บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 383 หนึ่งดาบสังหารเทพปีศาจ!
ตอนที่ 383: หนึ่งดาบสังหารเทพปีศาจ!
ตอนที่ 383: หนึ่งดาบสังหารเทพปีศาจ!
เฉิงเจิน ถงซิงไห่ และคนอื่น ๆ เองก็มองดูฉู่ซิวด้วยแววตางุนงง
ในศึกก่อนหน้านี้ ฉู่ซิวมีโอกาสนับไม่ถ้วนที่จะลงมือ
แต่เขากลับไม่ได้ทำ
กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างอาหลินถูกฆ่า เขาก็ยังไม่ลงมือ!
นี่ทำให้ถงซิงไห่กับคนอื่น ๆ รู้สึกไม่พอใจ
ความแข็งแกร่งของฉู่ซิวเป็นที่รู้กันดี ตราบเท่าที่เมื่อครู่เขาลงมือ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ซูอี้จะฆ่าคนได้มากมายขนาดนั้น!
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคน ฉู่ซิวพลันยิ้มก่อนกล่าว “ก่อนนี้ข้าลังเลใจว่าจะมอบโอกาสยอมจำนนให้กับทางเจ้าดีหรือไม่ แต่ตอนนี้… ข้าเข้าใจแล้วว่าตัวตนเช่นเจ้ามีแต่ต้องทำลายทิ้งถึงจะทำให้ข้าสบายใจได้”
ซูอี้กล่าวคำออก “แค่ตัดสินใจต้องใช้เวลาคิดนานขนาดนั้นเลยรึ? เจ้าดูไม่เหมือนคนประเภทตัดสินใจไม่เด็ดขาดเท่าไรนะ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
ฉู่ซิวหัวเราะแล้วชี้ไปยังบันไดสามสิบสามขั้นด้านล่างพลางกล่าว “สหายเต๋าโปรดดูนี่”
สายตาทุกคู่ถูกดึงดูดไป
ก่อนเห็นเส้นริ้วโลหิตสีแดงฉานปรากฏบนขั้นบันไดหินที่คล้ายเลี่ยมด้วยทองและหยก
เส้นริ้วโลหิตเหล่านี้ดุจงูพุ่งรุดออกไปยังรูปปั้นหินทั้งสองฝั่งของขั้นบันไดหิน
เมื่อมองไปยังรูปปั้นหินที่ตั้งอยู่ มันมีประกายสีแดงเลือนรางวาบขึ้นและหายไปจนยากจะรับรู้หากไม่สังเกตดูดี ๆ
“ค่ายกลสังเวยโลหิตรึ?”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ
“ไม่ผิด… ยามที่ข้ามาถึงที่นี่เมื่อหลายวันก่อน ข้ารู้สึกได้ว่ารูปปั้นหินทั้งหกสิบหกตัวของบันไดหินทั้งสามสิบสามขั้นล้วนแฝงความลึกลับอันยิ่งใหญ่ไว้”
ฉู่ซิวพยักหน้าอย่างใจเย็น “หลังจากลองคำนวณและทำความเข้าใจ ในที่สุดก็มั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ล้มตายในหอดาบเซียน เลือดของพวกมันจะถูกพลังต้องห้ามที่ปกคลุมรูปปั้นไว้ดูดซับไป”
“แล้วข้าก็พบกับคัมภีร์โบราณบางส่วนในซากนี้ ซึ่งมันได้บันทึกเกี่ยวกับค่ายกลที่เรียกว่า ‘ค่ายกลสังเวยโลหิต’ นี้ไว้ มันถูกสร้างขึ้นโดย ‘ไป๋จ่างเฮิ่น’ เจ้าสำนักรุ่นที่สามของหอเซียนดาบ”
ฉู่ซิวเสริมขึ้นยิ้ม ๆ ว่า “ในรูปปั้นทั้งหกสิบหกตนมีวิญญาณอันหาญกล้าของปราชญ์จากหอเซียนดาบถูกกักไว้โดยพลังต้องห้าม ตราบใดที่ดูดซับเลือดได้มากพอ ค่ายกลนี้จะสามารถปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงออกมา”
“หากสามารถใช้เลือดของสัตว์วิญญาณที่แท้จริงมาเป็นสื่อ ค่ายกลนี้สามารถสังหารกระทั่งผู้ฝึกตนใต้ขอบเขตจักรพรรดิทั้งหมดลงได้!”
กล่าวถึงตรงนี้ฉู่ซิวก็มองย้อนกลับไปยังซูอี้แล้วกล่าว “น่าเสียดายที่เลือดของพวกที่ล้มตายในหอเซียนดาบธรรมดาเกินไป ดังนั้นแม้ว่าค่ายกลนี้จะเปิดใช้งาน มันก็สังหารได้เพียงขอบเขตแรกของวิถีวิญญาณ ‘ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ’ เท่านั้น”
ถึงจะบอกว่าน่าเสียดาย แต่สิ่งที่เขาเปิดเผยออกมาก็ได้ทำให้ทุกคนในที่นี้ตกตะลึงเกินพอแล้ว
“นายท่าน เช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เปิดใช้งานค่ายกลแล้วสังหารเจ้าซูอี้นั่นล่ะขอรับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถงซิงไห่จึงอดถามขึ้นไม่ได้
คนอื่น ๆ เองก็สงสัยเช่นกัน
“เพราะเลือดสำหรับเปิดใช้งานค่ายกลสังเวยโลหิตยังไม่พอ ทว่าเมื่อครู่ที่ข้าได้สังหารคนทั้งแปดเหล่านั้นไป เลือดที่ดูดซับไปจึงพอให้เปิดใช้งานค่ายกลนี่ได้อย่างเฉียดฉิว”
ผู้ตอบคือซูอี้
ฉู่ซิวปรบมือเข้าหากันอย่างชื่นชมพร้อมกล่าว “สิ่งที่เจ้ากล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถงซิงไห่กับเฉิงเจินก็รู้สึกเหน็บหนาวในใจ มือเท้าชา ตอนนี้เองที่พวกเขาตระหนักว่าที่ฉู่ซิวไม่ได้ทำอะไรเลยก่อนหน้านี้ เพราะต้องการสั่งสมเลือดให้เพียงพอต่อการเปิดใช้งาน ‘ค่ายกลสังเวยโลหิต’!
ซี่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่ถูกสังหารโดยซูอี้ได้กลายมาเป็นเครื่องสังเวย!
ใครบ้างจะไม่ประหลาดใจกับข้อเท็จจริงนี้?
ต้องรู้ก่อนว่าอาหลิน ราชาฉลามสมุทร และคนอื่น ๆ ต่างเป็นลูกน้องข้างกายฉู่ซิว แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย!
จิตใจเช่นนี้ กล่าวได้ว่าโหดเหี้ยมสุดขีด
กระทั่งฮวาซิ่นเฟิงยังต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตกใจกับความโหดเหี้ยมและไร้ปรานีของฉู่ซิว
ฉู่ซิวคล้ายไม่รับรู้ถึงสายตาประหลาดของทุกคน เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ทว่า สหายเต๋ายังเดาได้ไม่หมด”
“อ้อ?” ซูอี้เลิกคิ้ว
ฉู่ซิวกล่าว “นอกจากพลังอันแข็งแกร่งแล้ว ค่ายกลสังเวยโลหิตนี้ก็เป็นกุญแจสำคัญ ตราบใดที่สั่งสมเลือดมากพอจนปลุกรูปปั้นทั้งหกสิบหกได้ ก็ย่อมสามารถทลายผนึกบนประตูได้”
ทุกคนตะลึง ค่ายกลนี้ยังซุกซ่อนความลับเช่นนั้นไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
ทว่าซูอี้หัวเราะ “การปลุกวิญญาณในรูปปั้นทั้งหกสิบหกไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
ฉู่ซิวถอนใจแล้วกล่าว “ไม่ผิด ข้าเองก็กังวลเกี่ยวกับจุดนี้มาก่อน ดังนั้นข้าจึงวางแผนชักชวนผู้คนให้มาที่นี่ การรับศิษย์จำนวนมากย่อมดึงดูดผู้คน เช่นนี้ก็น่าจะสั่งสมเลือดได้มากพอที่จะเปิดประตูแล้ว”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างก็ตระหนกและขุ่นเคือง
ยกเว้นลุงอวิ๋นกับหรงเฮ่อ ในใจของคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกโศกเศร้า
กลายเป็นว่าเหตุผลที่ฉู่ซิวรับสมัครผู้คนก็เพื่อใช้เลือดของพวกเขาเปิดประตูตำหนักนี้!
สรุปสั้น ๆ คือพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเหยื่อในสายตาของฉู่ซิว เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็จะถูกสังเวยโดยไม่ใส่ใจ
“ชายผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว…”
ฮวาซิ่นเฟิงตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ก่อนนี้นางเห็นฉู่ซิวรับสมัครผู้ฝึกตนและคิดก่อตั้ง ‘สำนักเทพสวรรค์จำแลง’ ขึ้นมา นางยังคิดว่าชายผู้นี้ตั้งใจรวบรวมผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเพื่อครองโลก
ใครจะคิดว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นเลย!
คนผู้นี้เพียงใช้เรื่องนี้เป็นเหยื่อล่อดึงดูดผู้ฝึกตนให้มาเข้าร่วมกับเขา จากนั้นก็ใช้เลือดของคนเหล่านั้นในการคว้าโชคลาภภายในหอเซียนดาบ!
“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวออกทั้งหมดเช่นนี้? เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนเจ้าแผนการ และได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นรึ?”
ซูอี้ยังคงไม่แยแส
“ไม่ใช่”
ฉู่ซิวกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าเพียงใช้โอกาสนี้ทำให้พวกเจ้าตายตาหลับเท่านั้น”
เขาชี้ไปที่อกตัวเองแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “แท้จริงแล้วข้าเป็นคนจิตใจดียิ่งนัก ต่อให้สังหารศัตรูก็ทนให้อีกฝ่ายตกตายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้ มันเป็นหลักการของข้าเสมอ และเมื่อศัตรูทั้งหมดตาย ตัวข้าฉู่ซิวก็จะสบายใจ”
พวกได้ยินเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างขนลุกและเหน็บหนาวไปทั้งตัว
ซูอี้ยิ้มก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นตอนข้าสังหารเจ้าในภายหลัง ข้าจะบอกความลับที่ไม่คาดฝันให้เจ้ารู้”
“เช่นนั้นรึ?”
ฉู่ซิวแสร้งทำเป็นประหลาดใจก่อนจะยิ้ม “น่าเสียดายที่ข้าไม่สนใจความลับของคนตาย”
ขณะที่เขากล่าว ดาบเล่มขาวดุจหิมะพลันถูกชักออกมาจากแขนเสื้อ ที่ด้ามจับมีอักษรตัวเล็ก ‘ไป๋จ่างเฮิ่น’ สามตัวสลักไว้
ฉู่ซิวถือดาบไว้ในมือพลางเหลือบมองไปยังถงซิงไห่กับคนอื่น ๆ แล้วกล่าว “ทุกท่าน สิ่งที่ข้ากล่าวไว้ก่อนนี้ยังมีผลอยู่ ตราบใดที่พวกเจ้ารับใช้ข้าต่อไป ข้าฉู่ซิ่ว จะไม่สังหารพวกเจ้าแน่นอน เพราะถึงอย่างไรข้าก็ขาดแคลนกำลังคนใช้งานอยู่จริง ๆ”
จากนั้นเขาก็มองย้อนกลับไปที่ซูอี้และกล่าวว่า “สหายเต๋าซู เจ้ากล้าลองพลังของค่ายกลใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยเจ้าสำนักรุ่นที่สามของหอเซียนดาบหรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงรู้สึกกระวนกระวาย นางมองไปที่ซูอี้อย่างกังวล
“ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นตัวตนที่ควรค่าแก่การประมือด้วย แต่เจ้าในยามนี้ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ” ซูอี้ถอนใจ
“หากสามารถใช้ค่ายกลใหญ่สังหารศัตรูได้ เหตุใดจึงต้องลงมือด้วยตัวเองเล่า? สหายเต๋าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ผู้ร่ำรวยย่อมไม่คิดเสี่ยงภัย’ หรือ?”
ฉู่ซิวหัวเราะ
ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น ดาบสีขาวราวกับหิมะในมือของเขาก็ชี้ไปที่ความว่างเปล่า ก่อนเสียงดุจฟ้าร้องที่มืดมนจะดังมาจากริมฝีปากนั้น
“เปิด!”
เสียงนั้นก้องไปทั่วทุกทิศ
ตูม!
รูปปั้นบนบันไดหินเก้าขั้นพลันเกิดการสั่นสะเทือน ราวกับพวกมันได้ตื่นขึ้นจากความเงียบงันอันไร้ที่สิ้นสุด
ทันใดนั้น พลังอันมหาศาลจากรูปปั้นก็ระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า ปกคลุมซึ่งฟากฟ้าและดวงตะวัน
ภายใต้สายตาหวาดกลัวของฝูงคน พวกเขาก็เห็นเงาร่างที่น่าสะพรึงซึ่งอาบไปด้วยรัศมีปีศาจร่างแล้วร่างเล่าก่อตัวขึ้นเหนือรูปปั้น
บางตัวมีรูปร่างเหมือนเสือโคร่งและมีขนาดใหญ่เท่าภูเขา
บางตัวมีหัวเหมือนม้า เขาหนึ่งอัน สี่กีบเท้าดุจเสาเหล็กกล้า และมีเกล็ดสีแดงปกคลุมร่าง
บางตัวหัวเป็นงูร่างเป็นคน มือทั้งสองข้างถือค้อนยักษ์ที่ล้อมรอบด้วยฟ้าร้องฟ้าแลบ
…มันมีสัตว์ร้ายทั้งหมดสิบแปดร่าง ซึ่งเมื่อพวกมันปรากฏขึ้น พลังผันผวนที่ถูกยับยั้งไว้ก็พลันกระจายออกไป
เพียงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของค่ายกลต้องห้ามก็ทำให้ถงซิงไห่และคนอื่น ๆ หายใจไม่ออก ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
“น่าสยดสยองเกินไปแล้ว!!!”
พลังที่เปล่งออกมาจากร่างทั้งสิบแปดนั้นเกินขอบเขตของวิถีต้นกำเนิดทั้งสามไปโดยสิ้นเชิง และเกือบจะไม่ต่างจากผู้ฝึกต้นขั้นวิถีวิญญาณในตำนาน
แต่ซูอี้ดูคล้ายจะไม่รับรู้ เขาเพียงเหลือบมองไปยังฮวาซิ่นเฟิงที่ตัวสั่นและประหม่าอยู่ไม่ไกล ก่อนจะอดหัวเราะไม่ได้ “เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้ากล้าหาญมากนักหรือ เหตุใดเจ้าถึงหวาดกลัวเช่นนี้เล่า?”
ฮวาซิ่นเฟิงโง่งมไปครู่หนึ่ง ท่านปู่ซูของข้า เวลาเช่นนี้แล้วท่านยังมีกะจิตกะใจมาล้อเล่นอีกหรือ?!
“ไป!”
ไกลออกไป ดาบสีขาวในมือฉู่ซิวพลันชี้ไปทางซูอี้
ทันใดนั้น ร่างของสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงทั้งสิบแปดร่างก็วูบหายไปในอากาศ ราวกับพวกมันกำหนดเป้าหมายไว้แล้วจึงพุ่งเข้าใส่ซูอี้ด้วยพลังผันผวนอันมหาศาล
ครืน!
ที่นำมาคือสัตว์ที่หัวเป็นงูร่างเป็นคนซึ่งถือค้อนยักษ์คู่ไว้ พลังต้องห้ามบนร่างของมันเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีดำที่หนาเท่าแขนเด็ก รัศมีชั่วร้ายพลุ่งพล่าน
ในพริบตามันก็โผล่มาอยู่ด้านหน้าซูอี้ห่างออกไปสิบฉื่อพร้อมกระแทกค้อนลงมา
ราวกับพายุฝนฟ้าคะนองที่ซัดสาดลงมาจากท้องฟ้า ส่งรัศมีแห่งการทำลายล้างออกเป็นวงกว้าง ทำให้ถงซิงไห่ เฉินเจิน และคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปรู้สึกสิ้นหวัง
หากลองถามพวกเขาคนใดคนหนึ่ง เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถต้านรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้
ในเวลานี้เอง ซูอี้ยิ้มขึ้นแล้วชูมือไปทางประตูตำหนักด้านหลังที่อยู่ห่างไปสามฉื่อ
ฮึ่ม!
พลันประตูตำหนักมีลวดลายยันต์สีใสปรากฏขึ้น
“อ๊ะ!”
ฮวาซิ่นเฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุด เพียงเหลือบมองก็จำได้ว่าลวดลายของยันต์นี้คือสิ่งที่ซูอี้สลักไว้ที่ประตูตำหนักยามมาถึงที่นี่ตอนแรก
เวลานั้นเขายังถูกเย้ยหยันโดยสตรีนามซางลั่วอวี่อยู่เลย
แต่ยามนี้ เมื่อลวดลายยันต์ปรากฏขึ้น พลังต้องห้ามอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเร้นอยู่ก็พลันพุ่งออกไปดุจกระแสน้ำ และถูกซูอี้คว้าเอาไว้ก่อนจะกลายเป็นดาบวิถี!
ดาบยาวสามฉื่อก่อตัวขึ้นโดยพลังต้องห้ามอันลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่
ด้วยดาบในมือ ซูอี้ฟันออกไปข้ามฟากฟ้า
ตูม!
ปราณดาบสายหนึ่งที่เหมือนประกายสายฝนวาบผ่านทั่วผืนฟ้า และด้วยการกวาดเบา ๆ ร่างของมนุษย์หัวงูกับสัตว์ร้ายที่พุ่งไปข้างหน้าก่อนนั้นถูกผ่าออกเป็นสองส่วนราวกับกระดาษในฉับพลัน!
ทันใดนั้นทั้งร่างและค้อนยักษ์ในมือสัตว์ร้ายก็ระเบิดออกกลายเป็นสายฝนโปรย ก่อนจะหายไปไม่เหลือร่องรอย
นี่มัน…
หนึ่งดาบสังหารเทพปีศาจ!
ถงซิงไห่กับคนอื่น ๆ ต่างตะลึงงันไป
เมื่อเห็นฉากนี้ ฉู่ซิวที่ใจเย็นและสงบนิ่งมาโดยตลอดก็เปลี่ยนสีหน้า