บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 393 มหาภัยพิบัติอยู่หนใด
ตอนที่ 393: มหาภัยพิบัติอยู่หนใด
ตอนที่ 393: มหาภัยพิบัติอยู่หนใด
อากาศปั่นป่วน คลื่นทะเลโหมซัด
แม้การโจมตีของมารเฒ่าหลีฮั่วจะถูกขวางไว้ และทำให้การมีอยู่อันน่าสะพรึงกลัวทั้งสามแปลกใจอยู่บ้าง
ทว่ามันก็เท่านั้น
เพราะในเวลาเดียวกัน สายฟ้าโลหิตที่ปล่อยออกมาจากราชาจี้เหยียนเหลย รวมถึงหอกรบกระดูกขาวเต็มน่านฟ้าที่แสดงออกมาจากปีศาจสือกู่ ล้วนก็ถูกทำลายไป
ตูม!
สายฟ้าโลหิตทำลายทุกสรรพสิ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายการทำลายล้าง
หอกรบกระดูกขาวที่เต็มน่านฟ้านั้นยิ่งน่าหวาดกลัวอย่างมาก ทั่วทั้งท้องฟ้าแฝงไปด้วยหมอกโลหิตชั่วร้าย
ภาพเหตุการณ์นั้น เพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับวิถีวิญญาณต่างสิ้นหวัง
ซูอี้ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย!
ทว่ายามนี้ นัยน์ตาของซูอี้กลับยิ่งเปล่งประกายวูบวาบขึ้น คล้ายกับคบเพลิงที่ลุกโชติช่วง
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ภายใต้อันตรายที่กดดันเร้าใจเช่นนี้ ในตันเถียนภายในร่างกายเขา พลังที่บ้าคลั่งกำลังไหลวนอย่างเดือดพล่าน แล้วค่อย ๆ ก่อตัวเป็นเค้าโครงเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณออกมา
ชิ้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าส่งเสียงห้าวหาญดั่งพายุที่โหมพัดอย่างรุนแรง ซูอี้ไม่ถอยแต่กลับเดินเข้าไป ประจันหน้ากับการโจมตีอีกครั้งอย่างกล้าหาญและเหนือชั้น
แต่ในสายตาคนอื่น ๆ การกระทำนี้ของซูอี้ กลับเป็นเหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทั้งไร้ค่าและน่าขัน
ตูม!!
น่านน้ำปั่นป่วน คลื่นนับไม่ถ้วนโหมซัดแตกกระเจิง
สายฟ้าโลหิตโหมสาดซัดกับหอกรบกระดูกขาวนับไม่ถ้วน ปกคลุมไปทั่วร่างซูอี้ การจะทำให้เกิดกระแสการทำลายล้างเช่นนี้ คล้ายกับต้องทำให้น่านน้ำปั่นป่วน ทำลายทุกสรรพสิ่งอย่างบ้าคลั่ง ผิวน้ำราวพันจั้ง เหมือนถูกของแข็งจู่โจมจนทำให้เป็นหลุมลึกมโหฬาร
ภาพนั้น ทำให้หญิงสาวที่อยู่บนไหล่วานรยักษ์ขาวมีท่าทางเปลี่ยนไป ร่างกายแข็งทื่อและรู้สึกหายใจไม่ออก
น่าหวาดกลัวมาก!
อานุภาพที่การมีอยู่อันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นแสดงออกมา ต้องอยู่เหนือระดับวิถีวิญญาณเป็นแน่!
แม้ว่าการมีอยู่อันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ จะล้วนถูกกักขังอยู่บนเกาะไร้หวน ภูเขาฝังศพ และสรรพสิ่งต้องห้ามอื่น ๆ
แต่เมื่อพวกเขาลงมือ พลังที่ปลดปล่อยออกมานั้น ยังคงนับว่าน่าทึ่งเช่นเดิม!
ฮวาซิ่นเฟิงที่ออกมาจากปากทางเข้าซากหอเซียนดาบ จู่ ๆ ก็กำหมัดแน่น นัยน์ตาคู่งามเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและตกใจ
เขาจะเป็นอันใดบ้าง?
ขออย่าได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย!
“ตายแล้วรึ?”
เสียงของปีศาจเฒ่าสือกู่ดังขึ้น
สายตาคนที่เหลือ ล้วนจ้องไปยังน่านน้ำที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายการทำลายล้าง
แสงสว่างดุจน้ำตกค่อย ๆ หายไป ควันฝุ่นตลบอบอวล จากนั้นทุกคนก็เห็นร่าง ๆ หนึ่งยืนอยู่ในนั้น เสื้อผ้าขาดวิ่นเปื้อนไปด้วยเลือด เส้นผมยาวแตกสยาย
เป็นซูอี้!
“ยังไม่ตาย?”
การมีอยู่อันน่าสะพรึงกลัวทั้งสี่ต่างตกตะลึง
แค่ชายหนุ่มที่มีระดับฝึกตนในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เท่านั้น ยังมีโอกาสรอดตายอยู่อีกรึ?
คล้ายกับมดแมลงตัวหนึ่งที่ถูกไฟสวรรค์แผดเผา จะต้องมอดไหม้ดับสลายเป็นเถ้าถ่าน ทว่าจากภาพตรงหน้า มันกลับกลายเป็นคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย!
“เขา… เขายืนหยัดมาได้อย่างไรกัน?”
หญิงสาวที่อยู่บนไหล่วานรยักษ์ขาวรู้สึกตกตะลึง ดวงหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ดีจังเลย ดีจังเลย ดีจังเลย…”
ฮวาซิ่นเฟิงตื่นเต้นจนกล่าวอย่างสะเปะสะปะ
ก่อนหน้านี้ นางเกือบคิดว่าซูอี้ถูกฆ่า ในใจจึงพรั่งพรูความรู้สึกตกใจ ผิดหวัง โมโห เศร้าโศกและอื่น ๆ อย่างอธิบายออกมาไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกที่ซับซ้อนนี้เอง ทำให้นางตื่นตระหนกตกใจ
เพราะนี่ยังเป็นครั้งแรกของนางที่เป็นห่วงบุรุษผู้หนึ่งเช่นนี้!
และในเวลานี้ เมื่อเห็นซูอี้ยังไม่ตาย นางก็รู้สึกตื่นเต้นทันที
“ทำให้ข้าซูผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ ไม่เลวเลย ไม่เลวจริง ๆ…”
ยามนี้ ซูอี้กลับหัวเราะขึ้นมา
ใบหน้าของเขาซีดขาวจนแทบโปร่งใส มุมปากมีเลือดไหลออกมา เสื้อผ้าขาดลุ่ย เผยให้เห็นรอยแผลแตกระแหงทั่วผิวออกมา เลือดแดงฉานไหลริน ดูจนตรอกและน่าเวทนามาก
ทว่าเขากลับหัวเราะ
บนดวงหน้าหล่อเหลานั้น แฝงไปด้วยกลิ่นอายความเหยียดหยาม ในดวงตาลุ่มลึกคู่นั้น เปล่งประกายดั่งดวงดาวที่เผาไหม้
และบนร่างของเขา มีพลังลึกลับมหัศจรรย์ปลดปล่อยออกมาอย่างเงียบงัน ประหนึ่งแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างเฉียบพลันหลังฝนตก และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
การโจมตีนี้ ทำให้เขาได้รับผลกระทบอย่างมาก
แต่ความน่าสะพรึงกลัวระหว่างความเป็นความตาย กลับทำให้เมล็ดพันธุ์ปฐมญาณภายในตันเถียนเขาก่อรวมไปอีกขั้นหนึ่ง และมีเค้าลางที่จะก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว!
“เหอะ จะตายอยู่รอมร่อ ยังจะกล้าหัวเราะขึ้นมาอีก?”
บนเกาะไร้หวน มีเสียงเยาะเย้ยของมารเฒ่าหลีฮั่วดังออกมา ทุกคำที่เขาเอ่ยแฝงไปด้วยเจตนาที่ชั่วร้าย “จำเอาไว้ ผู้ที่คร่าชีวิตเจ้า คือข้าราชาหลีฮั่ว!”
ตูม!
โคมไฟสีเขียวสดนับหมื่นแกว่งไปมา นิ้วมือหนึ่งที่เหมือนกับเสาสูงเสียดฟ้าชี้ขึ้น
นิ้วมือนี้มีความยาวสิบกว่าจั้ง ซึ่งอาบไปด้วยเปลวเพลิงสีเขียว ทุกที่ที่เคยผ่านไป อากาศคล้ายกับถูกเผาไหม้ ปั่นป่วนดุเดือดอย่างมาก
แล้วจึงกดไปทางซูอี้อย่างรุนแรง!
เฉกเช่นนิ้วมือหนึ่งของเทพเจ้าที่ยื่นออกมา บดขยี้มดแมลงตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งให้ตาย
และครั้งนี้ ปีศาจเฒ่าสือกู่และราชาจี้เหยียนเหลยต่างสะสมพลังและรอคอย หลังจากซูอี้ถูกสังหารไปแล้ว ก็เตรียมเข้าไปแย่งโชคลาภทันที
มีเพียงชายสูบผอมนามว่าซิงเหิงที่อยู่บนเรือเก็บดาวเท่านั้น ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลงมือใด ๆ
และในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ซูอี้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปยังน่านฟ้ากว้าง พลันพ่นประโยคหนึ่งออกมาเบา ๆ
“มหาภัยพิบัติอยู่หนใด?”
แต่ละคำดั่งเสียงดาบ ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า
ตูม!
บนน่านฟ้าเหนือศีรษะซูอี้พลันมืดมน เมฆครึ้มดำมหาศาลค่อย ๆ ปรากฏออกมา คล้ายกับระลอกคลื่นขนาดมหึมา
แสงภัยพิบัติสีเทาดั่งสิ่งต้องห้ามหนึ่ง จู่ ๆ ก็ย่างกรายมาถึงโลกมนุษย์
“ทัณฑ์… ทัณฑ์สวรรค์!?”
หญิงสาวที่อยู่บนไหล่วานรยักษ์ขาวพลันสั่นเทา แววตาเลื่อนลอย แค่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์คนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงทำให้เกิดภัยพิบัติยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้?
“นี่มันภัยพิบัติอันใดกัน?”
ปีศาจเฒ่าสือกู่ ราชาจี้เหยียนเหลยต่างตกตะลึง เมื่อจิตใต้สำนึกสั่งให้พวกเขามองไปยังระลอกคลื่นเมฆครึ้มบนน่านฟ้านั้น ก็ทำให้อดรู้สึกเหมือนกำลังจะตายและขนลุกขึ้นมาไม่ได้
“นี่…”
บนเรือเก็บดาว ซิงเหิงก็ตกใจอย่างชัดเจน แสงเจิดจ้าทั่วร่างปั่นป่วนไปหมด
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังไปทั่วน่านฟ้า
นิ้วมืออาบเปลวไฟสีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้งของมารเฒ่าหลีฮั่ว เหลือเพียงแค่สามจั้ง ก็จะกดทับลงบนตัวซูอี้ ทว่าชั่วพริบตาหนึ่งถูกแสงภัยพิบัติสีเทานั้นผ่าลงมา แตกระเบิด ฉีกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับฟองลวงตา
แสงภัยพิบัติสีเทาที่มีอานุภาพไม่ลดลงเลย ผ่าไปบนร่างซูอี้
ในหัวของทุกคน ต่างผุดสภาพการณ์ที่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อหลังจากที่ซูอี้ถูกสังหารออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เพราะแสงภัยพิบัตินั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป ทำให้การมีอยู่อันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นตกใจและยากที่จะสงบลงได้
แต่ทว่า
ที่ทำให้ไม่อยากจะเชื่อคือ ซูอี้ไม่ได้ตื่นตระหนกใด ๆ ทั้งสิ้น
เมื่อแสงภัยพิบัตินั้นผ่ามาบนตัวเขา ราวกับหิมะละลายในน้ำ พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่ทำให้ซูอี้ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย
“นี่…”
ทุกคนต่างอ้าปากตาค้าง ในหัวเต็มไปด้วยความมึนงง นี่มันผิดปกติและแปลกประหลาดเกินไป ทำให้พวกเขามิอาจเข้าใจได้
ทุกคนย่อมรู้ดี ในโลกแห่งการฝึกตน ผู้ฝึกตนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงแค่ในตอนก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีวิญญาณเท่านั้น ถึงจะได้รับการทดสอบที่มาจากทัณฑ์สวรรค์
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ฝึกตนสามขอบเขตใหญ่แห่งวิถีต้นกำเนิด มิอาจไปยั่วยุทัณฑ์สวรรค์ได้!
ทว่ายามนี้ แค่ชายหนุ่มขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์คนหนึ่งเท่านั้น กลับทำให้เกิดภัยพิบัติที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาดออกมาได้
พลังแปลกประหลาดของระลอกคลื่นเมฆดำนั้น ทำให้การมีอยู่อันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกกักขังมานานเกือบสามหมื่นปีเหล่านั้นต่างขนลุกชันและหวาดกลัว
ก่อนหน้านี้ แม้พลังแห่งแสงภัยพิบัติจะผ่านิ้วมือที่อยู่กลางอากาศนั้นของมารเฒ่าหลีฮั่วอย่างง่ายดาย
แต่ไม่นึกเลยว่า ภัยพิบัตินี้จะมุ่งเป้าไปที่ซูอี้ เมื่อแสงภัยพิบัตินั้นผ่าลงบนตัวเขา กลับเป็นเหมือนควัน… และหายไปอย่างไร้ร่อยรอย?!
ภาพนี้ เต็มไปด้วยความผิดปกติกับความแปลกประหลาด แล้วเช่นนี้ใครจะไม่แปลกใจกัน?
“นี่… คงไม่ใช่สิ่งที่คุณชายกล่าวหรอกนะ?”
ดวงหน้าฮวาซิ่นเฟิงเต็มไปด้วยความตกใจ
สุดท้ายนางก็เข้าใจว่าเหตุใดตอนนั้นซูอี้กล่าวว่าแม้จะบอกแก่นาง นางก็คงจะไม่เข้าใจ
หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ฮวาซิ่นเฟิงก็คงมิอาจจินตนาการได้จริง ๆ ว่าในตอนที่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์คนหนึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ จุดพลิกสถานการณ์ที่ต้องการ จะเป็นมหาภัยพิบัติแปลกประหลาดเช่นนี้!
ครืน!
ระลอกคลื่นเมฆครึ้มสีดำหนาแน่นดั่งหินโม่แป้งที่หมุนวนในส่วนลึกน่านฟ้า แผ่กลิ่นอายภัยพิบัติออกมา ปกคลุมไปทั่วน่านฟ้าแห่งนี้
ทำให้รู้สึกหวาดกลัวมาก
ครั้นมองซูอี้ ก็พบว่าชายหนุ่มคล้ายกับได้ทานของเสริมเข้าไป จิตวิญญาณกระปรี้กระเปร่า นัยน์ตาเป็นประกาย การขับเคลื่อนลมปราณทั่วร่างเพิ่มสูงขึ้นดั่งหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังฝน
ภายใต้สายตาที่ตกใจของทุกคน ร่างสูงผอมของซูอี้ก็ทะยานขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็วทันที
เสื้อผ้าเขายังคงขาดลุ่ยเหมือนเดิม ทั่วร่างเปื้อนไปด้วยเลือด
ทว่าเวลานี้ เมื่อเขายืนอยู่ใต้ระลอกคลื่นเมฆครึ้มสีดำนั้น ร่างของเขากลับแผ่กลิ่นอายเหยียดหยามประหนึ่งมองสวรรค์อย่างเย้ยหยันออกมา
“ทุกท่าน ขอบคุณที่ช่วยข้าทำให้เกิดภัยพิบัตินี้มา รอข้าซูผู้นี้บรรลุแล้ว จะช่วยทุกท่านได้หลุดพ้นจากโลกนี้เอง!”
สองมือของซูอี้ไพล่หลัง แล้วเขาก็เอ่ยอย่างไม่แยแสและมีท่าทีกำเริบเสิบสานดั่งเทพเซียน
เมื่อคำพูดเหล่านี้ดังออกไป มารเฒ่าหลีฮั่ว ปีศาจเฒ่าสือกู่ ราจี้เหยียนเหลย และคนที่เหลือต่างมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างมาก
เจ้าหมอนี่… แค่ยืมมือพวกเขา ทำให้เกิดมหาภัยพิบัติขึ้นรึ?!
ข้อเท็จจริงนี้ ทำให้พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ทำให้เกิดมหาภัยพิบัติเพื่อบรรลุ?”
หญิงสาวที่อยู่บนไหล่วานรยักษ์ขาวรู้สึกมึนงง
เรื่องราวผิดปกติและแปลกประหลาดบนโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน นางที่ขึ้นเหนือลงใต้ในหลายปีมานี้ เคยเห็นเรื่องราวน่าเหลือเชื่อมามากมาย
ทว่าเรื่องราวผิดปกติที่เกิดขึ้นกับซูอี้เหมือนวันนี้ ก็ยังเป็นครั้งแรกที่นางเห็น
…ไม่สิ ก่อนที่จะบอกเห็น แม้แต่ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
สิ่งนี้แทบอยู่เหนือการรับรู้ของนาง!
ตูม!
ทันใดนั้น ในส่วนลึกของเมฆครึ้ม มีแสงภัยพิบัติสีเทาเก้าสายสาดลงมา ประหนึ่งแสงเจิดจรัสจากนอกโลกร่วงลงสู่โลกมนุษย์
แสงภัยพิบัติทุกสาย ต่างมีกลิ่นอายต้องห้ามหมายทำลายล้าง น่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีด ทำให้คนที่มองอยู่ไกล ๆ ต่างรู้สึกว่าจิตใจถูกทำลาย
โดยเฉพาะเหล่าสัตว์ร้ายที่ถูกกักขังอยู่ในสรรพสิ่งต้องห้าม แต่ละคนต่างเก็บลมปราณ เพราะกลัวว่าจะถูกผลกระทบของภัยพิบัตินั้น
ทว่าซูอี้กลับยืนนิ่งอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เมื่อแสงภัยพิบัตินั้นผ่าลงบนตัวเขาทีละสาย ราวกับวัวโคลนลุยทะเล*[1] ที่หายไปอย่างเงียบ ๆ
ทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่ปลายขน
คนที่เหลือในบริเวณต่างก็ตกใจอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง ภัยพิบัตินี้แข็งแกร่งมากเพียงใด เหตุใดถึงทำอะไรคนหนุ่มที่จะก้าวผ่านผู้นี้ไม่ได้เลย?
และในเวลานี้เอง ซูอี้ก็เผยรอยยิ้มพอใจออกมา
ตูม!
ในกายเขา ดาบเก้าคุมขังสั่นไหว โซ่ตรวนเก้าชั้นที่ถูกดาบนี้ปราบปรามเองก็ปั่นป่วนส่งเสียงดังขึ้นเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดรับรู้ เมื่อแสงภัยพิบัติน่าสะพรึงกลัวแปลกประหลาดแต่ละสายผ่าลงมา มันกลับถูกดาบเก้าคุมขังกลืนไปหมดทันที!
หลังจากนั้น เมื่อลมปราณรอบกายของซูอี้ผสานเข้ากับดาบเก้าคุมขัง เขาก็ได้ดูดซับพลังต้องห้ามอันบริสุทธิ์และลึกลับจากดาบเก้าคุมขังอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่มันจะไปรวมตัวกันอยู่ภายในตันเถียน
เมล็ดพันธุ์ปฐมญาณภายในตันเถียนใกล้จะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว หลังจากดูดซับพลังต้องห้ามลึกลับเช่นนี้ ก็เกิดการแปรสภาพที่ลึกลับมหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมา…
[1] วัวโคลนลุยทะเล เป็นสำนวน หมายถึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย