บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 397 จี้หยกปักษามังกร
ตอนที่ 397: จี้หยกปักษามังกร
ตอนที่ 397: จี้หยกปักษามังกร
จู่ ๆ ลิงขาวยักษ์ก็ตัวแข็งทื่อและเริ่มแสดงอาการหวาดกลัว
เมื่อเห็นจากที่ไกลออกไป ซูอี้กำลังหันมองมา!
“ปราชญ์หลิวฮั่วรึ?” ซูอี้ถาม
“สหายเต๋ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
สตรีที่นั่งบนไหล่ของวานรยักษ์มีท่าทีใจเย็น
นางมีริมฝีปากแดง ฟันขาว และคิ้วงดงาม ทำให้แม้ว่านางจะปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่นางก็ยังคงดูเหมือนหญิงสาวผู้บอบบาง
เมื่อคนธรรมดามาเห็นเกรงว่าพวกเขาคงไม่สามารถเชื่อมโยงนางกับตัวตนของผู้อาวุโสสูงสุดสำนักเทียนอิ่น ปราชญ์หลิวฮั่วได้
“ย้อนกลับไป ณ จุดพักม้าหลงเฉียวในต้าโจว ข้าเคยได้ตัดส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเจ้าที่ซ่อนอยู่ในร่างของแมวดำ ข้าย่อมจดจำกลิ่นอายของเจ้าได้”
ขณะซูอี้กล่าว เขาก็ได้ข้ามผ่านผืนฟ้าและมหาสมุทรไปแล้ว
ขณะที่เขาเข้าใกล้ ขนยาวเก้าจั้งของลิงขาวยักษ์ก็ลุกพรึ่บ มันตื่นตัวราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
สตรีผู้นั้นตบหัวลิงยักษ์เบา ๆ แล้วพูดปลอบว่า “อย่ากลัวไป”
จากนั้นนางมองไปที่ซูอี้ผู้เดินเข้ามาและพูดว่า “สหายเต๋าต้องการจัดการกับข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้ส่ายหัว แล้วกล่าวคำออก “ข้าแค่ไม่เข้าใจ ว่ากันว่าเจ้ากลับไปที่ต้าเซี่ยแล้ว เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงกลับมาที่นี่อีก?”
“ใช่ ลวี่อวิ๋นกล่าวว่าเจ้ากลับต้าเซี่ยไปแล้ว?”
ไกลออกไป ฮวาซิ่นเฟิงตรงมาอย่างรวดเร็ว
ดวงตาคู่สวยของนางมองมาที่ปราชญ์หลิวฮั่ว ไม่เพียงแต่จะไม่มีความหวาดกลัวบนใบหน้าของนาง กระทั่งน้ำเสียงของนางยังแฝงความสงสัยเอาไว้ด้วย
ซูอี้อดมองไปที่ฮวาซิ่นเฟิงไม่ได้
ที่หมู่บ้านเทียนสุ่ย นอกเขตเมืองตงฝู ฮวาซิ่นเฟิงได้ใช้ป้ายตราของลวี่อวิ๋น ศิษย์คนรองของปราชญ์หลิวฮั่วเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง
ในเวลานั้น ซูอี้ยังถามนางว่านางไม่กังวลหากปราชญ์หลิวฮั่วจะรู้ข่าวและมาชำระบัญชีกับนางหรือ
ทว่าฮวาซิ่นเฟิงกลับไม่สนใจ โดยกล่าวว่าปราชญ์หลิวฮั่วได้กลับไปที่ต้าเซี่ยแล้ว
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
บนไหล่ลิงขาวยักษ์ ปราชญ์หลิวฮั่วมองดูฮวาซิ่นเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง และราวกับว่าตระหนักอะไรได้ จึงลุกขึ้นแล้วกระโดดจากไหล่ของลิงยักษ์ทันใด ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณหนู วิชาเปลี่ยนโฉมหน้าของท่านน่าทึ่งมากจนข้าจำแทบไม่ได้ในแวบแรก”
คุณหนู?
ซูอี้ครุ่นคิด สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะเริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆเสียแล้ว
เมื่อเห็นฮวาซิ่นเฟิงเหลือบมองไปที่ซูอี้ นางก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “หากข้าไม่ได้กังวลว่าจะถูกคุณชายเข้าใจผิด ข้าคงไม่เป็นฝ่ายเปิดเผยตัวเองต่อเจ้าแน่”
ขณะที่พูดเช่นนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ซูอี้ด้วยดวงตาที่สดใส “คุณชายซู ไม่ใช่ว่าข้าจงใจปกปิด แต่ข้าคิดว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะไม่เจอกับปราชญ์หลิวฮั่ว ดังนั้นข้าจึงใช้สัญลักษณ์ของลวี่อวิ๋นเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนั้น ใครจะคิดว่าปราชญ์หลิวฮั่วจะไม่ได้จากไป…”
มีร่องรอยช่วยไม่ได้และความรำคาญแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
ปราชญ์หลิวฮั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู ลวี่อวิ๋นคงบอกกล่าวข่าวการกลับไปต้าเซี่ยของข้ากับท่าน แต่ตัวลวี่อวิ๋นเองไม่รู้ ข้าแค่วางอุบายเล็กน้อยเพื่อให้คุณหนูเป็นฝ่ายเปิดเผยร่องรอยเอง”
“น่ารังเกียจนัก!”
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวอย่างดุร้าย
ปราชญ์หลิวฮั่วไม่ปฏิเสธ นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูน่าจะทราบเหตุผลที่ข้ามาที่ต้าฉินดี ทางหนึ่งเป็นเพราะว่าข้าต้องการสำรวจสถานที่ประหลาดเพื่อคว้าโอกาส แต่ที่สำคัญกว่านั้น ข้าสัญญากับบิดาของท่านไว้ว่าหากข้าได้พบท่านในต้าฉิน ข้าจะเกลี้ยกล่อมให้ท่านกลับบ้าน”
ฮวาซิ่นเฟิงแค่นเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้างั้นรึ?”
รอยยิ้มของปราชญ์หลิวฮั่วจางหายไป นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “คุณหนู ท่านจากบ้านมาเก้าปีแล้ว หากเป็นแต่ก่อน ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทำเป็นมองไม่เห็นและปล่อยให้ท่านทำสิ่งที่ชอบในโลกใบนี้ แต่ตอนนี้มันแตกต่างกัน”
“แตกต่างอย่างไร?”
ฮวาซิ่นเฟิงขมวดคิ้ว
ปราชญ์หลิวฮั่วกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ท่านจะรู้เองเมื่อกลับบ้านไปกับข้า รู้ไว้เพียงว่าหากท่านปฏิเสธหรืออาละวาด ในอนาคตท่านจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
ฮวาซิ่นเฟิงตกใจ สีหน้าของนางเริ่มลังเล
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็กล่าวขึ้น “เจ้าออกไปก่อน ข้าต้องการพูดคุยกับคุณชายซูตามลำพัง”
ปราชญ์หลิวฮั่วเอ่ยตอบรับอย่างมีความสุข แล้วรีบพาลิงขาวยักษ์ออกไปจากบริเวณนี้
“คุณชายซู”
ฮวาซิ่นเฟิงก้มศีรษะลง ราวกับไม่กล้าสบตากับซูอี้ และกล่าวว่า “ข้ากำลังจะไปแล้ว…”
ซูอี้พยักหน้า เพียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเจ้าถึงทำท่าเช่นนั้น? เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย?”
ฮวาซิ่นเฟิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง “ใช่แล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เหตุใด… ข้าจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย?”
ซูอี้กล่าวว่า “เอาเถอะ แล้วแต่เจ้า ถึงจะอย่างไรข้าก็บอกเจ้าไปนานแล้วว่าขีดจำกำจัดของข้าคือไม่สามารถยอมรับการทรยศได้ ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่สนใจ”
ฮวาซิ่นเฟิงดูเหมือนจะโล่งใจ นางกะพริบตาอันลึกล้ำสวยงามแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่าท่านจะโทษที่ข้าปกปิดตัวตนไว้”
ซูอี้ส่ายหัวยิ้ม ๆ “ถึงเจ้าจะเป็นธิดาของจักรพรรดิต้าเซี่ยแล้วอย่างไร มันก็เป็นแค่ตัวตนเท่านั้น”
ทุกคนมีความลับของตัวเอง
ฮวาซิ่นเฟิงมี
ซูอี้เองก็ด้วย
ตราบใดที่ไม่แตะต้องขีดจำกัดของเขา สิ่งเหล่านี้ก็ไม่นับเป็นอะไร
“เอ่อ…”
ฮวาซิ่นเฟิงตะลึงครู่หนึ่ง แล้วยิ้มอย่างมีความสุข ดวงตาสว่างไสวราวกับดวงดาวของนางจ้องมองไปที่ซูอี้ และกล่าวว่า “คุณชายซู ข้าจะไม่ลืมเจ้าไปตลอดชีวิตของข้า และข้าเชื่อว่าเราคงมีโอกาสได้พบกันอีกในอนาคต”
ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ทว่าซูอี้กลับถอนหายใจเบา ๆ “หากเจ้าไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ธรรมดาเช่นนี้คงทำให้ข้ารู้สึกดีกว่านี้”
ฮวาซิ่นเฟิงกล่าวอย่างตกตะลึง “คุณชายซูใส่ใจเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของสตรีมากนักหรือ?”
เปลี่ยนเป็นบุรุษคนอื่น เกรงว่าพวกเขาจะต้องปฏิเสธหรือรีบอธิบายแน่นอน แต่ซูอี้ไม่ เขาตอบโดยไม่ลังเล “แน่นอน”
ฮวาซิ่นเฟิง “…”
นางหัวเราะออกมาทันทีและพูดว่า “อ้า คุณชายซูช่างแตกต่างจากบุรุษทั่วไปเสียจริง!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยเบา ๆ “เมื่อเราพบกันครั้งหน้าข้าจะดื่มกับท่านด้วยฐานะที่แท้จริงของข้า”
หลังจากกล่าว ฮวาซิ่นเฟิงก็หยิบจี้หยกสีม่วงออกมายื่นให้ซูอี้ “คุณชายซู นี่เป็นเครื่องหมายของข้า หากท่านไปที่ ‘นครหลวงจิ๋วติ่ง’ เมืองหลวงของต้าเซี่ยในอนาคต ไม่ว่าท่านต้องการทำสิ่งใด เพียงนำจี้หยกเพื่อไปที่ ‘หอทะเลสาบเมฆา’ จะมีคนพยายามรับใช้คุณชายอย่างเต็มที่”
ยื่นจี้หยกที่หักแล้วให้ซูอี้ นางยิ้มและเอ่ย “แน่นอนว่าด้วยจี้หยกนี้ ท่านจะสามารถพบข้าได้อีก”
ซูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เมื่อเขารับจี้หยกนี้ขึ้นมา ดวงตาของเขาพลันมีร่องรอยประหลาด
บนจี้หยกมีวิหคเทวะกางปีกที่อาบด้วยเปลวเพลิงโอบรอบหยินและหยางไว้ มันดูคล้ายมังกรที่มีปีกและหัวเหมือนนก
ปักษามังกร!
กวาดผ่านท้องฟ้าและผืนดิน ปกคลุมอาทิตย์และจันทรา กลืนจิตวิญญาณแห่งภูเขาและทะเล ครอบครองพลังของเทพปีศาจ เป็นหนึ่งในสัตว์วิญญาณที่แท้จริงซึ่งเก่าแก่ที่สุด!
จี้หยกชิ้นนี้ที่แกะสลักเป็นสัญลักษณ์ปักษามังกร!
ทันใดนั้น ซูอี้ก็อดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ หากจี้หยกปักษามังกรนี้เป็นสัญลักษณ์ตระกูลของฮวาซิ่นเฟิงจริง เกรงว่าครอบครัวของนางคงไม่เรียบง่ายนัก
“ปราชญ์หลิวฮั่ว เราไปกันได้แล้ว”
ฮวาซิ่นเฟิงตะโกนออกไปไกล ๆ
จากนั้นปราชญ์หลิวฮั่วก็เข้ามาใกล้และกล่าวด้วยความโล่งใจว่า “คุณหนู ในที่สุดท่านก็เติบโตแล้ว และรู้ว่าจะต้องเลือกอะไร”
ฮวาซิ่นเฟิงทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ
ปราชญ์หลิวฮั่วโค้งศีรษะไปทางซูอี้เล็กน้อยและกล่าวว่า “สหายเต๋า ก่อนที่ข้าจะจากไป มีเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่รู้ว่าจะกล่าวออกไปดีหรือไม่”
ซูอี้ว่า “พูดมา”
ปราชญ์หลิวฮั่วพิจารณาครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ด้วยภูมิหลังและการฝึกฝนของสหายเต๋า หากเจ้าอยู่ในต้าโจวก็เสมือนมังกรที่ติดอยู่ในสันดอน ถูกกำหนดให้ไม่สามารถแสดงความทะเยอทะยานได้”
“ตอนนี้ต้าเซี่ยกำลังจะจัด ‘ชุมนุมมวลพฤกษา’ ขึ้นในอีกห้าเดือน ข้าหวังอย่างยิ่งว่าสหายเต๋าจะสามารถเข้าร่วมได้ มีเพียงที่ต้าเซี่ยเท่านั้นที่สหายเต๋าจะมีโอกาสก้าวไปยังจุดสูงสุดของมหาวิถี”
“ชุมนุมมวลพฤกษา?”
ซูอี้จำได้ว่าราชาขนนก เยว่ซือฉาน ได้เชิญตนไปที่ต้าเซี่ยเพื่อเข้าร่วมเทศกาลครั้งใหญ่ของผู้ฝึกตนนี้ซึ่งจัดขึ้นโดยจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเอง
ปราชญ์หลิวฮั่วกล่าวเบา ๆ ว่า “หากเจ้าสนใจสามารถไปที่นครหลวงจิ๋วติ่งได้ทุกเมื่อ ในเวลานั้นข้ายินดีที่จะจัดเตรียมทุกอย่างให้กับท่าน ด้วยพลังของสหายเต๋าแล้ว ย่อมสามารถโดดเด่นในงานชุมนุมมวลพฤกษาได้อย่างง่ายดาย”
“ปล่อยไปตามวาระเถิด”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ
ฮวาซิ่นเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “คุณชายซู ท่านอาจจะไม่สนใจที่จะโด่งดังในชุมนุมมวลพฤกษา แต่ตราบใดที่ท่านได้รับยันต์พระสุเมรุในชุมนุมมวลพฤกษา ท่านก็สามารถไปที่เกาะเซียนพระสุเมรุได้”
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง นางก็กระซิบ “เท่าที่ข้ารู้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีความลับเกี่ยวกับ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ซ่อนอยู่ในสถานที่นั้น หากท่านพลาดไปจะน่าเสียดายยิ่ง”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย เขาอดมองไปที่ฮวาซิ่นเฟิงอีกครั้งไม่ได้ สตรีผู้นี้รู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับเกาะเซียนพระสุเมรุจริงหรือ?
ไม่ธรรมดาเลย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็พยักหน้าและกล่าว “เข้าใจแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น… ก็ลาก่อน”
ฮวาซิ่นเฟิงโบกมือลาและจากไปพร้อมกับปราชญ์หลิวฮั่ว
เมื่อเห็นร่างของพวกเขาหายไปในทะเลกว้างใหญ่ ซูอี้ก็ก้มลงมองไปที่จี้หยกปักษามังกรอยู่ครู่หนึ่ง และลอบกล่าวในใจว่า “หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ค่อยลองไปเดินเล่นที่ต้าเซี่ยดูก็ได้”
อาณาจักรต้าเซี่ย ผู้นำในมหาทวีปคังชิงที่เจริญรุ่งเรืองด้านการฝึกตน
เมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นต้าโจว ต้าเว่ย หรือต้าฉิน ทั้งหมดต่างเล็กกระจ้อยและห่างไกลจากต้าเซี่ยนัก
หลังจากนั้นไม่นาน ซูอี้ก็เก็บจี้หยกปักษามังกรลง เขาหันไปมองที่ทางเข้าซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ และโบกแขนเสื้อคลุม
ฮึ่ม!
ประตูทางเข้าที่เหมือนกระแสน้ำวนหายไปอย่างเงียบ ๆ ดุจระเหยหายไปจากโลก
ทว่าซูอี้ผู้ถือตราประทับกระดูกขาวไว้ในมือรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการคงอยู่ของมัน
“ในอนาคตสามารถใช้ที่นี่เป็นสถานที่กักตัวฝึกได้”
ซูอี้ลอบกล่าวกับตัวเอง
จากนั้น เขาก็มองลงไปยังทะเลที่อยู่ไม่ไกล มุมปากจึงยกขึ้นน้อย ๆ แล้วกล่าวว่า
“ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ออกมาเล่า?”
ในทะเลลึก เก๋อเฉียนที่ใช้ ‘ทักษะซ่อนลมหายใจเต่าหางมังกรดำ’ อยู่ตัวแข็งทื่อ เขาใจสั่น ชายคนนี้… มองเห็นร่องรอยของเขาจริง ๆ รึ!?
“ตาเฒ่า ออกมาเร็ว ๆ แล้วบอกข้าว่าต้องทำอย่างไร?”
เก๋อเฉียนตื่นตระหนกไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ เขาได้เห็นวิธีที่ซูอี้ใช้สังหารตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้น หัวใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความตระหนก และหวาดกลัวซูอี้อย่างยิ่ง
ยามนี้เมื่อถูกซูอี้มองเห็นร่องรอย เขาก็ตัวสั่นราวกับกระต่ายสีขาวตัวน้อย ๆ ที่ถูกสัตว์ร้ายจับจ้อง
ไม่มีการตอบสนองในทะเลแห่งจิตวิญญาณเป็นเวลานาน
เก๋อเฉียนตกตะลึงและโกรธจัดจนแทบจะตะโกนออกมา ตาเฒ่านี่มักมีใบหน้าหยิ่งยโสและคอยดูถูกวีรบุรุษทั่วโลก…
แต่ตอนนี้เขากลับขี้ขลาดเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะพูดจา ทำได้แค่ขดตัวอยู่กับที่ไม่ไหวติง!