บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 380 ไม่ใช่แล้วกระมัง เพียงแค่นี้
ตอนที่ 380: ไม่ใช่แล้วกระมัง เพียงแค่นี้?
ตอนที่ 380: ไม่ใช่แล้วกระมัง เพียงแค่นี้?
ฉินต่งซวีสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งจึงกล่าว “ไม่ผิด หากว่านายท่านสามารถฆ่าซูอี้ได้ พวกข้ายินดีพร้อมใจจะเชื่อฟัง”
เฉิงเจินพนมมือพลางพยักหน้า
เห็นว่าโหยวฉางคง ฉินต่งซวี กับเฉิงเจินต่างก็แสดงเจตนารมณ์แล้ว ซางลั่วอวี่กับลิ่นอวี๋เปยก็แสดงเจตนารมณ์ในแบบเดียวกัน
ฉับพลัน ซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิงก็ถูกแยกออก ตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง
กระทั่งฮวาซิ่นเฟิงก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเป็นเพราะมีซูอี้อยู่ จึงทำให้ฉินต่งซวีกับคนอื่น ๆ ถึงกับยอมที่จะเลือกสวามิภักดิ์ต่อฉู่ซิว
ทันใดในใจของนางรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งนัก
เดิมที นางยังตั้งใจว่าหลังจากที่แย่งโชคลาภของสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว ค่อยจัดการกับพวกฉินต่งซวีทีละคน
ไม่คาดคิดเลยว่า เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ กลับกลายเป็นว่านางกับซูอี้เสียอีกที่กลายเป็นฝ่ายถูกโจมตี
มองดูคนทั้งหลายที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนเดินดินระดับสุดยอดหันปลายทวนมายังพวกเขาทั้งสองแล้ว เพียงแค่คิดก็รู้ได้ว่าฮวาซิ่นเฟิงรู้สึกกลัดกลุ้มใจเพียงใด
ฉู่ซิวหัวเราะขึ้นมา จากนั้นกวาดตามองดูพวกฉินต่งซวีพลางกล่าว “ข้าเข้าใจความคิดของพวกเจ้า เพียงแค่ใช้วิธีหลอกให้เข้าใจว่าเป็นงูก่อน ยืมมีดของข้าฉู่ซิวฆ่าซูอี้ จากนั้นค่อยคิดหาวิธีเอาตัวรอดอีกครั้ง”
ฉินต่งซวีกับคนอื่น ๆ มีสีหน้าเปลี่ยนไป ขณะกำลังจะเอ่ยพูด
ฉู่ซิวก็หัวเราะพลางกล่าวห้าม “ไม่ต้องร้อนรนไป ในเมื่อพวกเจ้าเอ่ยเงื่อนไขออกมาแล้ว ข้าก็มีแผนของตัวข้าเองเช่นกัน อย่างไรเสีย พวกเจ้าทั้งหมดจงอยู่อย่างสงบ”
พูดจบ นัยน์ตาสีเขียวมรกตของฉู่ซิวก็มองไปที่ซูอี้ แล้วจึงกล่าว “สหายเต๋า หากว่าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหมด”
พวกฉินต่งซวีต่างก็สีหน้าเปลี่ยน
สายตาของฉู่ซิวมองไปที่ซูอี้ แล้วกล่าวต่ออีก “แน่นอน หากว่าเจ้าปฏิเสธ ข้าจะสนับสนุนพวกเขา โดยการฆ่าเจ้าทิ้ง ตอนนี้ เจ้าสามารถตัดสินใจได้แล้ว”
น้ำเสียงเนิบ ๆ ทว่าบรรยากาศกลับตึงเครียดกดดันยิ่งนัก
“อ้อ”
ซูอี้กวาดตามองดูคนทั้งหลาย สุดท้ายหันไปมองฉู่ซิวอีกครั้ง กล่าว “บริเวณนี้ มีเพียงแค่พวกเจ้าเท่านี้เองหรือ?”
“ไม่ผิด”
ฉู่ซิวยิ้มพลางพยักหน้า กล่าวด้วยความนึกสนุก “หรือสหายเต๋าคิดว่า ด้วยพละกำลังของพวกเราเพียงเท่านี้ จะไม่สามารถฆ่าเจ้าได้?”
“ห่างไกลเกินไป”
ซูอี้คิดสักครู่ ก่อนจะกล่าวคำออก “แต่ยังพอมีคุณสมบัติจะเป็นหินรองพื้นให้ข้าซูผู้นี้ได้เหยียบย่ำ”
“อะไรนะ? คน ๆ นี้มองนายท่านกับพวกเราเป็นแค่หินรองพื้น?”
“ฮ่า ๆๆ”
จอมมารถงซิงไห่กับคนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะขึ้นมา
พวกฉินต่งซวีพากันตะลึง ทว่าทันใดก็หัวเราะเยือกเย็นออกมา นี่มันเวลาใดกันแล้ว ซูอี้ยังจะยโสโอหังอยู่อีก ไม่รู้จักเสียแล้วว่าคำว่าตายสะกดอย่างไร
ทว่า ท่าทีของซูอี้กลับทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา ตามคำที่ฉู่ซิวกล่าว หากซูอี้สวามิภักดิ์ เขาก็จะฆ่าพวกเขาทิ้ง
แต่ตอนนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว
อีกทั้งซูอี้กับพวกฉู่ซิวสู้รบฆ่าฟันกัน พวกเขาเหล่านี้จะได้ดูเสือสองตัวทะเลาะกันด้วย!
ฉู่ซิวถอนใจขึ้นมาเบา ๆ พลางกล่าว “ข้ามองว่าสหายเต๋าเป็นผู้มีความสามารถในโลกหล้า วันข้างหน้าจักต้องเจริญรุ่งเรือง เดิมทีตั้งใจจะเก็บเจ้าไว้ข้างกายเพื่อคอยอบรมสั่งสอน ไม่นึกเลยว่า ผู้มีความสามารถเช่นนี้กลับไร้ประโยชน์ต่อข้า หากว่าต้องทำลายไป ก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย”
ซูอี้เลิกคิ้วคล้ายกับจะหัวเราะแต่ไม่ได้หัวเราะ แล้วจึงกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอกล่าวตามตรง ในสายตาของข้าซูผู้นี้ ตัวตนเล็ก ๆ กระจ้อยร่อยอย่างเจ้ายังไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้ข้า… จริง ๆ”
ฉู่ซิวตะลึง แล้วอดปล่อยหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้
ทันใด เขาก็สะบัดมือ “อาหลิน เจ้าไปประมือกับสหายเต๋าซูหน่อย!”
“เจ้าค่ะ!”
สาวน้อยวัยแรกแย้มถือทวนยาวสีเงินก้าวออกมา
นางมัดผมหางม้า ผิวสีแทน ใบหน้างดงามได้รูป สวมเครื่องแต่งกายกระชับตัวสีดำ เน้นส่วนนูนและส่วนเว้าสะโอดสะองชัดเจน
เพียงแต่ว่า ใบหน้างดงามนั้นกลับแฝงไว้ซึ่งความเย็นยะเยือกประดุจหิมะน้ำแข็ง ทำให้พลังลมปราณทั่วทั้งร่างของนางแลดูเย็นยะเยือกน่ากลัว
ขณะนี้เอง ลมหนาวทิ่มกระดูกสีฟ้าคลุมเครือก็แผ่กระจายออกไปตามย่างก้าวของนาง พื้นและอากาศโดยรอบมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะจับในพริบตา
คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็สั่นสะท้านขึ้นมา รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่ดำดิ่งเข้าถึงจิตวิญญาณ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สตรีที่ชื่อว่าอาหลินนางนี้ แกร่งมาก!
ฉู่ซิวยิ้มพลางกล่าว “สหายเต๋า อาหลินก็เหมือนกับข้า ไม่ใช่คนในมหาทวีปคังชิง ถึงแม้นางจะมีระดับการฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นปลาย ทว่าเมื่อพูดถึงกำลังการต่อสู้แล้ว ย่อมแข็งแกร่งกว่าโจวฉางอี้ผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารที่ถูกเจ้าฆ่าตายคนนั้นมากนัก”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็เอามือไพล่หลัง พลางกล่าวช้า ๆ “หากว่าเจ้าสามารถเอาชนะอาหลินได้ภายในสิบกระบวนท่า ข้าจะไม่ติดใจเอาความคำพูดสบประมาทที่เจ้ากล่าวมาเมื่อสักครู่ อีกทั้งยังยินดีจะให้โอกาสเจ้าได้เปลี่ยนใจด้วย”
ซูอี้กล่าวเสียงราบเรียบ “ข้าว่าทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าบุกมาพร้อมกันจะดีกว่า ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะเป็นหินรองพื้นให้ข้า”
ดวงตาสีเขียวมรกตของฉู่ซิวหรี่เล็กลง ฉันพลันหัวเราะพลางโบกมือ “อาหลิน สู้สุดกำลัง อย่าได้ประมาทสหายเต๋าซูของพวกเราคนนี้เป็นอันขาด”
“เจ้าค่ะ”
อาหลินพยักหน้า
จากนั้น นางแตะเท้าเบา ๆ ร่างก็ลอยขึ้นกลางอากาศราวกับสายฟ้าแลบ ทวนยาวสีเงินในมือพุ่งแทงออกไปชั่วพริบตา
ครืน
อากาศสั่นสะเทือน ประกายเย็นวาบประดุจมังกรตระหนกออกจากเหว ปลายทวนยังมาไม่ถึง อากาศรอบด้านซูอี้ก็เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งเย็นยะเยือกเข้ากระดูก
แม้กระทั่งเสื้อผ้า ผิว และผมยาวของซูอี้ก็ยังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะสีฟ้าใส ทำให้ทั่วทั้งตัวของเขากับจุดที่เขายืนอยู่แข็งกระด้างเป็นน้ำแข็ง!
สายตาของฉู่ซิวปรากฏประกายแห่งความชื่นชมขึ้นมา ทวนยาวนั้นมีชื่อว่า ‘เกล็ดหิมะสวรรค์’ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยจังหวะวิถีหิมะน้ำแข็งที่อาหลินช่ำชอง เพื่อแสดง ‘กระบวนท่าน้ำแข็งทลายวิญญาณ’ ออกมา
ทวนกระบวนนี้เพียงพอที่จะฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารในโลกสามัญได้!
บริเวณใกล้ ๆ ฉินต่งซวีกับคนอื่น ๆ ต่างก็สีหน้าเปลี่ยน รู้สึกแสบผิวเพราะถูกความหนาวเย็นทิ่มแทง
กระบวนทวนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นกลัว และสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงแก่ชีวิต
สตรีที่ชื่อว่าอาหลินนางนี้ เป็นเพียงแค่ผู้รับใช้คนหนึ่งข้างกายฉู่ซิวเท่านั้น ทว่ามีกำลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ใครกันที่จะไม่ตื่นตระหนก?
ถงซิงไห่กับจอมมารทั้งหลายต่างก็หรี่ตาด้วยสีหน้าที่สงบราบเรียบ พวกเขาต่างก็รู้ว่าพื้นฐานของอาหลินมีความน่าหวาดกลัวเพียงใด ไม่รู้สึกตื่นตระหนกมากนัก
“โดน!”
อย่างรวดเร็ว อาหลินควงทวนแทงเข้ามาแล้ว รวดเร็วประดุจสายฟ้าเกล็ดน้ำแข็งพุ่งทะลวงเข้ามา
ในชั่วขณะที่ปลายทวนอยู่ห่างจากซูอี้เพียงสามศอก ซูอี้ก็ยืดตัวขึ้นมาเล็กน้อย
ปัง!!!!
เกล็ดน้ำแข็งสีฟ้าใสที่ปกคลุมอยู่บนร่างของซูอี้และบริเวณโดยรอบซึ่งคล้ายกับแม่น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งก็แตกระเบิด เศษน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนกระเด็นออกไปราวกับลูกดอกธนูคมเฉียบ
แทบในขณะเดียวกัน มือขวาของซูอี้ก็ยื่นออกไปกลางอากาศจับปลายทวนสีเงินที่กำลังพุ่งแทงเข้ามา
จากนั้น พลังฝ่ามือที่จับปลายทวนก็เพิ่มสูงจนระเบิด
ครืน
พลังธาตุแท้อันน่ากลัวประดุจภูเขาทลายคลื่นน้ำสูงก็กระแทกออกไปตามลำทวนยาวสีเงินนั้น
ชั่วขณะนั้น สีหน้าของอาหลินก็เปลี่ยนไป รู้สึกราวกับอยู่บนผิวทะเลที่มีคลื่นน่ากลัวถาโถม รอบทิศทางล้วนมีแต่ลมฝนมรสุมโหมกระหน่ำ คลื่นสูงหมื่นจั้ง
โดยไม่เปิดโอกาสให้นางได้ตั้งตัวแม้แต่น้อยก็ได้ยินเสียงดังฉึบ! ข้อมือข้างขวาที่ถือทวนยาวสีเงินของนางขาด ตัวเด้งออกไปราวกับโดนภูเขาใหญ่กระแทกอย่างแรง แล้วร่วงหล่นไปอยู่ในตำแหน่งที่นางหยุดยืนในตอนแรก
เอื๊อก!
หน้าของนางขาวซีด กระอักเลือดออกมา
ทุกคนต่างก็สงบนิ่งด้วยความตื่นตะลึง
ทุกกระบวนความทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา รวดเร็วจนคาดไม่ถึง
ในสายตาของคนอื่น ๆ อาหลินควงทวนพุ่งตัวออกไป ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาก็ถูกซูอี้ฟาดกระเด็นเพียงแค่พลิกฝ่ามือ!
ง่ายดายราวกับดีดยุงตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งกระเด็น
“คน ๆ นี้ ดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าที่ล่ำลือกันเสียอีก!”
ฉินต่งซวีกับคนอื่น ๆ พากันสูดปาก จิตใจหวาดหวั่น
พวกเขารับทราบผลงานการต่อสู้ที่ผ่านมาของซูอี้เป็นอย่างดี รู้ว่าซูอี้เคยฆ่าเทพเซียนเดินดินบนน่านฟ้าของนครหลวงอวี้จิง และเคยเอาชนะชิวเหิงคงนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ยหน้าสำนักวงเดือน
ทว่าไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ซูอี้จะแข็งแกร่งยิ่งว่าที่พวกเรารู้มา!
อย่างไรเสียพลังการต่อสู้ที่อาหลินแสดงออกมาก็ทำให้พวกเขาบางคนที่อยู่ในขอบเขตเปิดทวารยังรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้แล้ว กลับไร้ซึ่งฤทธิ์เดช!
“คน ๆ นี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ?”
บรรดาจอมมารวิถีชั่วร้ายอย่างถงซิงไห่ที่อยู่ไกลออกไปแต่ละคน ไม่มีใครไม่ตื่นตะลึง สีหน้ามีแต่ความสับสน
แม้แต่หนุ่มน้อยชุดสีม่วงสะพายดาบ กับผู้เฒ่าที่สวมหมวกทรงสูงโบราณคนนั้นก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเช่นกัน
“ไม่ใช่แล้วกระมัง เพียงแค่นี้? เพียงแค่นี้? คุณชาย ผิดหวังมากเลยใช่หรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยอาการกระแนะกระแหน
ไม่ใช่เป็นเพราะนางใจกล้า แต่เป็นเพราะนางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว กลัวหรือไม่กลัวก็มีผลเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีก
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา “แค่คนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่อยู่ในสายตาคนหนึ่งเท่านั้น เดิมทีข้าก็ไม่มีอะไรต้องคาดหวังอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องผิดหวัง”
พอกล่าวเช่นนี้ออกมา สีหน้าของคนที่อยู่ข้างกายฉู่ซิวก็แลดูถมึงทึงขึ้นมา
เวลานี้ จู่ ๆ ฉู่ซิวกลับหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “สหายเต๋าซูร้ายกาจจริง ๆ เทียบกับตอนที่เขาเอาชนะชิวเหิงคงได้ในตอนนั้นแล้ว ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย หากว่าข้าดูไม่ผิด อีกเพียงแค่ก้าวเดียวสหายเต๋าซูก็จะถึงขอบเขตไร้เบญจธัญแล้วกระมัง?”
ซูอี้กล่าวราบเรียบ “พูดมากเสียจริง”
พูดจบ เขาชักนิ้วดีดออกไปราวกับชักดาบ
สวบ!
ปราณดาบบริสุทธิ์โฉบขึ้นไปกลางอากาศ พุ่งไปหาฉู่ซิว
“หาที่ตาย!”
ทันใด หนุ่มน้อยชุดสีม่วงสะพายดาบก็พุ่งออกมาในทันใด
ชิ้ง!
เขาพุ่งตัว ชักดาบ แทงดาบ แสดงทั้งสามท่านี้ในลมหายใจเดียว ทันใดพลังมีดสีโลหิตของภูตปีศาจก็ปรากฏพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าบาดตา ฟันลงไปด้วยความโกรธแค้น
ปัง!
พลังมีดกับพลังดาบปะทะกัน พลังอันยิ่งใหญ่แผ่กระจาย
ในที่สุด ถึงแม้หนุ่มน้อยชุดสีม่วงสะพายดาบจะสามารถต้านทานดาบ ๆ นี้ได้ ทว่าตัวของเขาก็สั่นสะท้านจนต้องถอยออกไปก้าวหนึ่ง สีหน้าดำขาวสลับกัน มีดสีโลหิตเล่มยาวในมือก็สั่นระริกจนเกิดเสียง
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เพียงแค่ตอบโต้โดยสัญชาตญาณเท่านั้น ถึงกับทำให้หนุ่มน้อยชุดสีม่วงสะพายดาบคนนั้นแสดงอาการโดนบีบคั้นออกมา!
พลังการต่อสู้ในตัวซูอี้ แข็งแกร่งถึงขั้นใดกัน?
ฉู่ซิวมองเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มจางลง ก่อนจะกล่าว “ผู้เฒ่าอวิ๋น เจ้าบุกพร้อมกับหรงเฮ่อและอาหลิน ไปทดสอบความสามารถของสหายเต๋าซูคนนี้ เขาในตอนนี้… ทำให้ข้ายิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้นทุกทีแล้ว”
กระทั่งถึงเวลานี้แล้ว เขาก็ยังไม่รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ยังไม่ยอมลงมือเอง เพียงแต่ให้คนข้างกายไปทดสอบดูเท่านั้น
ท่าทีสงบนิ่งใจเย็นเช่นนั้น ทำให้จิตใจที่ตื่นตระหนกและเคร่งเครียดของพวกถงซิงไห่สงบนิ่งลงไปมากเช่นกัน
“รับทราบ”
อาหลินกับผู้เฒ่าสวมหมวกทรงสูงโบราณคนนั้น พร้อมทั้งหนุ่มน้อยชุดสีม่วงสามคนพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน สายตาจับจ้องไปที่ซูอี้
เจอกับการทดสอบเช่นนี้ ซูอี้ถึงกับขมวดคิ้ว ในที่สุดก็เริ่มหมดความอดทน!