บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 387 โอกาส
ตอนที่ 387: โอกาส
ตอนที่ 387: โอกาส
“ตาเฒ่า นั่นเรือเก็บดาวไม่ใช่หรือ?”
ในส่วนลึกของทะเลใกล้กับซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ ม่านตาของเก๋อเฉียนหดลง
เหนือผิวน้ำทะเลไกลออกไป คลื่นพายุได้พัดผ่าน และประกายแสงดาวก็ได้ปรากฏขึ้น ส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดและหม่นหมองให้พร่างพราวราวกับความฝัน
เมื่อมองดูดี ๆ จะพบว่าเป็นเรือลำเล็กขนาดสามจั้ง มีรูปร่างเหมือนเรือเก็บบัว ซึ่งเต็มไปด้วยแสงดาวที่สุกใสเจิดจ้า
“เร็วเข้า รีบเรียกใช้ทักษะซ่อนลมหายใจเต่าหางมังกรดำ!”
เสียงของชายชราดังอยู่ในทะเลแห่งจิตวิญญาณ เขาโกรธพร้อมดุว่า “บัดซบ ทำไมสถานที่ผีสางแห่งนี้ถึงแปลกขึ้นเรื่อย ๆ!”
อันที่จริง คราวนี้เขาไม่จำเป็นต้องเตือน เก๋อเฉียนก็ได้ใช้ทักษะนี้ไปแล้ว ทำให้ลมหายใจทั้งร่างถูกสะกด
สิ่งที่ทำให้เก๋อเฉียนโล่งใจก็คือเรือเก็บดาวได้หยุดอยู่ห่างออกไป โดยมีเพียงแสงดาวที่ออกมาจากเรือเท่านั้นที่ส่องสว่างไปทั่ว ทำให้ท้องนภาและท้องทะเลดูลึกลับและแปลกประหลาดในเวลาเดียว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปก็ทำให้เก๋อเฉียนรู้สึกหนาวสั่นและไม่สบายไปทั้งร่าง
ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หมอกสีเลือดได้เข้าปกคลุมบริเวณอย่างเงียบ ๆ ซึ่งในนั้นมีเจดีย์กระดูกสีขาวลึกลับปรากฏขึ้น
ในพื้นที่ทะเลตะวันออก ลิงยักษ์สีขาวสูงเก้าจั้งเดินไปมา และบนไหล่ของมันมีสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่
ในพื้นที่ทะเลตะวันออกเฉียงเหนือมีเกาะประหลาดเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบ ๆ บนเกาะมีโคมไฟสีน้ำเงินหลายแสนดวงจุดขึ้นและฉากที่น่ากลัวก็ค่อยๆปรากฏขึ้น
“ถ้าข้ารู้ ข้าจะถอนตัวออกไปก่อนหน้านี้…”
ริมฝีปากของเก๋อเฉียนกระตุก ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ฉากนี้ที่เกิดขึ้นช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ทั้งแปลกประหลาด และทำให้ผู้คนตัวสั่นเทา
ในทะเลแห่งจิตวิญญาณ ผู้เฒ่าชรารู้สึกขมขื่นในใจ และพูดอย่างเขินอายว่า “นี่แค่ฉากเล็ก ๆ เท่านั้น ที่ผ่านมาข้าเห็นเหตุการณ์ใหญ่ ๆ มามากมาย สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องเล็กน้อย อย่าประหม่า แล้วก็…”
ชายชราสูดหายใจเข้าลึก ๆ กัดฟันพูดอย่างดุร้ายว่า “หนีกันเถอะ!”
เก๋อเฉียน “…”
เขาพูดไม่ออก
พอถึงเวลาสำคัญ ชายชราคนนี้ขี้ขลาดยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก!
ในเวลาเดียวกัน บนไหล่ของลิงยักษ์สีขาว สตรีที่ถือพัดขนนกแสดงสีหน้าเคร่งขรึมขณะพึมพำ
“มีบางอย่างผิดปกติ สิ่งต้องห้ามในทะเลวิญญาณโกลาหล ยกเว้นภูเขาฝังศพคล้ายถูกดึงดูดไปยังซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในซากปรักหักพังนั่น?”
ทันทีที่นางพูดเช่นนี้ ดวงตาที่สวยงามของนางก็แข็งค้างในทันใด ด้วยเห็นหมอกสีเทาจำนวนมากเคลื่อนตัวมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้
ในส่วนลึกของหมอก มีภูเขาขนาดใหญ่สูงหนึ่งพันจั้งซึ่งปกคลุมไปด้วยโซ่สีดำสี่เส้นที่หนาราวกับงูเหลือม
แต่ละโซ่ผูกไว้กับซากศพโบราณที่แปลกประหลาด
ภูเขาฝังศพ!
ในขณะนี้ สิ่งต้องห้ามสี่ประการในทะเลวิญญาณโกลาหลได้เข้ามารวมตัวกันในบริเวณใกล้กับซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ ก่อนจะนิ่งไปราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
ทะเลซึ่งแต่เดิมมีพายุและปั่นป่วนกลับเงียบสงัด สงบนิ่งจนไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสายลม
“ท่านอาจารย์ พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
เมื่อลิงขาวยักษ์มองไปยังภูเขาฝังศพ เจดีย์กระดูกขาว เรือเก็บดาว และเกาะไร้หวนกลับจากไกล ๆ มันก็รู้สึกตกใจจนหายใจไม่ออก
“ก็เฝ้าดูน่ะสิ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะต้องน่าสนใจมากแน่ ๆ!”
หลังจากสงบสติอารมณ์ลง หญิงสาวก็มองไปยังทางเข้าสู่ซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ แล้วกล่าวว่า “หากมีอันตรายใด ๆ พวกเราค่อยรุดเข้าไปข้างในกัน”
เวลาผ่านไป
บรรยากาศที่น่าหดหู่และเงียบสงบแผ่ขยายไปทั่วบริเวณทะเลนี้
ในส่วนลึกของหอเซียนดาบ ภายในตำหนักอันงดงาม
ด้านในนั้นเผยให้เห็นห้องโถงกว้างใหญ่ ที่ค้ำยันไว้ด้วยเสาหินสามสิบหกเสา และบนกำแพงทั้งสี่มีโคมไฟทองสัมฤทธิ์ฝังอยู่ แสงเทียนส่องสว่างอยู่เสมอและไม่เคยดับไปหลังจากหลายปีแห่งการเปลี่ยนแปลงอันไม่รู้จบ
ซูอี้มองไปรอบ ๆ และมองเข้าไปในส่วนลึกของห้องโถง
ที่ส่วนในสุดของห้องโถงมีแท่นหยกเก้าขั้น และมีเพียงเบาะรองตั้งอยู่บนแท่นหยก
“หนึ่งขั้นแทนชั้นของสวรรค์ การนั่งอยู่ขั้นบนสุดของแท่นหยกเปรียบเสมือนการนั่งอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า นั่งบนนั้นขณะพูดคุยเกี่ยวกับมหาวิถี แนวคิดเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย”
ซูอี้เดินไปดู ก่อนจะเห็นว่าแท่นหยกเก้าขั้น ด้านบนของแต่ละขั้นถูกแกะสลักด้วยลวดลายอักขระลึกลับซึ่งแผ่ความผันผวนที่มืดมนของค่ายกลต้องห้ามออกมา
หลังเหลือบมอง ซูอี้ก็ตระหนักว่านี่คือ ‘อาคมอักขระเต๋า’ ที่สลักโดยตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ มันบรรจุไว้ซึ่งพลังต้องห้ามของค่ายกล และคงมีเพียงพลังของตัวตนระดับขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมและจัดวางมันได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากหลายปีแห่งการเปลี่ยนแปลง พลังของอาคมอักขระเต๋าบนขั้นหินเก้าขั้นได้หมดลงนานแล้ว จึงเหลือไว้เพียงรัศมีความผันผวนที่อ่อนแอเท่านั้น
“คุณชายซู ดูเบาะเก่านั่นสิ มันมีกล่องหยกอยู่!”
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวอย่างตื่นเต้นและกำลังจะก้าวขึ้นไป
“เดี๋ยวก่อน”
ซูอี้คว้าแขนของนาง แล้วลากไปด้านข้าง “หากเหยียบลงไปแบบนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าจะสลายไปในทันที”
ฮวาซิ่นเฟิงตกตะลึง ก่อนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบแล้วเอ่ยถาม “มีค่ายกลต้องห้ามอยู่บนขั้นของแท่นหยกนี้งั้นหรือ?”
“ใช่ และถ้าข้าเดาถูก มันควรถูกสร้างโดยเจ้าสำนักหอเซียนดาบ จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน แม้ว่าพลังของค่ายกลต้องห้ามนี้จะหมดไปแล้ว แต่มันยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนใต้วิถีวิญญาณได้ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ”
ซูอี้อธิบาย
ฮวาซิ่นเฟิงสูดหายใจเข้าลึกในพลัน เพิ่งตระหนักว่านางเพิ่งเฉียดผ่านประตูนรกมา!
ซูอี้มองดูชั้นหินขั้นบันได หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “อย่าขยับมั่วซั่ว”
สิ้นคำ เขาก็เดินตรงไปข้างหน้า โดยฝ่ามือและปลายนิ้วทั้งสิบมีแสงเรืองออกมา ทำให้ในอากาศพลันมีลวดลายค่ายกลยันต์ที่แปลกประหลาดและซับซ้อนถูกร่างขึ้น ก่อนถูกประทับลงบนขั้นบันไดหยกขั้นแรก
ฮึ่ม!
แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลลงมาบนขั้นบันไดหยก ก่อนสายฝนโปรยของพลังต้องห้ามจะปรากฏขึ้น และได้ผสานเข้ากับลวดลายค่ายกลที่ซูอี้วาดไว้อย่างเงียบ ๆ
จากนั้นซูอี้ก็ก้าวไปข้างหน้า
ทันใดนั้นฮวาซิ่นเฟิงก็ตกตะลึง เพราะทันทีที่ซูอี้ก้าวย่างขึ้นไปบนขั้นบันไดหิน มันก็ทำให้นางรู้สึกราวกับว่าเขากำลังก้าวขึ้นไปยังชั้นสวรรค์ไกลเกินเอื้อม ขณะที่ตัวนางนั้นทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น!
“นี่…”
ในใจของฮวาซิ่นเฟิงรู้สึกปั่นป่วน และในที่สุดก็เข้าใจ …ว่าหากไม่ใช่ซูอี้แต่เป็นคนอื่น ต่อให้เป็นคนผู้นั้นจะเป็นมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณก็คงไม่อาจปีนป่ายแท่นหยกที่ดูเหมือนธรรมดานี้ได้!
เพราะมันถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน เมื่อเผชิญกับอำนาจสูงสุด มหาปราชญ์สวรรค์ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับมดปลวกเท่านั้น!
ในเวลาต่อมา ซูอี้ทำวิธีเดิม ทุกครั้งที่เขาขึ้นไปบนแท่นหยกแต่ละขั้น เขาจะใช้ทักษะลับในการวาดลวดลายค่ายกล แล้วให้พวกมันผสานเข้ากับอาคมอักขระเต๋าบนขั้นบันไดหยกเพื่อที่จะก้าวขึ้นไปทีละขั้น
ในไม่ช้า ร่างของเขาก็มาถึงขั้นที่เก้า ซึ่งในสายตาของฮวาซิ่นเฟิง ซูอี้ในตอนนี้เหมือนกับหลุดมาจากสวรรค์ชั้นเก้า ดูสูงส่งไร้ที่เปรียบ ราวกับเทพเจ้า ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกชื่นชมและหวาดกลัว
“หากจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนนั่งอยู่ในเวลานี้ จะยิ่งใหญ่เพียงใดกันนะ?”
ฮวาซิ่นเฟิงตกใจ
นางเป็นเพียงผู้ฝึกฝนขอบเขตเปิดทวาร แม้ว่านางจะมาจากหอสิบทิศและรับรู้ความลับมากมายในโลกนี้ แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ นางกลับอดรู้สึกตัวเล็กกระจ้อยไม่ได้
นั่นคือความรู้สึกของคนธรรมดายามมองขึ้นไปยังเทพเซียนบนสรวงสวรรค์!
“แล้วเขาล่ะ… เหตุใดเขาถึงย่างไปบนแท่นหยกหน้าบัลลังก์ที่จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนทิ้งไว้ได้กัน?”
เมื่อมองดูร่างของซูอี้ หัวใจของฮวาซิ่นเฟิงก็สั่นสะท้าน ดวงตาของนางดูงงงวย
ก่อนเข้าไปในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ นางไม่ได้คิดอะไรมาก และความรู้ของนางเกี่ยวกับซูอี้ก็จำกัดอยู่แค่สิ่งที่เคยได้ยินมาเท่านั้น
จนกระทั่งเห็นซูอี้เปิดประตูตำหนักแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย และมองดูเขาเดินขึ้นไปยังแท่นหยกเก้าขั้นเหมือนเดินเล่น ฮวาซิ่นเฟิงจึงตระหนักถึงปัญหา
ซูอี้ผู้นี้ราวกับรู้วิธีการที่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิใช้ดั่งเส้นขนบนหลังมือของตัวเอง!!
การค้นพบนี้ทำให้ฮวาซิ่นเฟิงอึ้งงัน หัวใจของนางสับสนยิ่งนัก ชายผู้นี้… เขาเป็นใครกัน?
อีกด้านหนึ่ง ซูอี้ไม่ทราบถึงอารมณ์ปั่นป่วนของฮวาซิ่นเฟิงในเวลานี้แม้แต่น้อย
ในเวลานี้ เขากำลังยืนอยู่บนขั้นบันไดหินขั้นที่เก้า ดวงตาของเขาหันไปมองยังเบาะก่อน ซึ่งหลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เบาะนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติเต๋าอย่างแท้จริง!
ทอจากผ้าไหมเทพสวรรค์เก้าชนิดที่ผ่านการขัดเกลาด้วยวิธีการต้องห้ามต่าง ๆ หากให้ผู้ฝึกตนนั่งบนนั้น จะสามารถสัมผัสถึงลมปราณแห่งมหาวิถีระหว่างฟ้าดินได้ตลอดเวลา
หากใช้สำหรับการฝึกตน มันง่ายที่จะทำให้จิตใจและเต๋าประสานกันและบรรลุสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งในท้ายที่สุด
แม้แต่ในเก้ามหาแดนดิน เบาะรองนี้ก็นับเป็นสมบัติอันน่าทึ่ง ซึ่งเพียงพอให้ขอบเขตจักรพรรดิทุ่มกำลังแย่งชิงมันมา
ทว่า…
ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านการสึกหรอและฉีกขาดมาหลายปี พลังการต้องห้ามที่ลงไว้บนเบาะนี้ได้หายไปนานแล้ว
จนถึงตอนนี้ เบาะอาจดูเหมือนสมบูรณ์อยู่ก็จริง แต่ที่จริงใกล้พังเต็มทีแล้ว!
“น่าเสียดาย”
ซูอี้คว้าเบาะมาถือ ก่อนพินิจดูเล็กน้อย แล้วตัดสินว่าไม่มีทางที่สมบัติชิ้นนี้จะฟื้นฟูสภาพได้อีก
ทว่าเบาะนี้ทอจากผ้าไหมเทพสวรรค์เก้าชนิด เป็นวัตถุชั้นหนึ่งซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกหล้า แม้ว่ารัศมีศักดิ์สิทธิ์จะหายไป แต่ก็ยังสามารถใช้เพื่อปรับแต่งและเสริมคุณภาพของสมบัติอื่นได้
อย่างเช่น หากนำไปปรับแต่งดาบตัดโศกาใหม่ ผ้าไหมเทพสวรรค์เก้าเหล่านี้สามารถเสริมคุณสมบัติที่น่าอัศจรรย์ได้
ซูอี้เก็บเบาะไป แล้วมองไปยังข้างหน้าตรงตำแหน่งเดิมของเบาะรอง
มีกล่องหยกยาวเพียงครึ่งจั้งและกว้างสี่ฉื่อตั้งอยู่ที่นี่
ในทำนองเดียวกัน กล่องหยกก็ไม่มีค่ายกลหรือพลังยับยั้งใด ๆ
ซูอี้หยิบกล่องหยกขึ้นมาเปิดออกอย่างง่ายดาย
ภายในกล่องหยกมีสิ่งของสองชิ้น เป็นแผ่นหยกสีทองเข้มกับตราประทับที่ทำจากกระดูกสัตว์สีขาวเหมือนหิมะ
ตูม!
เมื่อกล่องหยกถูกเปิดออก ทันใดนั้นรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากผนึกแผ่กระจายไปราวกับพายุ
ทั่วห้องโถงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ซึ่งในขณะนี้เสาหินสามสิบหกต้นที่ค้ำยันห้องโถงไว้ โคมไฟทองสัมฤทธิ์ที่แขวนอยู่บนผนังโดยรอบ และประตูตำหนักสูงเก้าจั้งต่างก็ส่งเสียงคำรามแปลก ๆ ออกมา
จากนั้นบันไดหินสามสิบสามขั้นที่นอกตำหนัก และรูปปั้นหินหกสิบหกบนบันไดหินทั้งสองฝั่งก็สั่นสะท้าน
สุดท้ายแล้วพื้นที่ทั้งหมดในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบก็ส่งเสียงคำรามและสั่นสะเทือน!
ราวกับว่าตัวตนโบราณที่รอดชีวิตมาได้โดยไม่มีผู้ใดรู้ได้ตื่นขึ้นจากความเงียบงันอันยาวนานแล้ว!!