บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 384 สังหารศัตรูเหมือนถอนหญ้าทิ้ง
ตอนที่ 384: สังหารศัตรูเหมือนถอนหญ้าทิ้ง
ตอนที่ 384: สังหารศัตรูเหมือนถอนหญ้าทิ้ง
ค่ายกลสังเวยโลหิตเป็นค่ายกลโบราณที่สร้างขึ้นโดยไป๋จ่างเฮิ่น เจ้าสำนักรุ่นที่สามของหอเซียนดาบ
หากสามารถดูดซับแก่นแท้โลหิตของสัตว์วิญญาณที่แท้จริงได้ พลังของมันย่อมเพียงพอที่จะสังหารศัตรูภายใต้ขอบเขตจักรพรรดิทั้งหมดลงได้!
ยามนี้พลังของค่ายกลนี้ถูกควบคุมโดยฉู่ซิว แม้ว่าพลังจะยังไม่ถึงระดับที่แข็งแกร่งที่สุดก็ตาม แต่อำนาจของมันก็ยังน่าสะพรึงจนทำให้ถงซิงไห่ เฉิงเจิน และคนอื่น ๆ ต่างสิ้นหวัง
ทว่า ในเวลานี้ ด้วยดาบเดียว ซูอี้ได้ตัดร่างสัตว์ร้ายที่แปลงมาจากค่ายกลนี้ลง!
ไม่ต้องสงสัยว่านี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างยิ่ง!
โดยไม่รอปฏิกิริยาของทุกคน…
ฉึบ! ฟึบ! ฟุบ!
ขณะที่ซูอี้เหวี่ยงดาบของเขา ปราณดาบที่ก่อตัวมาจากพลังต้องห้ามที่ซ่อนเร้นก็พุ่งขึ้นและฟาดลงไปในความว่างเปล่า
สัตว์ร้ายตัวอื่น ๆ อีกสิบเจ็ดตัวที่พุ่งออกไปพลันถูกผ่าออกอย่างง่ายดายเหมือนฟองอากาศขนาดใหญ่กลายเป็นหยาดฝนโปรยลงมาจากท้องฟ้า
ตูม!
สายฝนโปรยปรายที่เกิดจากร่างของสัตว์ร้ายเหล่านั้นสลายออกไป มันได้แผ่กระจายไปดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ
“นี่…”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
ถงซิงไห่ เฉิงเจิน และคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง
ส่วนฮวาซิ่นเฟิงในที่สุดก็เข้าใจในเวลานี้เอง ว่าลวดลายยันต์สีใสที่สลักไว้ที่ประตูตำหนักโดยซูอี้ก่อนหน้านี้ที่คล้ายจะไม่อาจทำลายผนึกบนประตูได้ จริง ๆ แล้วมันเป็นเสมือนกุญแจที่ทำให้ซูอี้สามารถควบคุมพลังต้องห้ามนั้นได้!
“เจ้าถึงกับสามารถใช้พลังต้องห้ามของ ‘ค่ายกลผนึกเก้าสววรค์’ ที่ ‘จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน’ ทิ้งไว้ได้งั้นหรือ?”
ฉู่ซิวไม่สามารถสงบใจได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขามืดมนและไม่สงบ
เขาเคยมีโอกาสที่จะชนะ ซึ่งเชื่อว่าด้วยพลังของค่ายกลสังเวยโลหิต เขาจะสามารถกำจัดศัตรูทั้งหมดลงได้
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าซูอี้จะสามารถปราบไพ่ตายของเขาลงได้อย่างง่ายดาย!
มันเหมือนกับโดนน้ำเย็นสาดใส่กะทันหัน ซึ่งทำให้ฉู่ซิวคาดไม่ถึง แล้วเช่นนี้เขาจะยังสงบใจอยู่ได้อย่างไร?
“ทันทีที่ข้าก้าวขึ้นไปบนบันไดหินสามสิบสามขั้น ข้าพลันตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรูปปั้นหิน ชั่วขณะนั้นข้าก็รู้แล้วว่ารูปปั้นเหล่านั้นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของใครบางคน”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ในตอนแรก ข้ายังวางแผนที่จะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อทำลายค่ายกลตรงหน้าทีละส่วน แต่เมื่อข้าค้นพบความผิดปกติ ข้าก็เปลี่ยนใจทันที”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปยังฉู่ซิวที่อยู่ไกล ๆ “จากนั้นก็อย่างที่เจ้าเห็น ทำลายค่ายกลด้วยพลังของค่ายกลเอง”
เฉิงเจิน ซางลั่วอวี่ และคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปต่างก็สั่นสะท้านในใจ จากนั้นพวกเขาพลันตระหนักว่าเพียงมาถึงที่นี่… ซูอี้ก็ได้มองทะลุความลึกลับมากมายและได้เตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว!
จิตใจและวิธีการเช่นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉู่ซิวสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณที่ถูกทิ้งไว้ของหอเซียนดาบ ตำหนักแห่งนี้ถูกทิ้งไว้โดยผู้ก่อตั้ง ‘จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน’ และ ‘ค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์’ ก็สามารถเปิดใช้งานผ่าน ‘ค่ายกลสังเวยโลหิต’ ได้เท่านั้น แต่เหตุเจ้าถึงควบคุมมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้กัน?”
“เจ้าไม่เข้าใจรึ?” ซูอี้พูดอย่างสบาย ๆ
“’ค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์’ ในตำหนักแห่งนี้สมกับที่เรียกว่าเป็นค่ายกลสังหารตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ แต่หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด พลังส่วนใหญ่ของค่ายกลนี้ก็ได้หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงแหล่งพลังเล็กน้อยสำหรับรักษาค่ายกลนี้ให้คงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ตราบใดที่มองเห็นแก่นลึกลับของค่ายกลนี้ เพียงใช้ยันต์ก็สามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างง่ายดายแล้ว”
“นี่… สหายเต๋าซู เจ้าคิดว่าตัวเองชนะแล้วจริง ๆ งั้นหรือ?”
ฉู่ซิวเยาะเย้ย
ทว่าซูอี้กลับตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยคมดาบ
ฉัวะ!
ปราณดาบที่ถูกล้อมรอบพลังต้องห้ามอันซ่อนเร้นบนท้องฟ้าฟันตรงไปทางฉู่ซิวที่อยู่ไกลออกไป
ฉู่ซิวไม่ได้หลบเลี่ยง เขาเพียงจ้องไปที่ซูอี้ด้วยดวงตาที่แจ่มชัด แล้วเอ่ยเค้นทีละคำ
“ซูอี้ เจ้าทำลายแผนการของข้า ครั้งต่อไปที่เจอกัน ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสคมดาบของข้าฉู่ซิวอย่างแน่นอน!”
เสียงนั้นยังคงก้องกังวาน ก่อนที่ทั่วร่างของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบอันกว้างใหญ่
ตูม!
สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนว่าในพริบตาร่างกายของฉู่ซิวถูกตัดออกเป็นชิ้น ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ ถงซิงไห่ เฉิงเจิน และคนอื่น ๆ ต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่พวกเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อตายไปแล้ว อีกฝ่ายจะพูดถึงการพบกันครั้งหน้าได้อย่างไรกัน?
ฮวาซิ่นเฟิงเองก็งงงวยพอ ๆ กันจึงถามออกไปทันที
“นี่ไม่ใช่ร่างจริงของเขา”
ซูอี้ตอบพลางเอื้อมมือออกไปคว้าจับชิ้นส่วนร่างกายฉู่ซิวซึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศจากแรงระเบิด
หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าเศษซากเหล่านั้นก็คือผงเหล็กที่ถูกเผาไหม้
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายผู้นี้ปฏิเสธที่จะลงมือตั้งแต่ต้นจนจบ กลายเป็นว่าเขาเป็นเพียง ‘หุ่นเชิด’ ที่หลอมขึ้นด้วยวิธีการลับเท่านั้น”
ซูอี้กล่าวอย่างดูถูก
“หุ่นเชิด?”
ฮวาซิ่นเฟิงตะลึงไป ก่อนพูดขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่อ “คนตัวโตเช่นนี้จะกลายเป็นหุ่นเชิดไปได้อย่างไร?”
“หุ่นเชิดเช่นนี้เรียกว่า ‘หุ่นเชิดศพ’ มันเป็นทักษะเล่นแร่แปรธาตุที่สำนักปีศาจนิยมใช้ ผิวหนัง เนื้อ และกระดูกของบุคคลที่มีชีวิตจะถูกเลาะออกมาแล้วหลอมรวมเข้ากับวัตถุรวมถึงโอสถวิเศษต่าง ๆ ด้วยทักษะเฉพาะและพลังของคาถาลับ หุ่นเชิดศพที่ได้รับการหลอมจะไม่แตกต่างไปจากผู้คนที่มีชีวิตเลย”
ซูอี้พูดอย่างสบาย ๆ ก่อนกล่าว “เพื่อควบคุมหุ่น เจ้าต้องทำการตัดจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตัวเองออกมารวมเข้ากับร่างกายของหุ่นเชิด ด้วยวิธีนี้ หุ่นเชิดจึงเป็นเหมือนร่างอวตารของตนที่รักษาไว้ซึ่งสติปัญญา จิตวิญญาณ และพลังชีวิต”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เขาก็เอ่ยต่อว่า “ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่เผยตัว อย่าว่าแต่คนธรรมดา แม้แต่ผู้ฝึกตนเช่นข้าก็ยังแยกแยะลมหายใจของหุ่นเชิดศพได้ยาก”
หลังจากฟัง ฮวาซิ่นเฟิงก็อดถอนหายใจไม่ได้
นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหุ่นเชิดศพมาก่อน ทว่าซูอี้ไม่เพียงรู้จัก แต่ยังคล้ายรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการสร้างหุ่นเชิดด้วย!
ฟุบ! ฟุบ!
ในเวลานี้ หรงเฮ่อและลุงอวิ๋นซึ่งอยู่ห่างออกไปพากันเผ่นหนี
ซูอี้เหลือบมองพวกเขาแล้วโบกแขนเสื้อ
ตูม!
พลังต้องห้ามพลันกวาดออกไปดุจตาข่ายขนาดใหญ่ ครอบคลุมร่างทั้งสองไว้แล้วลากพวกเขามาหาซูอี้
ถงซิงไห่ เฉิงเจิน และคนอื่น ๆ ที่วางแผนใช้โอกาสนี้หลบหนีเช่นกัน เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้า หัวใจของพวกเขาก็พลันกลายเป็นเย็นยะเยือก
ก่อนหน้านี้ซูอี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะสังหารพวกเขาทั้งหมดลงแล้ว
และยิ่งยามนี้ เขายังสามารถควบคุม ‘ค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์’ ไว้ จึงราวกับว่าชายหนุ่มได้กลายมาเป็นเจ้านายของตำหนักอันวิจิตรแห่งนี้ไปแล้ว!
คนเหล่านี้จึงหลายเป็นเสมือนปลาเนื้อบนเขียงที่ทำได้แค่รอถูกแล่เชือดเท่านั้น!
“พวกเจ้าสองคนก็เป็นผู้สิงสถิตเช่นกัน แต่กลับเต็มใจที่จะรับใช้ฉู่ซิวในฐานะเจ้านาย เป็นไปได้หรือไม่ว่า… พวกเจ้ามาจากโลกเดียวกัน?”
ซูอี้ไขว้มือไว้ข้างหลังพลางมองลงมาที่ลุงอวิ๋นกับหรงเฮ่อที่ถูกตรึงลงกับพื้น
ลุงอวิ๋นแสดงสีหน้าหวาดกลัว และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ซูอี้ ข้าแนะนำให้เจ้าปล่อยพวกเราไป ไม่อย่างนั้นเมื่อร่างแท้จริงของเจ้านายข้าปรากฏตัว…”
ไม่ทันที่จะพูดจบ เขากับหรงเฮ่อที่อยู่ข้างกายก็พากันกระอักเลือดออกมาเต็มปาก พลังชีวิตของทั้งคู่หายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นและไม่หายใจอีกต่อไป
ผู้สิงสถิตที่ทรงพลังสองคนเสียชีวิตลงอย่างฉับพลัน!
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีคาถาต้องห้ามอยู่ในจิตวิญญาณ ลูกไม้ของฉู่ซิวผู้นี้ช่างเยี่ยมนัก”
เดิมที เขาวางแผนที่จะดึงวิญญาณของคนสองคนนี้ออกมาแล้วศึกษาที่มาของพวกเขา
แต่ตอนนี้ทำได้แค่ปล่อยไป
จากนั้น สายตาของซูอี้ก็เบนไปหาถงซิงไห่ ปีศาจงูสวรรค์เฒ่า เฉิงเจิน ซางลั่วอวี่ และคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป
ในขณะนั้น สีหน้าของถงซิงไห่ และคนอื่น ๆ ต่างก็แปรเปลี่ยนราวกับว่าพวกเขาถูกจ้องมองโดยเทพเจ้าแห่งความตาย จึงพากันรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วร่าง
“สหายเต๋าซู ข้าไม่มีความคับข้องใจหรือเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงการปฏิบัติตามคำสั่ง ถ้าสหายเต๋ายินดีมอบทางออกแก่ข้า ถงผู้นี้ยินดีที่จะสาบานด้วยชีวิตว่าจะรับใช้เจ้าในฐานะนายท่าน!”
ถงซิงไห่สูดหายใจเข้าลึกแล้วโค้งคำนับ
“ข้าเองก็เต็มใจที่จะรับใช้สหายเต๋าในฐานะเจ้านาย ยินดีบุกน้ำลุยไฟ และทำทุกอย่างเพื่อนายท่าน!”
ปีศาจงูสวรรค์เฒ่าเองก็ตื่นตระหนกและรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
จอมมารที่ดุร้ายและทรงพลังสองตนนี้ ยามเผชิญหน้ากับซูอี้ในเวลานี้ พวกเขากลับเป็นเสมือนไก่สองตัวที่หวาดกลัวจนตัวสั่น
“พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นลูกน้องของซูผู้นี้”
ซูอี้พูดอย่างใจเย็น
“ร่วมมือกันจัดการเขา!”
ดวงตาของถงซิงไห่เป็นประกายดุร้าย เขาตะโกนก้องพลางกวัดแกว่งหอกเข้าสังหารซูอี้
ในเวลาเดียวกัน ปีศาจงูสวรรค์เฒ่าก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เพียงแต่เขาวิ่งหนีไปไกลลิบ เห็นได้ชัดว่าคิดที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้หลบหนี
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดที่จะส่ายหัวไม่ได้
เป๊าะ! เป๊าะ!
เขาดีดนิ้ว
ปราณที่ห่อหุ้มนิ้วพุ่งออกไปดั่งศร ตรงเข้าเจาะที่หว่างคิ้วของถงซิงไห่ ทิ้งไว้ซึ่งรอยรูเปื้อนเลือด และร่างนั้นก็ล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังตุ้บ …ถูกสังหาร!
ส่วนปราณจากอีกนิ้วหนึ่งก็แทงทะลุด้านหลังปีศาจงูสวรรค์เฒ่า ทะลุผ่านหัวใจของอีกฝ่าย ก่อให้เกิดสายฝนสีแดงฉานขึ้น
สังหารศัตรูด้วยการดีดนิ้ว!
ไม่ว่าจะเป็นทั้งถงซิงไห่ที่วางแผนจะทุ่มสุดตัว หรือปีศาจงูสวรรค์เฒ่าที่คิดฉวยโอกาสหลบหนี พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกฆ่าตายคาที่ดุจมดปลวก
ฉากนองเลือดอันน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้เฉิงเจิน ซางลั่วอวี่ และคนอื่น ๆ ที่เหลือรอดอยู่รู้สึกเหน็บหนาวอย่างสมบูรณ์ ต่างคนต่างรู้สึกสิ้นหวังอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เดิมซูอี้ก็ทรงพลังมากอยู่แล้ว แต่ในเวลานี้เขายังสามารถควบคุมพลังของค่ายกลได้อีก ดังนั้นอย่าหวังเลยว่าจะมีหนทางเอาชนะ!
“แล้วเจ้าเล่า ยังต้องการพูดอะไรอีก?” ซูอี้มองไป
เฉิงเจินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ประสานมือของเขาเข้าด้วยกัน แล้วพูดขณะก้มหัวลง “สหายเต๋าซู ประสกจะลงมือไม่ได้อีกแล้ว หากยังลงมือประสกจะต้องรับผลที่ตามมา แต่หากประสกเต็มใจเก็บมีดสังหารลง หลวงจีนผู้นี้สามารถใช้ชีวิตของตนสาบานได้ว่าต่อจากนี้ไป วัดซ่างหลินจะไม่เป็นศัตรูกับประสกอีกต่อไป!”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองดูซูอี้อย่างสงบ “แต่ถ้าสหายซูยืนยันจะลงมือ ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องทนทุกข์จากความเกลียดชังและการแก้แค้นไม่รู้จบจากวัดซ่างหลินของข้าในอนาคต”
ข้างหลังเขามีหลวงจีนวัยกลางคนสองคนยืนอยู่ ทั้งหมดมองมาที่ซูอี้ รอให้ชายหนุ่มตัดสินใจ
แต่กลับเห็นเพียงซูอี้แค่นเสียงเย็น และใช้สายตาเย้ยหยันจ้องมองกลับมาขณะกล่าว “ตราบใดที่พวกเจ้าวัดซ่างหลินไม่กลัวที่จะถูกทำลาย ก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ไม่ทันพูดจบ เขาก็โบกแขนเสื้อ ทำให้พลังจากค่ายกลก่อตัวเป็นแสงระยิบระยับปกคลุมเฉิงเจินและพวกไว้
ในชั่วพริบตา ศัตรูเหล่านี้ก็ถูกทำลายลง วิญญาณแตกซ่าน ง่ายดายราวการปอกหัวหอม
ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงซางลั่วอวี่เท่านั้น
ใบหน้าที่เย็นชาและงดงามซีดขาว คิ้วและดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวนางไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งและโอหังอย่างที่เคยมีอีกต่อไป
ข้างหลังนาง ดาบโบราณเทียนเซี่ยส่งเสียงคำรามและสั่นสะเทือนคล้ายสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุกคาม
เมื่อซูอี้มองดูนาง ซางลั่วอวี่ก็รู้สึกกลัวมากจนชักดาบออกมาและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“ซูอี้ ข้ายอมรับว่าข้าเคยล่วงเกินเจ้ามาก่อน แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ ถ้าเจ้าลองคิดดูจริง ๆ มันไม่มีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งระหว่างเจ้ากับข้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ปล่อยข้าไปกัน?”