บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 386 การเปลี่ยนแปลงของสิ่งต้องห้าม
ตอนที่ 386: การเปลี่ยนแปลงของสิ่งต้องห้าม
ตอนที่ 386: การเปลี่ยนแปลงของสิ่งต้องห้าม
ซูอี้มองดูฮวาซิ่นเฟิงก้มหัวลงคล้ายเด็กน้อยที่ทำความผิด แล้วอดหัวเราะไม่ได้ “เอาล่ะ ไปเก็บสินสงครามกันเถิด”
เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘สินสงคราม’ ฮวาซิ่นเฟิงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เมื่อเงยหน้าขึ้น มันก็เผยให้เห็นดวงตาที่งดงามของนางซึ่งเปล่งประกาย ก่อนตอบรับ “ตกลง!”
นางทำเหมือนทนรอไม่ไหวแล้ว
ซูอี้มองไปที่ดาบโบราณเทียนเซี่ยในมือของเขา และลอบกล่าวกับตัวเอง “เก็บดาบนี้ไว้ให้หลิงเสวี่ยก็ไม่เลว แต่ต้องรอให้นางก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด มิฉะนั้นเกรงว่านางจะควบคุมร่างวิญญาณภูตของดาบเล่มนี้ไม่ได้…”
ขณะที่ครุ่นคิด เขาก็ใส่ดาบเข้าไปในจี้หยกหอยหิมะ
พลังของดาบโบราณเทียนเซี่ยนั้นทรงพลังจริง ๆ ทั้งยังมีศักยภาพในการบรรลุเป็น ‘ภูตดาบ’ ในอนาคตสูง
แต่ซูอี้ไม่ได้ขาดแคลนดาบ
นอกจากดาบนิลกาฬกลืนฟ้าแล้ว เขายังมีดาบตัดโศกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ซึ่งได้รับการหลอมกลั่นด้วยความพยายามของตัวเขาเอง มันได้สลักบัญญัติกลืนวิญญาณ ทั้งยังผนึกไว้ซึ่งจิตวิญญาณของนกกระจอกเพลิงยมโลก
ในแง่ของพลัง มันอาจเทียบดาบโบราณเทียนเซี่ยกับดาบตัดโศกาไม่ได้
แต่ในแง่ของศักยภาพ ดาบทั้งสองเล่มนั้นยังห่างไกลเกินกว่าจะนำมาเปรียบ
เมื่อเทียบกับดาบตัดโศกา ดาบโบราณเทียนเซี่ยเองก็ถือมีศักยภาพที่ดีกว่ามาก เพราะถึงอย่างไรมันก็สามารถก่อร่างวิญญาณภูตได้แล้ว
พลังของฝ่ายหลังแข็งแกร่งกว่ามาก!
ซูอี้ตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะหลอมกลั่นดาบตัดโศกาใหม่อีกครั้ง ด้วยวิธีของเขา การจะทำให้ดาบนี้กลายเป็น ‘ภูตดาบ’ ไม่น่าเป็นปัญหาอะไร
ไม่นานนักก่อนฮวาซิ่นเฟิงจะกลับมา ทั้งร่างของอีกฝ่ายพลันเปล่งประกาย คิ้วและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสุขอย่างไม่อาจปกปิดได้
“คุณชายซู คราวนี้พวกเราเก็บเกี่ยวโชคลาภได้แล้ว!”
นางกล่าวเสียงสดใส ขณะร่ายของที่ริบได้ทั้งหมดให้ซูอี้ฟัง
มีโอสถวิญญาณระดับหกถึงเก้าชนิด และหินวิญญาณระดับหกจำนวนยี่สิบก้อน สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติที่มีค่าและหายากที่สุดในบรรดาสินสงคราม
แม้แต่ในสายตาของผู้ฝึกฝนวิถีต้นกำเนิดในอาณาจักรต้าฉินเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้ก็ยังถือเป็น ‘โอกาสครั้งใหญ่’!
นอกจากนี้ยังมีโอสถวิญญาณระดับห้าจำนวนห้าสิบเก้าชนิด และหินวิญญาณระดับห้าหนึ่งร้อยสามสิบห้าก้อน ซึ่งเป็นสมบัติชั้นยอดและทรัพยากรชั้นหนึ่งสำหรับฝึกตน กระทั่งในมือของตัวตนขอบเขตเปิดทวารก็มีของพวกนี้อยู่ไม่มาก
ทั้งยังมีวัตถุวิญญาณและอื่น ๆ มากกว่าร้อยชนิดซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการการหลอมกลั่นของผู้ฝึกฝนวิถีต้นกำเนิดได้
และถ้าต้องพูดถึงผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ที่ได้รับ ก็เห็นจะเป็นศาสตราวิถีต้นกำเนิดมากกว่าสิบชิ้น!
สมบัติเช่นทวนเกล็ดหิมะสวรรค์ในมือของอาหลิน ง้าวโลหิตครามในมือของฉินต่งซวีและอื่น ๆ ซึ่งบางส่วนมีจิตสำนึกภูตแล้ว
เพียงคุณค่าของศาสตราวิถีต้นกำเนิดเหล่านี้ก็กำไรยิ่งกว่าอะไรแล้ว!
“ไม่เลว”
ซูอี้ค่อนข้างสงบ
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุวิญญาณ โอสถวิญญาณ หรือหินจิตวิญญาณกับศาสตราวิญญาณ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทรัพยากรบ่มเพาะวิถีต้นกำเนิด ซึ่งอาจมีค่าและหายากมากในโลกสามัญนี้
แต่สำหรับซูอี้ มันแค่เพียงพอสำหรับฝึกฝนวิถีต้นกำเนิดเท่านั้น
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูอี้สั่ง “ทิ้งหินวิญญาณกับโอสถวิญญาณทั้งหมดไว้ให้ข้า ที่เหลือเจ้าสามารถเลือกได้ตามใจ”
ฮวาซิ่นเฟิงยกนิ้วโป้ง นางกล่าวชมพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “คุณชายซูช่างใจกว้าง!”
ซูอี้เอ่ยเสริม “จำไว้ว่าส่วนแบ่งของข้าคือเก้าส่วน และของเจ้าคือหนึ่งส่วน”
ฮวาซิ่นเฟิง “…”
แม้ว่าจะเป็นแค่หนึ่งส่วน แต่ฮวาซิ่นเฟิงก็มีความสุขแล้ว
เพราะถึงอย่างไรเรื่องครั้งนี้นางไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก และมันก็ไม่ต่างจากการได้สินค้าในราคาถูก…
ไม่ช้า ฮวาซิ่นเฟิงก็เลือกสมบัติบางส่วนที่นางชอบออกมา แล้วมอบสมบัติอื่น ๆ ให้กับซูอี้
ซูอี้มองดูพวกมัน ก่อนจะใส่ลงไปในจี้หยกหอยหิมะด้วยความผิดหวังในใจ
พวกตาเฒ่าเหล่านี้ถือเป็นตัวตนระดับสูงในต้าฉิน แต่สมบัติของพวกมันไม่ควรค่าแก่การให้ความสนใจสักนิด
“จริงสิ คราวนี้พวกเขามาที่ทะเลวิญญาณโกลาหลก็เพื่อสำรวจหาโอกาส จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะพกสมบัติลับที่มีต้นกำเนิดพิเศษติดตัวมาด้วย”
ซูอี้ลอบกล่าวในใจ
เมื่อดวงตากวาดไปยังร่างของฉินฝู เนี่ยสิงคง อาหลิน และคนอื่น ๆ ซูอี้ก็อดส่ายหัวไม่ได้
วิญญาณของผู้สิงสถิตเหล่านี้ล้วนถูกสาปโดยฉู่ซิว หลังจากที่ ‘หุ่นเชิดศพ’ ของฉู่ซิวถูกจัดการ คนเหล่านี้ก็ตกตายทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคาถาต้องห้ามในตัวคนเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับชีวิตของ ‘หุ่นเชิดศพ’ นั่น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่วิธีการของซูอี้ก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้
จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ดึงวิญญาณของอีกฝ่ายออกมาเพื่อศึกษา
“ไปดูในตำหนักกันเถิด”
ซูอี้ละทิ้งความคิดวอกแวกลงและเดินไปที่ประตูตำหนักอันงดงาม
ฮวาซิ่นเฟิงติดตามอย่างใกล้ชิดและกล่าวว่า “คุณชาย ฉู่ซิวกล่าวก่อนหน้านี้ว่าตำหนักนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งหอเซียนดาบ จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน และปรากฏการณ์ในทะเลวิญญาณโกลาหลครั้งนี้เกรงว่ามันจะเกิดจากสิ่งที่อยู่ภายในตำหนักนี้เช่นกัน!”
ดวงตาของนางฉายแววคาดหวัง “เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่เป็นโอกาสแบบใดกัน”
สำนักโบราณที่สาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านมานานกี่ขวบปี ก่อนที่ของภายในตำหนักนั่นจะกระตุ้นจนทำให้เกิดนิมิตอันน่าอัศจรรย์ เช่นนั้นแล้วโชคลาภที่ซ่อนอยู่ในนั้นจะธรรมดาไปได้อย่างไร?
“เข้าไปดูกัน”
ซูอี้พูด มือของเขาดันประตูสูงเก้าจั้งที่แกะสลักด้วยลวดลายโบราณและลวดลายเมฆจำนวนมากเบา ๆ
เอี๊ยด!
ประตูค่อย ๆ เปิดออกเป็นช่องว่าง
ซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิงเข้าไปด้านในทันที
…
ทะเลวิญญาณโกลาหล
ในพื้นที่ทะเลซึ่งมีแนวปะการังมากมายกระจัดกระจาย ฉู่ซิวที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำ แม้จะมีใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาที่เปล่งประกาย ทว่าสีหน้ากลับมืดมนและย่ำแย่ ร่างกายของเขาขณะนี้เต็มไปด้วยรัศมีที่น่าสะพรึงกลัว
“ซูอี้เอ๋ยซูอี้ แผนการที่ถูกตระเตรียมมาเนิ่นนานครั้งนี้ถูกทำลายลงโดยเจ้า!”
เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและร่องรอยความสิ้นหวัง “น่าเสียดายที่ร่างแท้จริงของข้าอยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ย…”
ฟ้าว~
ทันใดนั้น ในทะเลที่อยู่ไกลออกไป จู่ ๆ ก็มีหมอกควันสีเลือดปรากฏขึ้นปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ ซึ่งดูเหมือนมีเจดีย์สูงพันจั้งที่ทำจากกระดูกปรากฏอยู่ในนั้น
“เจดีย์กระดูกขาว!”
ม่านตาของฉู่ซิวหดตัวลง แววตาเต็มไปด้วยความกลัว ความเคร่งขรึมปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา
ทะเลวิญญาณโกลาหลมีสิ่งต้องห้ามอยู่สี่อย่าง ซึ่งเจดีย์กระดูกขาวก็เป็นหนึ่งในนั้น ตราบใดที่มันปรากฏขึ้น จะมีหมอกสีเลือดติดตามมา
เมื่อเห็นมันแล้วจะต้องหลบให้ไกล ไม่เช่นนั้นแม้ขอบเขตวิถีจะสูงส่งเพียงใด ตราบใดที่ถูกหมอกควันสีเลือดปกคลุมจะกลายเป็นเพียงกองกระดูกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจดีย์กระดูกขาวไป
“ข้าไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือบ้าอะไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครเคยสามารถสืบความลับของมันได้เลย!”
ฉู่ซิ่วมองดูเจดีย์กระดูกสีขาวที่ปรากฏอยู่ในหมอกสีเลือด ก่อนจะตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้…
ยิ่งไม่รู้จักย่อมยิ่งอันตราย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉู่ซิวได้เดินทางล่องใต้ขึ้นเหนือ เยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในมหาทวีปคังชิง และได้เห็นสถานที่อันตรายและแปลกประหลาดมามากมาย
แต่การคงอยู่ที่ลึกลับและไม่อาจหยั่งเช่นเจดีย์กระดูกสีขาวนี้ เขาเพิ่งเห็นมันในที่ต้องห้ามไม่กี่แห่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นหลุมดักสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก!
ตัวอย่างเช่น ‘เกาะเซียนพระสุเมรุ’ ในต้าเซี่ย ‘อาณาเขตผีหลิงหลง’ ‘ขุมนรกแห่งเซียน’ และสถานที่อีกมากมาย เป็นต้น
“ในข่าวลือ สิ่งไม่อาจหยั่งทั้งหมดจะถูกเปิดเผยเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง บางทีเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึงจริง เกรงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทะเลวิญญาณโกลาหลนี้…”
“ทว่า มีโบราณวัตถุมากมายฝังอยู่ที่นี่ คงน่าเสียดายนักหากไม่อาจ…”
ขณะที่ฉู่ซิวกำลังคิดนั้น
วูบ!
หมอกสีเลือดกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มีท่าทีหมายจะเข้าปกคลุมบริเวณซึ่งฉู่ซิวอยู่
เมื่อรับชมภาพตรงหน้า ฉู่ซิวก็ไม่กล้าชักช้าอยู่ต่ออีก เขาเร่งหันหลังจากไป ตัดสินใจกลับไปที่ต้าเซี่ย ขณะนี้ตัวเขาเสียหุ่นเชิดศพไปตัวหนึ่งแล้ว หากแม้แต่หุ่นเชิดศพตนนี้ก็ถูกทำลายลงในทะเลวิญญาณโกลาหลด้วย ร่างแท้จริงของเขาต้องบ้าคลั่งแน่!
ฉู่ซิวจากไปแล้ว โดยที่เขาไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย… ว่าหมอกสีเลือดที่เข้าปกคลุมและเจดีย์กระดูกสีขาว ที่แท้กำลังเคลื่อนที่มุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ!!
…
เกาะไร้หวน
ห่างออกไปสิบลี้
มันเป็นเวลาค่ำคืนแล้ว และบนเกาะที่ลอยอยู่บนทะเลนั้น มีโคมไฟสว่างไสวขึ้นนับแสนดวง มันพร่างพราวราวกับดวงดารา
และเหนือเกาะ ก็มีภาพดั่งขุมนรกปรากฏขึ้น มีผีหลายร้อยตัวเดินย่ำไปในเวลากลางคืนลัดเลาะไปตามแม่น้ำสีเลือด มีดอกไม้สีแดงสดดุจเปลวไฟปกคลุมภูเขากระดูกขาวไว้ โดยท่ามกลางหมอกวิญญาณ ก็ได้มีประตูลึกลับตั้งอยู่…
ไกลออกไป เมื่อเห็นฉากนี้ หญิงสาวในชุดคลุมธรรมดาซึ่งปลอมตัวเป็นบุรุษและนั่งอยู่บนไหล่ของลิงขาวยักษ์ก็อดที่จะหรี่ตาอันงดงามของนางไม่ได้
นางยกพัดขนนกในมือชี้ไปที่เกาะไร้หวนแล้วเอ่ย “ฉงหยาง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าคล้ายจะมีรัศมีแห่งชีวิตบนเกาะนั้น”
แววตานิ่งสงบของลิงขาวยักษ์ปรากฏความสับสนปรากฏขึ้น ก่อนจะกล่าว “ท่านอาจารย์ ศิษย์ผู้นี้สัมผัสไม่ได้เลย”
“อย่างนั้นรึ…”
หญิงสาวผู้นั้นนิ่งไปก่อนพลันถอนหายใจเบา ๆ “หากที่นี่ไม่ได้อันตรายเกินไป ข้าก็อยากจะขึ้นไปดูที่นั่นสักหน่อย”
ตั้งแต่อดีตกาลมันมีกฎเหล็กอยู่…
ทุกคนที่ใกล้กับเกาะไร้หวนก็เหมือนเหยียบย่างไปสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ ไม่ว่าพลังฝึกฝนจะสูงหรือต่ำเพียงใด กายเนื้อรวมถึงโลหิตในร่างก็จะกลายเป็นขี้เถ้าและวิญญาณก็จะถูกโคมสีน้ำเงินของเกาะกลืนกินเข้าไป
จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น
จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบว่ามีความลับใดซ่อนอยู่บนเกาะไร้หวน
แม้กระทั่งหญิงสาวที่อยู่ในวิถีวิญญาณ นางก็ยังไม่กล้าที่จะขึ้นไป
เพราะนางสังเกตเห็นว่ามีพลังต้องห้ามที่น่าสะพรึงกลัวอยู่บนเกาะไร้หวน มันทรงพลังมากเสียจนนางรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเมื่อเข้าไปใกล้แล้ว มีโอกาสอย่างยิ่งที่นางจะประสบกับหายนะ!
“ท่านอาจารย์ พวกเราควรกลับไปดูสถานการณ์ที่ซากปรักหักพังของหอคอยดาบอมตะหรือไม่?”
ลิงขาวยักษ์กระซิบถาม
แม้จะอยู่ห่างออกไปสิบลี้ พวกเขาก็ยังสามารถเห็นนิมิตที่น่าสะพรึงกลัวและมืดมนที่ปรากฏขึ้นบนเกาะไร้หวนได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ลิงยักษ์ขาวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ขนด้านหลังมันเย็นวาบ
“ก็ได้”
หญิงสาวพยักหน้า
ไม่นานหลังจากที่ลิงยักษ์ขาวกับสตรีผู้นั้นหันหลังเดินจากไป บนเกาะไร้หวน จู่ ๆ โคมไฟสีน้ำเงินคู่หนึ่งก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับดวงตาสีน้ำเงินคู่หนึ่งจ้องมองไปยังทิศทางของหอคอยเซียนดาบ
หลังจากนั้น ‘เกาะไร้หวน’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ ก็ได้เคลื่อนที่ออกจากบริเวณทะเลนี้อย่างเงียบ ๆ ราวกับว่ามันมีชีวิตขึ้นมา