บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 391 มองเป็นเหยื่อ
ตอนที่ 391: มองเป็นเหยื่อ
ตอนที่ 391: มองเป็นเหยื่อ
เหตุการณ์ที่เกินความคาดหมายของฮวาซิ่นเฟิงพลันเกิดขึ้น…
ฉับพลัน ซูอี้ส่งเสียงฮึ
พลังดุเดือดเผาผลาญในตัวของซูอี้ ขณะนี้ถดถอยลงไปราวกับน้ำลงที่ลดระดับอย่างฮวบฮาบ
อย่างรวดเร็ว พลังในตัวของเขาก็เงียบสงบลง
“นี่…”
ฮวาซิ่นเฟิงตะลึงนิ่ง บรรลุขอบเขตล้มเหลวเช่นนั้นหรือ!?
บนแท่นหยกเก้าชั้น
ซูอี้นั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าพลันมืดพลันสว่าง
การบรรลุขอบเขตเมื่อก่อนหน้าเป็นไปด้วยความราบรื่น ทว่าขณะที่เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ กลับพบว่า… ด้วยพื้นฐานและรากฐานมหาวิถีอันยิ่งใหญ่ไม่มีสิ่งใดเทียมเทียบของเขา จำต้องสกัดเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณภายในตันเถียน แต่กลับไม่อาจสามารถทำได้
เปรียบดุจแม่น้ำสายใหญ่ ที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้
“ช่วงเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในแผ่นดินแห่งเก้ามหาแดนดินไม่เคยมีใครคนใดสามารถสกัดเมล็ดพันธุ์วิถีอันแข็งแกร่งได้ในขอบเขตนี้ ทว่าในดินแดนมืดมิดกลับมีบันทึกเกี่ยวกับความลับของเมล็ดพันธุ์วิถีอันแข็งแกร่ง”
“จากที่ข้าศึกษาและสันนิษฐานเกี่ยวกับขอบเขตนี้ในอดีตชาติ อาศัยพื้นฐานมหาวิถีที่ข้ามีในตอนนี้ เมื่อมีโอกาสทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว แต่กลับขาดไปอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ที่แท้แล้วเพราะเหตุอันใดกันแน่?”
“เป็นเพราะขาดโอกาสเหมาะสม? หรือว่า จะต้องเผชิญพิบัติต้องห้ามนั้น และทลายมันลง จึงจะสามารถสร้างเมล็ดพันธุ์วิถีอันแข็งแกร่งได้เช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิด
เขาคาดคะเนได้คร่าว ๆ ว่าจะสร้างเมล็ดพันธุ์วิถีอันแข็งแกร่ง ไม่อาจอาศัยเพียงการตรากตรำฝึกฝนไม่ได้ จะต้องรอพิบัติต้องห้าม และเอาชนะมันให้ได้!
หลังจากเงียบไปนาน
ซูอี้จึงพ่นลมหายใจทางปากยาว ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
“คุณชายซู… ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ฮวาซิ่นเฟิงเดินเข้ามาหาพลางถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเห็นว่าข้าไม่สบายเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้ตอบแบบใจลอย
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวปลอบใจ “เฮ้อ อย่าได้ท้อแท้ใจไป ตามที่ข้าดู เป็นเพราะรากฐานมหาวิถีของคุณชายแข็งแกร่งเกินไป จึงพบกับอุปสรรคเวลาที่บรรลุขอบเขต แตกต่างไปจากคนระดับเดียวกัน ถึงแม้ครั้งนี้จะล้มเหลว แต่ข้าก็มั่นใจว่า วันข้างหน้าคุณชายจะต้องสามารถก้าวสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญได้เป็นแน่!”
ซูอี้ตอบด้วยความรู้สึกขัน “เจ้ามองจากตรงไหนจึงเห็นว่าข้าล้มเหลว?”
ล้อเป็นเล่นไป เพื่อบรรลุขอบเขตในครั้งนี้ ทรัพยากรล้ำค่าในการฝึกตนที่เขาสูญเสียไปเพียงพอที่จะทำให้คนอื่น ๆ ในใต้หล้าผู้ซึ่งอยู่ระดับเดียวกันถึงกับต้องยอมแพ้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลหิตปราณมังกรแท้หนึ่งหยดนั้น กระทั่งผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณมาเห็นก็ยังต้องเกิดความอิจฉาริษยา
ในสถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้จะปล่อยให้สมบัติล้ำค่าเหล่านี้เปล่าประโยชน์ได้เช่นใดกัน?
“อ้าว? ไม่ได้ล้มเหลวหรอกหรือ?” ฮวาซิ่นเฟิงตะลึง
“แน่นอนว่าไม่”
ซูอี้คิดสักครู่ ก่อนจะกล่าว “ข้าสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าขาข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่ธรณีประตูขอบเขตไร้เบญจธัญแล้ว เพียงแค่ขาดโอกาสเหมาะสมเท่านั้น แล้วก็จะสามารถเบียดตัวเข้าสู่ขอบเขตนี้ได้ แล้วก็จะกลายเป็นผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดคนหนึ่ง”
เขาไม่ได้ปิดบัง
ความเป็นจริงแล้ว ระดับการฝึกตนของเขาในเวลานี้ อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือ เขายังไม่ได้สกัดเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณออกมาอย่างแท้จริง
“ต้องการโอกาสเหมาะสมเช่นนั้นหรือ?”
ฮวาซิ่นเฟิงไม่เข้าใจ ตามที่นางรู้มา เวลาที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ผู้ฝึกตนในโลกสามัญไม่ต้องการโอกาสเหมาะสมอันใดแม้แต่น้อย เพียงแต่ดูว่าลมปราณแรกกำเนิดที่แต่ละคนฝึกฝนได้มานั้นแข็งแกร่งและบริสุทธิ์หรือไม่
ดังเช่นตอนที่นางย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญก็เป็นไปอย่างราบรื่นมาก พยายามฝ่าบรรลุระยะเวลาเจ็ดวันก็สามารถสกัดเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณซึ่งมีรูปลักษณ์ล้ำเลิศได้หนึ่งเมล็ด
“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ” ซูอี้ส่ายหน้า
เกี่ยวกับเมล็ดพันธ์วิถีอันแข็งแกร่งนี้ แม้กระทั่งเก้ามหาแดนดินก็ยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
ต่อให้อธิบายให้ฮวาซิ่นเฟิงฟังในตอนนี้ เกรงว่านางก็คงไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีพลังที่รุนแรงถึงเพียงนี้
“ไปกันเถิด”
ซูอี้ตัดสินใจออกจากที่นี่ นับตั้งแต่เข้ามาในซากหอเซียนดาบ จนถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเวลาสามวันผ่านไปแล้ว
เขาได้รับโชคลาภโอกาสของสถานที่แห่งนี้แล้ว ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ต่ออีก
ขณะที่พูด เขาหยิบตราประทับกระดูกขาวออกมา จากนั้นขับดันพลังไปยังฝ่ามือ
วิ้ว!
คลื่นพลังต้องห้ามอันมหัศจรรย์แผ่กระจายออกมาจากตราประทับ
ครู่ถัดมา มันก็เข้าปกคลุมตัวซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิง จากนั้นทั้งสองก็หายไปจากที่เดิม
บนทะเลวิญญาณโกลาหล
สามวันผ่านไป
เกาะไร้หวน ภูเขาฝังศพ เจดีย์กระดูกขาว และเรือเก็บดาว ล้วนลอยล่องอยู่ห่าง ๆ เฝ้ารออย่างสงบ
บนหัวไหล่ของวานรยักษ์สีขาว ใบหน้าของหญิงสาวปรากฏอาการอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยออกมา
ระยะเวลาสามวัน ฝืนทนอยู่ภายในสายตาของบุคคลน่ากลัวสี่คนนั้น ถึงแม้จะไม่มีการต่อสู้ ทว่ากลับทำให้จิตใจของนางอยู่ในอาการตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา
มีอยู่หลายครั้ง หญิงสาวอยากจะหมุนตัวออกไป
ทว่าสุดท้าย นางก็ยังอดทนไว้ได้
ละทิ้งไปกลางทาง ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรมากนัก สิ่งที่ควรค่าแก่การดีใจก็คือ บุคคลน่ากลัวสี่คนนั้นไม่เคยสนใจนางเลย
“เหตุใดจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีใครออกมาอีก หรือว่าผู้ฝึกตนที่เข้าไปในหอเซียนดาบเหล่านั้นจะตายหมดแล้ว?”
ความสงสัยนี้วนเวียนอยู่ในใจของหญิงสาวมาโดยตลอด
ในสายตาของนาง เหตุการณ์ประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในซากหอเซียนดาบ บัดนี้ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ประตูซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเกลียวคลื่น
โดยไม่ต้องสงสัย ประตูบานนั้นก็คือทางเข้าสู่ซากหอเซียนดาบนั่นเอง
ทว่าบัดนี้ ไม่มีใครเดินออกมาจากประตูบานนั้น
ผิดแล้ว!
ทันใด ดวงตาของหญิงสาวก็ลุกวาว
หญิงชายคู่หนึ่งเดินออกมาจากประตูเกลียวคลื่นนั้น
ผู้ชายสวมชุดคลุมยาวสีขาวทั้งตัว รูปงามโดดเด่น หญิงสาวผิวสีเทียนรูปโฉมธรรมดา ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับงดงามส่องสว่างสดใสราวกับน้ำที่ใสสะอาดลุ่มลึก
พวกเขาคือซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิง
“แย่แล้ว! เหตุใดที่นี่จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
สีหน้าของฮวาซิ่นเฟิงเปลี่ยนไปในฉับพลัน นางมองเห็นเกาะไร้หวน ภูเขาฝังศพ เจดีย์กระดูกขาว และเรือเก็บดาวกลางน่านน้ำรอบด้านในทันใด
สิ่งต้องห้ามทั้งสี่นี้ ปกติทั่วไปพบเห็นเพียงแค่สิ่งเดียวก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกตนหวาดกลัวจนสิ้นหวังแล้ว
ทว่าตอนนี้ พวกมันกลับปรากฏตัวพร้อมกัน!
ทำให้ฮวาซิ่นเฟิงรู้สึกหนังศีรษะชา มือเท้าเย็น นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ซูอี้มองเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วถึงกับหรี่ตาลง
เขาเคยได้ยินเรื่องสิ่งต้องห้ามสี่อย่างในทะเลวิญญาณโกลาหล ถึงแม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าเมื่อได้เห็นเข้าจริง ก็ยังสามารถแยกแยะได้ออกอย่างรวดเร็ว
ทว่า เมื่อเทียบกับฮวาซิ่นเฟิงแล้ว เขาสงบนิ่งกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่หลังจากที่พวกเขาทั้งสองปรากฏตัวแล้ว บนเกาะไร้หวนที่ไกลออกไปก็มีเสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หืม? เหตุใดจึงมีแค่สองคนที่ออกมา หรือว่าคนอื่น ๆ ตายกันหมดแล้วเช่นนั้นหรือ?”
เสียงดังก้องไปถึงฟ้า ทำลายบรรยากาศกดดันและเงียบสงบในน่านน้ำแห่งนี้
สวบ!
เสียงยังไม่ทันหยุดลง จู่ ๆ โคมไฟสีเขียวเป็นมันดวงหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากเกาะไร้หวน กลายเป็นมือขนาดใหญ่ที่มีเพลิงไฟสีเขียวลุกแผดเผา
มือใหญ่มีอาณาเขตกว้างไปถึงสิบจั้ง เกิดเป็นแสงสีเขียวมรกตเต็มท้องฟ้า ยื่นไปจับตัวซูอี้กับฮวาซิ่นเฟิงกลางอากาศ
“มารเฒ่าหลีฮั่วจะโหดเกินไปเสียแล้ว ลงมือไม่ให้ตั้งตัว กลัวว่าโชคลาภจะถูกคนอื่นแย่งไปหรืออย่างไรกัน?”
บนตัววานรยักษ์สีขาว ดวงตาของหญิงสาวกำลังจับจ้อง
ครืน!
น้ำทะเลก่อตัวเป็นคลื่นสูง ฟ้าดินผันผวน
พลังที่แผ่กระจายออกมาจากมือขนาดใหญ่ดูน่ากลัวและแปลกประหลาดอย่างที่สุด อยู่ไกล ๆ ก็ยังทำให้หญิงสาวหายใจไม่ออก
โดยไม่ต้องสงสัย พลังเช่นนั้นจะต้องเหนือกว่าชั้นวิถีวิญญาณเป็นแน่!
“มารเฒ่าหลีฮั่ว ด้วยฐานะของเจ้า กลับลงมือจัดการกับผู้ด้อยอาวุโสสองคนนี้โดยตรง ไม่กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ?”
บนภูเขาฝังศพ เสียงดุดันเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ขณะเดียวกับที่มีเสียงดังขึ้น ฉับพลันบนภูเขาฝังศพก็มีหอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏออกมา เป็นหอกที่เกิดจากหมอกควันสีเทาจับตัวกัน แหวกทะลุอากาศพุ่งแทงไปที่มือใหญ่เพลิงไฟสีเขียวข้างนั้น
ครืน!
เสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ดังขึ้น มือใหญ่เพลิงไฟสีเขียวถูกซัดจนมลายหายไปกลางอากาศ พลังที่สาดกระเซ็นแผ่กระจาย สร้างความปั่นป่วนให้กับน่านน้ำในแถบนั้น
เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว ฮวาซิ่นเฟิงถึงกับเหงื่ออาบ ชั่วขณะนั้นนางถึงกับหมดความคิดจะต้านทาน
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
พละกำลังเช่นนั้น สามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย!
ทว่าเมื่อมองไปที่ซูอี้ เขากลับยังคงสงบราบเรียบเหมือนดังเดิม เพียงแต่ว่าหัวคิ้วเริ่มขมวดขึ้นเล็กน้อย ส่วนลึกของสายตาผุดประกายเย็นยะเยือกขึ้น
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องจึงได้ลงมือ เห็นชัด ๆ ว่าเป็นเพราะเห็นเขากับฮวาซิ่นเฟิงเป็นเหยื่อ ต้องการจะจับตัวพวกเขาโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ!
ลักษณะท่าทางเช่นนี้แลดูยโสและเอาแต่ใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ประเดี๋ยวเจ้าหลบเข้าไปในซากหอเซียนดาบ ตรงนั้นไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้”
ซูอี้ส่งกระแสปราณออกไปด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ
“แล้วคุณชายเล่า?” ฮวาซิ่นเฟิงถาม
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า หากคิดสกัดเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณ ต้องมีโอกาสเหมาะ ตอนนี้โอกาสเหมาะนี้มาหาเองถึงที่แล้ว”
สองมือของซูอี้ไพล่หลัง พลางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
ฮวาซิ่นเฟิงตะลึง ในใจสั่นสะท้าน นี่ซูอี้คิดจะลงมือกับฝ่ายตรงกันข้าม เพื่อให้ระดับการฝึกตนบรรลุอย่างแท้จริงเช่นนั้นหรือ!?
ขณะที่ครุ่นคิด บนเกาะไร้หวนที่ห่างไกลออกไปก็มีเสียงเยือกเย็นน่ากลัวเสียงหนึ่งดังขึ้น
“จี้เหยียน ทุก ๆ คนทำไปเพื่อแย่งชิงกระดูกของจักรพรรดิปิศาจฮุ่นเทียนทั้งสิ้น ไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำ ว่าเจ้าขัดขวางข้า เพราะกลัวว่าโชคลาภครั้งนี้จะถูกข้าแย่งชิงไปไม่ใช่หรอกหรือ?”
โคมไฟสีเขียวนับพันนับหมื่นดวงบนเกาะไร้หวนประดุจน้ำขึ้นน้ำลง จากนั้นร่างสีดำสูงผอมร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ท่ามกลางแสงไฟสีเขียวอันประหลาดแผ่กระจายออกมาจากรอบตัว
มารเฒ่าหลีฮั่ว!
“คิดแย่งโชคลาภโอกาสผู้อื่น จะทำรุนแรงเกินไปไม่ได้! หากว่าสหายน้อยสองคนนั้นยินดีมอบออกมา ข้าก็จะไม่เอาชีวิตพวกเขา นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างเจ้ากับข้า”
ประกอบกับเสียงดุดันเสียงดังประดุจฟ้าผ่า หมอกควันสีดำลุกโขมงอยู่บนภูเขาฝังศพ ศพโบราณที่ถูกล่ามด้วยโซ่ขนาดใหญ่สี่เส้นสั่นสะเทือนไม่หยุด
ทว่าบนยอดเขา มีร่างเลือนรางขนาดใหญ่มหึมายืนอยู่ ทั่วทั้งร่างมีประกายสายฟ้าฟาดสีแดงประหลาดส่องสว่าง
ราชาจี้เหยียนเหลย!
หญิงสาวบนหัวไหล่วานรยักษ์สีขาวหรี่ตาลง
“ท่านทั้งสอง ก่อนหน้านี้สหายเต๋าซิงเหิงเคยกล่าวไว้แล้ว เวลาแย่งชิงโอกาสสัมพันธ์นี้ แต่ละคนต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว จากที่ข้ามอง พวกเราสู้รบกันก่อนสักตั้งให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยดีหรือไม่?”
บนน่านน้ำที่ไกลออกไป ควันสีโลหิตพุ่งโขมง เสียงแหบแห้งเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากภายในตัวเจดีย์กระดูกขาว ล่องลอยอยู่ในแผ่นดินละแวกนี้
พร้อมกับเสียง จู่ ๆ ก็มีร่าง ๆ หนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีเลือด ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าเจดีย์ รูปร่างผอมกะหร่องราวกับต้นไผ่ พลังปีศาจน่าหวาดกลัวล้อมรอบตัว
ปีศาจเฒ่าสือกู่!
“เหตุใดจะไม่ได้?”
มารเฒ่าหลีฮั่วแห่งเกาะไร้หวนปล่อยหัวเราะเสียงดัง
“หากว่าเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าสองคนกล้ารับประกันหรือไม่ว่าตัวเองเป็นคู่ต่อสู้ของซิงเหิง?”
ราชาจี้เหยียนเหลยแห่งภูเขาฝังศพหัวเราะประชด
“สหายเต๋าซิงเหิงหมายความว่าอย่างไร?”
หน้าเจดีย์กระดูกขาว ปีศาจเฒ่าสือกู่มองดูเรือเก็บดาวที่อยู่ห่างไกลออกไป
เรือเก็บดาวโคลงเคลงอยู่บนผิวน้ำทะเล แสงดาวระยิบระยับ ดุจฝัน ดึงดูดสายตาของทุก ๆ คนในที่นั้น
อย่างไร้สุ้มเสียง ร่างผอมกะหร่องเสมือนเงาเลือนรางบนเรือเก็บดาวก็ลุกขึ้นยืน มีแสงเรืองรองสว่างขึ้นรอบตัวประดุจเทพเซียน กลิ่นอายความน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมา
ชั่วขณะที่มองเห็นคน ๆ นี้ ฮวาซิ่นเฟิงพลันรู้สึกแสบตา จิตวิญญาณราวกับถูกคมดาบเชือดเฉือน ขนลุกซู่ทั่วร่าง สีหน้าเปลี่ยนไป
ท่าทางน่ากลัวเสียเหลือเกิน!
หญิงสาวบนไหล่วานรยักษ์สีขาวตัวแข็งทื่อ
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ นักดาบ… เช่นนั้นหรือ?