บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 385 ร่างวิญญาณภูต
ตอนที่ 385: ร่างวิญญาณภูต
ตอนที่ 385: ร่างวิญญาณภูต
ฮวาซิ่นเฟิงตกตะลึง
นางไม่ได้คาดว่าเมื่อซางลั่วอวี่ร้องขอความเมตตา นางจะทำท่าทีเหมือนโดนใส่ร้าย และโกรธเคืองไม่ยินยอม ราวกับว่านางคือผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อ
คิดเสร็จ ฮวาซิ่นเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หญิงชั่ว ถ้าเจ้าคุกเข่าลงตอนนี้และตบหน้าตัวเองหนึ่งร้อยแปดหน ข้าอาจช่วยเจ้าช่วยอ้อนวอนคุณชายซู อย่างน้อยตอนตาย เจ้าก็จะมีความสุขนิดหน่อย และไม่จำเป็นต้องทนทุกข์มากนัก”
ซางลั่วอวี่กัดริมฝีปาก ใบหน้าของนางซีดเผือด ทว่านางก็ยังคงมองแต่เพียงซูอี้โดยไม่สนใจฮวาซิ่นเฟิงแม้แต่น้อย
สตรีย่อมรู้จักสตรีด้วยกันดีที่สุด และที่ฮวาซิ่นเฟิงพูดเช่นนี้ก็แค่อาศัยโอกาสนี้ทำให้นางอับอายเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น… ซางลั่วอวี่จะไม่รู้ว่าได้อย่างไรว่าคนที่ตัดสินชีวิตและความตายของนางจริง ๆ ก็คือซูอี้?
เป็นตอนนี้เองที่ซูอี้พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้า ระหว่างตายกับถูกข้าทำลายฐานการบ่มเพาะและนำดาบโบราณเทียนเซี่ยออกมาจากร่างกายของเจ้าตอนนี้”
ร่างของซางลั่วอวี่สั่นเล็กน้อย นางคิดจะพูดบางอย่าง
ทว่าซูอี้กลับเอ่ยขัด “ถ้าเจ้าพูดจาไร้สาระ ข้าจะสังหารเจ้าลงเดี๋ยวนี้”
เมื่อมองไปยังดวงตาที่ไม่แยแสและสงบนิ่งของซูอี้ หัวใจของซางลั่วอวี่ก็เต็มไปด้วยความกลัวที่อธิบายไม่ถูก
ฮวาซิ่นเฟิงกอดอกมองดูฉากนี้ด้วยความสนใจ
ทางเลือกที่ซูอี้มอบให้นั้นโหดร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเลือกเงื่อนไขที่สอง แม้อาจไม่ตาย แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เช่นซางลั่วอวี่การฆ่านางทิ้งยังดีเสียกว่า
ลองนึกภาพตาม เหตุผลที่นางสามารถเป็นตำนานรุ่นเยาว์ของต้าฉินได้ก็เพราะพลังการฝึกฝนของนางนั้นยอดเยี่ยม ประการที่สองเป็นเพราะการยอมรับจากดาบโบราณเทียนเซี่ย
เมื่อนางสูญเสียฐานการฝึกฝนและดาบโบราณเทียนเซี่ยไป นางจะไม่ต่างจากเทพธิดาชั้นสูงผู้ร่วงหล่นซึ่งสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมี!
เมื่อถึงตอนนั้น สิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือความทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด!
สิ่งนี้เตือนให้ฮวาซิ่นเฟิงนึกถึงคราที่ซูอี้เคยประสบเมื่อเขาอยู่ในสำนักดาบชิงเหอ ยามสูญเสียการฝึกฝน เขาก็กลายเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของสำนักทันที และตกเป็นเขยแต่งเข้าที่ถูกเหยียดหยัน…
และในฐานะสตรี ซางลั่วอวี่ หากตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางจะต้องเผชิญกับการโจมตีที่โหดร้ายแบบใดกัน?
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ฮวาซิ่นเฟิงก็พลันตัวสั่นเทา
สำหรับผู้ฝึกตน ไม่ว่าชายหรือหญิง เมื่อพวกเขาสูญเสียความแข็งแกร่ง อัตลักษณ์ สถานะ และตกจากตำแหน่งที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต สถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญสามารถเรียกได้ว่ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย!
หลังจากผ่านไปนาน ซางลั่วอวี่ก็สูดหายใจเข้าลึกและเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก นางมองไปที่ซูอี้ด้วยสีหน้าบ้าคลั่งและกล่าวว่า
“พวกเจ้าทุกคนบังคับข้าเอง!!”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ก่อนที่จะเกิดเสียง…
เคร้ง!
ในขณะที่เสียงนั้นยังคงก้องกังวาน ดาบยักษ์พลันพุ่งออกมาจากข้างหลังซางลั่วอวี่
ดาบโบราณเทียนเซี่ย!
ทันทีที่ดาบออกมา ตัวดาบยาวสี่ฉื่อและกว้างเจ็ดชุ่นซึ่งปกคลุมด้วยปราณดาบสีดำอันทรงพลัง ก็ได้แผ่รัศมีแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวออกมา!
เมื่อมองดี ๆ จะพบว่าดาบถูกสลักด้วยลวดลายแปลกประหลาดซึ่งคล้ายกับรูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายบรรพกาลอย่างเซี่ยจื้อ*[1] ที่กำลังกางเล็บแยกเขี้ยวดูดุร้ายยิ่ง
“อย่างที่คิด นี่คือศาสตราปีศาจวิถีวิญญาณที่มีร่างวิญญาณภูต”
ดวงตาของซูอี้เป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง
ครั้งแรกที่เห็นซางลั่วอวี่ในหมู่บ้านเทียนสุ่ย ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าดาบยักษ์ที่สตรีนางนี้ถือครองอยู่นั้นไม่ธรรมดา
และสรุปได้คร่าว ๆ ว่าร่างวิญญาณภูตที่เกิดจากดาบเล่มนี้ทำตัวคล้ายกาฝากอยู่ในร่างของซางลั่วอวี่ แต่ไม่ได้เข้ายึดครองร่าง
ดังนั้น ซูอี้จึงกล่าวว่าซางลั่วอวี่เป็นผู้สิงสถิตครึ่งเดียว
ตูม!
ดาบยักษ์พุ่งข้ามท้องฟ้าตรงเข้าฟันใส่ซูอี้ ปราณดาบสีดำบดบังท้องฟ้า รัศมีปีศาจอันน่าสะพรึงหนาแน่นไร้ที่สิ้นสุดแผ่ออก
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของซางลั่วอวี่ก็หายวับไป ก่อนตรงเข้าสังหารฮวาซิ่นเฟิง
ดูเป็นเรื่องโง่เขลายิ่งที่จะลงมือจัดการซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิงพร้อมกัน
แต่ดูเหมือนซูอี้จะเข้าใจ มุมริมฝีปากของเขาจึงอดเผยความดูถูกเหยียดหยามออกมาไม่ได้
เขาโบกแขนเสื้อ
ตูม!
แรงกดดันของพลังต้องห้ามมหาศาลพุ่งสู่ท้องฟ้าราวกับสายธารจากสวรรค์ มันกระแทกเข้าใส่ดาบโบราณเทียนเซี่ยจากในอากาศ
ดาบเล่มนี้มีความพิเศษยิ่ง พลังของมันแข็งแกร่งนัก แต่เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีจากพลังต้องห้ามของ ‘ค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์’ ที่สร้างโดยจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน ดาบที่ว่าแข็งแกร่งนี้กลับดูจะต้านทานไม่ไหว!
ในชั่วพริบตา…
พร้อมกับเสียงดังปัง ดาบโบราณเทียนเซี่ยร้องคร่ำครวญออกมา ระหว่างที่ร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง มันพลันถูกปราบและกักขังไว้ โดยไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!!
“ตายซะ!”
ในเวลาเดียวกัน ซางลั่วอวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าฮวาซิ่นเฟิง นางโบกฝ่ามือซีดขาว ส่งคมมีดสีดำพุ่งแทงไปทางฮวาซิ่นเฟิง
ฟึบ!
หัวของฮวาซิ่นเฟิงถูกตัดออกโดยตรง
ซางลั่วอวี่หันกลับมามองซูอี้จากไกล ๆ พลางฉีกยิ้มที่ทั้งภาคภูมิใจและบ้าคลั่ง “หากเจ้าต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย เช่นนั้นข้าจะใช้ชีวิตของข้าเพื่อสังหารสตรีข้างกายเจ้า และปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกผิดไปชั่วกัปชั่วกัลป์!”
ซูอี้มีสีหน้าเรียบเฉย
ทำให้ซางลั่วอวี่ตระหนักว่าปฏิกิริยาของซูอี้ไม่ถูกต้อง!
ขณะที่นางงุนงงก็มีเสียงอันน่าสงสารของเด็กน้อยดังขึ้นในทะเลแห่งจิตวิญญาณของนางว่า “นายท่าน สิ่งที่ท่านเพิ่งทำลายไปนั้นเป็นเพียงยันต์แทนกาย”
“ยันต์แทนกาย?”
ราวกับถูกฟ้าผ่า ซางลั่วอวี้กล่าวด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “นี่มันบ้าอะไรกัน?”
ในเวลานี้เอง ร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้นห่างออกไป และร่างนั้นก็คือฮวาซิ่นเฟิง!
นางปาดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากออกด้วยความหวาดกลัว สีหน้าของนางขณะนี้น่าเกลียดยิ่ง
การโจมตีเมื่อครู่รุนแรงและน่ากลัวนัก ทำให้การป้องกันของนางทั้งหมดบอบบางไม่ต่างจากกระดาษ ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ในช่วงเวลาวิกฤตนั้นเองนางได้ทำลายยันต์แทนกายที่ซ่อนอยู่ในฝ่ามือให้แตกจึงรอดพ้นภัยนี้มาได้
ตูม!
ในเวลาเดียวกัน ซูอี้ก็เคลื่อนไหว และด้วยการกดเพียงครั้งเดียว พลังต้องห้ามบนฟ้าก็ราวกับสายฝนโปรยตรงเข้าปกคลุมเงาร่างที่งดงามของซางลั่วอวี่
“เปิด!”
ซางลั่วอวี่พยายามดิ้นรนด้วยพลังทั้งหมด นางผลาญพลังปราณในร่างจนเกินขีดจำกัด แล้วยังใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างสิ้นหวัง จนปราณในร่างของนางราวกับลุกไหม้และปล่อยพลังอันแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา
แต่ภายใต้การสะกดของพลังต้องห้าม ความพยายามทั้งหมดของนางเสมือนมดปลวกคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ พลังที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของนางสลายหายไปจนสิ้น!
“เซี่ย ช่วยข้าด้วย!!”
ซางลั่วอวี่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ตูม!
เงาร่างสีดำพุ่งออกมาจากร่างของซางลั่วอวี่ ดูคล้ายเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หากแต่ร่างกายของนางกลับแผ่กลิ่นอายรัศมีปีศาจสีดำอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังต้องห้าม ในชั่วพริบตา เด็กหญิงตัวน้อยพลันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนขดตัวลงอย่างสั่นเทา
“นี่…”
ซางลั่วอวี่พลันหมดสิ้นซึ่งความหวัง
ในเวลานี้ สายฝนจากพลังต้องห้ามทั่วท้องฟ้าก็ตกลงมาตรึงนางกับเด็กหญิงตัวน้อยไว้บนพื้น!
ฟึ่บ!
ไกลออกไป ซูอี้พลันเคลื่อนไหว ก่อนเด็กหญิงตัวน้อยจะพลันลอยออกไปปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าชายหนุ่มอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อพินิจดี ๆ จึงพบว่านางดูอายุราวห้าหกขวบ ผมถูกมัดเป็นมวยเล็ก ๆ และมีผิวขาวเรียบเนียนเหมือนหิมะ ดูน่ารักยิ่ง
เพียงแต่เวลานี้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง จึงขดร่างลงพร้อมสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ที่แท้ก็แค่ร่างวิญญาณภูตเกิดใหม่ ไม่แปลกใจเลยที่พลังจะอ่อนแอขนาดนี้”
ซูอี้กวาดมองเด็กหญิงตัวเล็กอย่างละเอียด
ศาสตราจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่า สมบัติจิตวิญญาณ
สมบัติจิตวิญญาณหายากบางส่วน หลังจากที่ได้รับการหล่อเลี้ยงและบ่มเพาะโดยผู้ฝึกตน จะสามารถให้กำเนิด ‘จิตสำนึกภูต’ ได้
โดยสมบัติจิตวิญญาณที่สร้าง ‘จิตสำนึกภูต’ ได้นั้นมีเพียงหนึ่งในพัน
เช่นเดียวกับปีศาจที่ยึดร่างของซูหงหลี่ มันเป็นจิตสำนึกภูตที่เกิดจากระฆังทัณฑ์โลกันต์
เมื่อก้าวไปอีกขั้น จิตสำนึกภูตจะสามารถเปลี่ยนเป็น ‘ร่างวิญญาณภูต’ ซึ่งมีความรู้และปัญญาบางส่วน
ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงที่จะบอกว่าสมบัติจิตวิญญาณที่สามารถสร้าง ‘ร่างวิญญาณภูต’ ได้มีเพียงหนึ่งในหมื่น ทั้งจำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญการหลอมกลั่นทุ่มเทกายใจในการหล่อเลี้ยงและใช้ทรัพยากรพิเศษมากมายในบ่มเพาะไปทีละขั้น
หลังจากที่ ‘ร่างวิญญาณภูต’ เติบโตขึ้นก็สามารถเปลี่ยนเป็น ‘ภูตสมบัติ’ ได้
กล่าวได้ว่าในสายตาของผู้ฝึกตน เมื่อถึงจุดนี้ วัตถุวิญญาณเช่น ภูตดาบ ภูตมีด ภูตหอก และภูตอื่น ๆ ถือได้ว่าเป็นสมบัติจิตวิญญาณระดับสูงสุดแล้ว!
ขณะเดียวกันสมบัติแต่ละชิ้นนี้ต่างก็เป็นของหายาก ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญการหลอมกลั่นทุ่มเทบ่มเพาะด้วยวัตถุวิญญาณและวิธีการลับมาเป็นเวลานาน แต่ยังต้องการโชคและโอกาสส่วนหนึ่งด้วย!
ไม่อาจกำหนดความสำเร็จได้!
ดาบที่มีภูตดาบนั้นเพียงพอที่จะทำให้มหาปราชญ์สวรรค์แห่งวิถีวิญญาณทั้งหลายทึ้งหัวตัวเอง กระทั่งตัวตนระดับขอบเขตจักรพรรดิเองก็หวั่นไหวเช่นกัน!
ความน่ากลัวของพลังของมันนั้นห่างชั้นจากสมบัติจิตวิญญาณธรรมดามากนัก
เด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ข้างหน้าเขาคือ ‘ร่างวิญญาณภูต’ ที่แปลงมาจาก ‘จิตสำนึกภูต’ ซึ่งดีกว่าปีศาจที่แย่งร่างซูหงลี่มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหญิงตัวน้อยยังมีโอกาสเติบโตเป็น ‘ภูตสมบัติ’ ที่มีศักยภาพสูงด้วย
อย่างไรก็ตาม เด็กหญิงตัวน้อยนั้นเพิ่งเกิดจากดาบโบราณ พลังของนางจึงยังอ่อนแอมาก นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ซางลั่วอวี่ไม่กังวลว่าจะถูกแย่งร่างไป
เมื่อเผชิญกับสายตาจ้องพินิจของซูอี้ เด็กหญิงตัวน้อยก็ตัวสั่นเทา รู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจกว่าเดิม
ฟึบ!
ซูอี้เอื้อมมือออกไป ดาบโบราณเทียนเซี่ยซึ่งถูกพลังกักขังได้พักหนึ่งแล้วพลันเข้ามาอยู่ในมือของเขา จากนั้นซูอี้ก็มองไปที่เด็กหญิงตัวน้อยแล้วพูดว่า “กลับเข้าไปเสีย”
เด็กหญิงตัวน้อยไม่กล้าปฏิเสธ ร่างของนางเปล่งแสง ก่อนตรงเข้าไปในดาบโบราณเทียนเซี่ย
เพียะ!
ไกลออกไปมีเสียงตบอันกังวานดังขึ้น
เมื่อหันไปก็เห็นฮวาซิ่นเฟิงก้าวไปข้างหน้า นางตบใบหน้าที่เย็นชาและงดงามของซางลั่วอวี่ “ตบนี้ เพราะเจ้าไม่มีตา!”
ฉับพลันใบหน้าที่งดงามของซางลั่วอวี่ซึ่งขาวพอ ๆ กับขนแกะก็กลายเป็นสีแดงและบวมฉึ่ง นางตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “ถ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าสิ!”
ตบ!
ตบอีก
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวว่า “ตบนี้ เพราะเจ้าไม่รู้สำนึก”
ตบ!
เพียะ!
เพียะ!
เห็นได้ชัดว่าฮวาซิ่นเฟิงสะสมโทสะไว้เต็มท้อง นางตบซางลั่วอวี่อย่างต่อเนื่องไม่ยั้ง ซึ่งการตบแต่ละครั้งใช้แรงเต็มกำลัง เพียงไม่นานปากของซางลั่วอวี่ก็แตก ฟันกระเด็นหลุดออกมา จนกระทั่งนางไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
ดังที่คนโบราณกล่าวไว้ ยามที่สตรีทรมานสตรีด้วยกันจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าบุรุษ
ซูอี้ที่อยู่ไกลออกไปทนมองไม่ได้ เขาส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “แค่ฆ่านางทิ้งซะ”
“เอ้อ ก็ได้”
โทสะของฮวาซิ่นเฟิงถูกระบายออกจนเกือบหมดแล้ว นางเกรงว่าหากลงมือต่อจะทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีให้แก่ซูอี้ ดังนั้นจึงรีบชักดาบขึ้นสนิมข้างเอวออกมาและแทงไปยังหัวใจของซางลั่วอวี่
ฉัวะ!
เมื่อดาบถูกชักออก ซางลั่วอวี่ ตำนานรุ่นเยาว์ของต้าฉินก็ได้เสียชีวิตลงด้วยความอัปยศอดสูและความสิ้นหวังอันไร้สิ้นสุด
ฮวาซิ่นเฟิงเก็บดาบยาวลง เดินไปอยู่ข้างกายซูอี้ ก่อนก้มหน้าลงอย่างเขินอายแล้วพูดว่า
“ข้าทำให้ท่านต้องหัวเราะแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนังแพศยาทำให้ข้าโกรธ ปกติข้าเป็นคนนิสัยดีและมักรังเกียจที่จะทรมานศัตรูเช่นนี้…”
[1] เซี่ยจื้อ เป็นสัตว์ตามตำนานของจีน มีความสามารถในการแยกแยะถูกผิด จึงเป็นสัญลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรม