราวเป็นผู้มีอำนาจที่ออกคำสั่งต่อผู้น้อย