บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 389 กลิ่นคาวเลือดชั่วร้ายสามหมื่นปี
ตอนที่ 389: กลิ่นคาวเลือดชั่วร้ายสามหมื่นปี
ตอนที่ 389: กลิ่นคาวเลือดชั่วร้ายสามหมื่นปี
ซูอี้หยิบแผ่นหยกสีทองเข้มขึ้นมา
เนื้อแผ่นหยกไม่ถือว่าหายากมาก เป็นของที่กลั่นมาจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อว่า ‘กระดูกวิญญาณสีทอง’ ซึ่งน้ำและไฟมิอาจกัดกร่อนได้
ซูอี้ใช้จิตสัมผัสมองเข้าไปในนั้น
ตูม!
พลังผนึกขนาดใหญ่ราวกับกระแสน้ำพรั่งพรูเข้ามาในหัวซูอี้ ก่อนปรากฏภาพแปลกประหลาดออกมา
ทันใดนั้น
ในตำหนักกว้างใหญ่
เผยให้เห็นร่างซูบผอมที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่บนแท่นหยกเก้าชั้น รอบร่างปลดปล่อยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ผสานออกมาเป็นประกายแสงโชติช่วงงดงาม ประหนึ่งเทพเจ้าผู้รู้เห็นทุกสรรพสิ่ง
“ดูเหมือนคนผู้นี้จะเป็นจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน”
ซูอี้ครุ่นคิด
จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีดำ ผมเกล้าเป็นมวย ดวงตาดุจสุริยันจันทรา พลังกฎแห่งวิถีล้ำลึกผสมผสานกันทั่วร่าง กลิ่นอายขอบเขตจักรพรรดิแผ่กระจายไปทั่ว
เมื่อมีพลังระดับขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
วิถีลึกล้ำมีสามขอบเขตใหญ่ แบ่งเป็นขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ รู้แจ้งลึกล้ำ และสานพันธะลึกล้ำ
ในเก้ามหาแดนดิน ผู้ที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ล้วนถูกเรียกว่าเป็นบุคคลสูงสุดแห่งเส้นทางมหาวิถี เป็นบุคคลยอดเยี่ยมในขอบเขตจักรพรรดิ!
แต่ซูอี้มองออกทันที สถานการณ์ของจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนไม่ค่อยดีมาก ลมปราณทั่วร่างถูกพลังต้องห้ามลึกลับกัดกร่อน จนทำลายรากฐานขอบเขตจักรพรรดิของเขาไป!
น่าเสียดาย ตอนนี้ซูอี้เห็นเพียงแค่ภาพที่ถูกผนึกในแผ่นหยก มิอาจคาดเดาได้ว่าพลังต้องห้ามลึกลับนี้นั้นมีความลี้ลับมหัศจรรย์เพียงใด
“ท่านปรมาจารย์ คนในสำนักทั้งหมดเตรียมพร้อมแล้ว พวกเราควรออกเดินทางกันได้แล้ว!”
ภาพพลันเปลี่ยนไป มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในตำหนักอย่างเร่งรีบ คำนับไปทางจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนที่นั่งอยู่บนแท่นหยกสูงเก้าชั้น และมีท่าทางร้อนรน
คนผู้นี้สวมชุดสีม่วง หนวดเคราปลิวไหว
“จ่างเฮิ่น เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักหอเซียนดาบของพวกเรา เจ้าจะหวาดกลัวไปไย ในเมื่อฟ้ายังไม่ถล่มลงมา อีกอย่าง การจองจำแห่งยุคมืด ยังมิอาจคุมขังข้าได้จริง ๆ เสียหน่อย”
จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนส่ายหน้าพลางแย้มยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ซูอี้ไม่แปลกใจ ชายที่สวมชุดสีม่วงคือไป๋จ่างเฮิ่น เจ้าสำนักรุ่นที่สามแห่งหอเซียนดาบ
‘ค่ายกลสังเวยโลหิต’ ที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ถูกติดตั้งโดยคนผู้นี้
“เจ้ารอข้าครู่หนึ่ง”
ขณะที่จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนเอ่ย เขาได้นำตราประทับกระดูกขาวที่เปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าออกมาจากในแขนเสื้อ
“ท่านปรมาจารย์ ท่านจะทำสิ่งใด?”
ไป๋จ่างเฮิ่นสงสัย
จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ภายใต้ผลกระทบจากการจองจำแห่งยุคมืด มหาทวีปคังชิงต่อจากนี้ คงจะเกิดการสูญเสียพลังปราณวิญญาณ และเกิดการล่มสลายของมหาวิถี ผลกระทบครั้งนี้ คงกระจัดกระจายไปยังกลุ่มวิถีปราชญ์ทั่วใต้หล้า และจะต้องสูญสลายไปในประวัติศาสตร์อันยาวนาน”
“และเดาได้ว่า มหาทวีปคังชิงต่อจากนี้อาจจะกลายเป็นโลกที่ไม่มีกลุ่มวิถีปราชญ์หลงเหลืออยู่ เป็นโลกที่มีพลังวิญญาณเหือดแห้ง”
“กาลเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงที่กลับตาลปัตร สิ่งมีชีวิตในยุคสมัยต่อจากนี้ จะมีผู้ใดจำได้กันว่ามหาทวีปคังชิงในตอนนั้นยังมีกลุ่มวิถีปราชญ์มากมาย และมีหอเซียนดาบซึ่งถีบตัวมาอยู่ในสามลัทธิปีศาจใหญ่?”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนสุดท้าย เขาก็รู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก
“ท่านปรมาจารย์ นั้นคือเรื่องหลังจากนี้แล้ว ยามนี้เราควรสนใจเรื่องตรงหน้ามากกว่า”
ไป๋จ่างเฮิ่นร้อนรุ่มใจ
“เจ้าพูดถูก แต่อย่างน้อยพวกเราก็ยังสามารถเหลือของสำคัญไว้ให้คนรุ่นหลังได้ อย่างน้อยก็ควรให้พวกเขาได้รู้ ว่าในยุคกลิ่นคาวเลือดชั่วร้าย ครั้งหนึ่งมหาทวีปคังชิงเคยถูกปกคลุมไปด้วยการจองจำแห่งยุคมืด!”
จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ยิ่งไปกว่านั้น อีกสามหมื่นปี การจองจำแห่งยุคมืดจะสูญสลายหายไป และโลกนี้จะก้าวไปสู่ยุคทอง! พวกเราอาจจะจินตนาการไม่ได้ แต่คนรุ่นหลังสามารถมีส่วนร่วมในเรื่องนั้นได้!”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยต่อ “และสิ่งที่ข้าต้องทำในยามนี้ คือเหลือเมล็ดพันธุ์เอาไว้เพื่อหอเซียนดาบเรา เผื่อบางทีอาจมีความหวังในการแตกกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผลอยู่ในแสงสว่างแห่งโลกกว้างที่จะมาถึง!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มผนึกคาถาไว้บนตราประทับกระดูกขาวนั้นทันที
ไม่นาน จักรพรรดิฮุ่นเทียนก็นำบนตราประทับกระดูกขาวที่ผนึกเสร็จแล้วใส่ไว้ในกล่องหยก ก่อนเอ่ยขึ้น
“ตราประทับนี้ สามารถควบคุมค่ายกลต้องห้ามทั้งหมดในหอเซียนดาบของเราได้ ภายในตราประทับมี ‘คัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณ’ คัมภีร์สูงสุดของกลุ่มวิถีปราชญ์เราซ่อนเอาไว้ มีเพียงผู้มีวาสนาต่อข้าเท่านั้น ถึงจะสามารถได้รับการสืบถอดได้”
“เพียงแค่คัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณคงอยู่ต่อไป ก็หมายความว่าหอเซียนดาบเรามีความหวังที่จะเปิดเผยสู่โลกกว้างอีกครั้ง”
จักรพรรดิฮุ่นเทียนนำแผ่นหยกสีทองเข้มออกมา นำความคิดผนึกไว้ในนั้น
“บนแผ่นหยกนี้ บันทึกความเป็นมากับความลึกลับของการจองจำแห่งยุคมืดไว้ หากมีคนรุ่นหลังพบเห็นโดยบังเอิญ เมื่อนั้นพวกเขาก็จะเข้าใจสิ่งที่ข้าคิดและทำในวันนี้”
เมื่อเอ่ยจบ เขาปิดกล่องหยก นำมาไว้ด้านหน้า ก่อนเงยหน้าขึ้น
ทันใดนั้น นัยน์ตาที่คล้ายกับม่านกั้นข้ามมิติของเขา มองไปทางซูอี้จากที่ไกล
ตูม!
ภาพทั้งหมดที่อยู่ต่อหน้าซูอี้เลือนราง และสลายไป
“ที่แท้ ตราประทับนี้ก็ไม่ธรรมดา ยังซ่อนคัมภีร์สูงสุดของหอเซียนดาบไว้ด้วย!”
“น่าเสียดาย การถ่ายทอดนี้อาจจะทำให้ผู้ฝึกตนคนอื่นคลุ้มคลั่งได้ แต่สำหรับซูอี้ผู้นี้ มันก็ไม่เท่าไรหรอก!”
“เอาเถอะ หากมีโอกาส ข้าจะช่วยเลือกผู้สืบทอดหอเซียนดาบให้เจ้า และนำคัมภีร์ภายในตราประทับถ่ายทอดออกไป ทำตามความปรารถนาเจ้า ทำให้หอเซียนดาบยังคงอยู่ไม่สูญหายไป”
ซูอี้แอบเอ่ยขึ้น
ในระหว่างครุ่นคิดอยู่นั้น จิตสัมผัสเขาได้รับรู้พลังผนึกอีกอย่างหนึ่งภายในแผ่นหยกสีทองเข้ม
ภายในนั้นได้เขียนบรรยายถึง ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ เอาไว้
และมันก็ดึงดูดความสนใจของซูอี้ไปทันที
เมื่อดูเสร็จแล้ว นัยน์ตาของซูอี้เปลี่ยนไปทันใด
การจองจำแห่งยุคมืด การลงทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวและแปลกประหลาด
ก่อนใกล้จะถึงสามหมื่นปี ในมหาทวีปคังชิง เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกิดจากโชคลาภ
ในตอนที่แสวงหาโอกาสนั้น มีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้เปิดตราผนึกลึกลับในสถานที่ต้องห้ามที่มีชื่อว่า ‘บ่อโบราณโกลาหล’ ทำให้พลังต้องห้ามอันน่าสะพรึงภายในนั้นพุ่งออกมาจากข้างใต้ตราผนึก
ไม่ถึงหนึ่งวัน พลังต้องห้ามนั้นได้แผ่ขยายไปทั่วมหาทวีปคังชิง ก่อเกิดความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงไปของกฎแห่งโลก
ตอนนั้น ธาตุวิถีของผู้ฝึกตนที่มีการฝึกตนในวิถีวิญญาณขึ้นไปต่างถูกกัดกร่อนและถูกรบกวนจากพลังต้องห้ามนี้ และมิอาจขจัดไปได้
แม้แต่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเองก็มิอาจหลุดพ้นจากการกัดกร่อนและความยุ่งเหยิงของพลังต้องห้ามนี้
การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้กลุ่มวิถีปราชญ์น้อยใหญ่ในตอนนั้นเกิดความวิตก หวาดผวา คิดว่ากฎแห่งสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลง และการลงทัณฑ์กำลังจะมาถึง
ภายใต้อันตราย กลุ่มวิถีปราชญ์ต่างรวมกำลังสืบหาแหล่งที่มาของพลังต้องห้ามนั้น
ทว่าต่างจบลงด้วยความล้มเหลว
เพราะแม้แต่บุคคลระดับขอบเขตจักรพรรดิ ก็มิอาจเข้าใกล้ ‘บ่อโบราณโกลาหล’ นี้ได้ และสถานที่นั้นก็ได้กลายเป็นอาณาเขตต้องห้าม เพราะขนาดตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่แข็งแกร่งเข้าใกล้ก็ยังถูกทำลายสูญหายไป!
จนกระทั่งต่อมา มีผู้เก่งกาจกลุ่มหนึ่งร่วมมือกัน และสุดท้ายเดาได้ว่า แหล่งที่มาของการเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของมหาทวีปคังชิง
ต้นกำเนิดมหาทวีปคังชิง คือ ‘แหล่งกำเนิดคังชิง’!
หรือก็คือ แหล่งกำเนิดคังชิงเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นบนโลก
และตามการคำนวณของผู้เก่งกาจเหล่านั้น ข้างใต้บ่อโบราณโกลาหล อาจจะเป็นสถานที่ซึ่งแหล่งกำเนิดคังชิงอยู่!
และเหล่าผู้เก่งกาจคาดเดาว่า แหล่งกำเนิดคังชิงเทียบได้กับเมล็ดพันธุ์หนึ่ง
การเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เป็นเพราะ ‘เมล็ดพันธุ์’ ต้องการสารอาหารเพื่อโผล่ออกมาจากดิน จึงเริ่มปล้นชิงพลังวิญญาณบนโลกมาใช้เอง เพียงเพื่อให้ ‘เมล็ดพันธุ์’ ได้แตกกิ่งขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะคาดเดาออกมาเท่าไร ผู้เก่งกาจส่วนใหญ่ต่างเดาว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนโลกนี้ ต้องดำเนินไปนานถึงสามหมื่นปี!
และเพื่อปกป้องตัวเอง กลุ่มวิถีปราชญ์สูงสุดต่างเลือกที่จะออกจากมหาทวีปคังชิง เดินทางไปยังนอกโลกผ่านผนังกั้นมิติ ภายใต้คำสั่งจากตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ
ส่วนกลุ่มวิถีปราชญ์ที่ไม่มีตัวตนระดับขอบเขตจักรพรรดิบัญชาการ พวกเขาก็ทำได้แค่รับการจองจำจากการเปลี่ยนแปลงนี้ และรอความหายนะที่กำลังจะมาถึง
ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันได้ทำให้ผนังกั้นมิติมหาทวีปคังชิงปรากฏรอยแยกมากมายออกมา และนำไปสู่ต่างโลกที่ไม่รู้จัก
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป ก็เริ่มมีผู้แข็งแกร่งจากต่างโลกข้ามเข้ามามหาทวีปคังชิง เพื่อปล้นชิงทรัพยากรการฝึกบำเพ็ญบนโลกนี้ ผู้ฝึกตนต่างโลกได้ริเริ่มการเข่นฆ่านองเลือด จนทำให้เกิดความวุ่นวายและสงครามไปทั่วทุกพื้นที่
สุดท้าย แม้กลุ่มวิถีปราชญ์ใหญ่ในมหาทวีปคังชิงจะโจมตีผู้ฝึกตนจากต่างโลกจนแตกพ่าย และปิดผนึกรอยร้าวบนม่านกั้นมหาทวีปคังชิงได้โดยใช้พลังค่ายกลต้องห้าม…
ทว่ากลุ่มวิถีปราชญ์เหล่านั้นก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งรากฐานยังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
ผนวกกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ยังคงดำเนินต่อไป ในยุคต่อ ๆ มา พลังวิญญาณของโลกจะเหือดแห้ง มหาวิถีจะล่มสลาย กลุ่มวิถีปราชญ์ที่เคยโด่งดังและมีชื่อเสียงมากมายต่างพากันทยอยเสื่อมถอยลง และหายสาบสูญไปในกาลเวลาที่ยาวนาน…
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เรียกว่า ‘การจองจำแห่งยุคมืด’
และช่วงเวลาที่เกิดความชั่วร้ายและความวุ่นวายนี้ ก็ถูกเรียกว่า ‘ยุคมืด’
เมื่อทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจ ว่าเหตุใดเมื่อนานมาแล้ว กลุ่มวิถีปราชญ์โบราณเหล่านั้นถึงได้สูญหายไปในประวัติศาสตร์อันยาวนาน
และก็เข้าใจ ว่าเหตุใดพลังวิญญาณของมหาทวีปคังชิงถึงได้เหือดแห้ง และกลายเป็นโลกที่เสื่อมถอย
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะการจองจำแห่งยุคมืด!
และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดจากแหล่งกำเนิดคังชิง!
“ดูเหมือน ‘ลานฌาณปัญญา’ ที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต ต้องถูกจู่โจมเป็นแน่”
“และหลวงจีนชุดขาวที่ขี่มังกรท่องไปนอกโลกกว้าง จะต้องเป็นเพราะคิดหลบเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้แน่”
ส่วนตราผนึกพลังรอบ ๆ ผนังกั้นมิติในแปดมหาขุนเขาปีศาจแห่งต้าโจว น่าจะถูกติดตั้งเพื่อปิดกั้นไม่ให้ผู้ฝึกตนต่างโลกก้าวข้ามมาได้
ยามนี้ ซูอี้เข้าใจเรื่องราวที่ไม่เข้าใจในอดีตแล้ว
ตอนนั้นเขาเคยเห็นผนังกั้นมิติที่ถูกผนึกด้วยแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งร้อยแปดแท่นในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต
เคยเห็นผนังกั้นมิติที่ถูกผนึกด้วย ‘ค่ายกลกักหมู่มาร’ ในส่วนลึกขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา
และในตอนนั้น ซูอี้ก็เคยสังหารผู้สิงสถิตที่ข้ามโลกเข้ามา ผู้สิงสถิตนั้นเรียกตนเองว่า ‘ปราชญ์จี้เผิง’ ซึ่งอยู่ในกองกำลัง ‘ลัทธิปีศาจแปลงดารา’ ที่มาจากต่างโลก
ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจ พลังต้องห้ามที่ผนึกผนังกั้นมิติเหล่านี้ คือสิ่งที่กลุ่มวิถีปราชญ์โบราณเหล่านั้นติดตั้งเอาไว้ใน ‘ยุคมืด’ เพื่อปิดกั้นผู้ฝึกตนต่างโลกที่จะก้าวข้ามมา!