บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 398 ความแปลกประหลาดของเก๋อเฉียน
ตอนที่ 398: ความแปลกประหลาดของเก๋อเฉียน
ตอนที่ 398: ความแปลกประหลาดของเก๋อเฉียน
“ถ้าเจ้าไม่ออกมาอีกก็อย่าโทษที่ข้าหยาบคาย”
เมื่อเสียงของซูอี้ดังขึ้นอีกครั้ง เก๋อเฉียนพลันกัดฟันและหยิบยันต์ลับที่เขาเก็บไว้ในร่างกายออกมา ก่อนจะติดมันที่แขน หน้าอก หน้าท้อง ต้นขา หลัง และส่วนอื่น ๆ
ทว่าก็ยังคงกังวลอยู่ เขาจึงหยิบกระจกปกป้องหัวใจคู่หนึ่งออกมาใส่ไว้ที่อก โดยสวมปลอกรัดข้อมือ
ในที่สุด เมื่อเขาได้สัมผัสชุดเกราะพิเศษในชุดเสื้อคลุมเต๋าสีเหลืองอีกรอบ และวางมือซ้ายลงบนเข็มขัดหยกที่รอบเอวของเขาไว้ จึงค่อยวางใจ
เข็มขัดหยกเป็นคลังเก็บของเช่นกัน ซึ่งมันมีของช่วยชีวิตทุกประเภทซ่อนอยู่…
เก๋อเฉียนมั่นใจว่าแม้ว่าเขาจะได้พบกับผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณ เขาก็สามารถใช้สมบัติป้องกันเหล่านี้กำจัดไปให้พ้นทางได้
แต่เมื่อคิดว่าคนเขาที่จะเผชิญหน้าคือซูอี้ ในใจเขาก็ยังรู้สึกหวั่นเล็กน้อย
“ช่างเถอะ กระวนกระวายไปก็เท่านั้น ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าค่อยใช้ตาเฒ่าในทะเลแห่งจิตวิญญาณนั่นเป็นโล่เอา!”
เก๋อเฉียนกัดฟัน ก่อนร่างของเขาก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นจากด้านล่างของทะเล
ซ่า!
คลื่นซัดขึ้นสู่ทะเล ทันทีที่ร่างของเก๋อเฉียนปรากฏขึ้น เขาก็รีบคำนับไปทางซูอี้ที่อยู่ห่างออกไปด้วยความหวาดหวั่นและเผยความชื่นชมบนใบหน้าอันบอบบาง พลางกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสซูทรงพลังนัก ดวงตาของท่านดั่งคบไฟ เหลือบมองเพียงแวบเดียว ก็มองทะลุที่ซ่อนของผู้น้อยได้ ทำให้ผู้น้อยชื่นชมยิ่งนัก”
ท่วงท่าของเขาต่ำต้อยนัก ถือว่าตนเองเป็นผู้น้อยโดยตรง ถ้อยคำของเขาเต็มไปด้วยการสรรเสริญ ความประหลาดใจ และความหวาดเกรง
รูปลักษณ์ขี้ขลาดเช่นนี้นับว่าไร้ที่ติโดยสิ้นเชิง
ซูอี้อดตะลึงไปครู่หนึ่งไม่ได้ ก่อนจะพูดอย่างงงงวย “เจ้าเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ทว่าเจ้าสามารถซ่อนจากจิตสัมผัสของผู้ฝึกฝนขั้นวิถีวิญญาณได้ด้วยวิธีสะกดลมหายใจ ข้าคิดว่าเจ้าหาใช่คนธรรมดา แต่เหตุใด… เจ้าจึงขี้ขลาดเช่นนี้?”
เก๋อเฉียนรีบใช้มือขวาเช็ดเหงื่อเย็นจากหน้าผาก แล้วพูดว่า “อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสเช่นผู้อาวุโสซู ผู้น้อยจึงอดประหม่าไม่ได้”
ซูอี้หัวเราะและพูดว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“เก๋อเฉียนขอรับ” เก๋อเฉียนตอบอย่างรวดเร็ว
“ปรากฏว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเก๋อฉางหลิง ไม่น่าแปลกใจเลย”
ซูอี้ผงะไป
เขาเคยได้ยินว่าเก๋อฉางหลิงพูดเมื่อนานมาแล้วว่าศิษย์ของตนเป็นคนที่ระมัดระวังอย่างยิ่ง และเมื่อเห็นกับตาก็พบว่าใช้ชีวิตตามชื่อเสียงที่ได้รับจริง ๆ
“ผู้อาวุโสซูจดจำผู้น้อยได้ด้วยหรือ?” เก๋อเฉียนดีใจมาก
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มครึ่งหนึ่ง “ข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าได้รับมรดกโบราณบางอย่างมา และเป็นไปได้มากว่าเจ้ายังมีความลับอื่น ๆ อยู่อีก”
ทันใดนั้น เก๋อเฉียนก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสี ก่อนจะกล่าวว่า “หมายความว่าผู้อาวุโสซู สงสัยว่าข้าเป็นผู้สิงสถิตงั้นหรือ?”
ซูอี้ยิ้ม ก่อนตอบ “ข้าเคยนึกสงสัยมาก่อน แต่ตอนนี้ข้าเห็นเจ้าแล้ว ข้าก็ตัดสินได้ว่าเจ้าไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัวไป”
เก๋อเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวว่า “เช่นนั้นผู้น้อยก็วางใจได้แล้ว”
“เอาล่ะ เรื่องที่นี่จบลงแล้ว ข้าวางแผนที่จะกลับไปยังต้าโจว เจ้าต้องการที่จะไปด้วยกันหรือไม่?”
ซูอี้เอ่ยถาม
เก๋อเฉียนส่ายหัวอย่างไม่รู้ตัว ตลกน่า ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากพบกับซูอี้อีกตลอดชีวิตที่เหลือ!
ชายผู้นี้อันตรายมาก!
คล้ายกลัวว่าตนเองจะปฏิเสธเร็วเกินไป เก๋อเฉียนจึงพูดเสริมว่า “เอ่อ ผู้อาวุโสซู อย่าเข้าใจข้าผิดไป ผู้น้อยเพียงมีเรื่องสำคัญอื่น ๆ ต้องทำ และได้ตัดสินใจไปที่ต้าเซี่ยสักพักหนึ่ง จึงไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปยังต้าโจวชั่วคราว”
“ต้าเซี่ยรึ? เช่นนั้นเจ้าก็ไปเองเถิด”
หลังจากพูดจบซูอี้ก็หันหลังจากไป
เขามองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าเก๋อเฉียนเป็นคนประหลาด แต่เห็นแก่ที่อีกฝ่ายเป็นศิษย์ของคนรู้จัก เขาจึงไม่ได้คิดหยั่งเชิงต่อ
หลังจากมองดูร่างสูงของซูอี้จากไป ผ่านไปสักพักใหญ่กว่าเก๋อเฉียนจะเหยียดตัวขึ้นแล้วถอนหายใจยาว ก่อนพึมพำว่า
“โชคดีไป โชคดี คราวนี้ข้าได้อานิสงส์ของท่านอาจารย์แล้ว ไม่เช่นนั้น ด้วยนิสัยของซูอี้ เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยข้าไปง่าย ๆ…”
จากนั้นเขาถึงรู้สึกว่าร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ จึงอดหัวเราะเยาะตัวเองครู่หนึ่งไม่ได้ “ถึงข้าจะขี้ขลาดไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยข้าก็ยังมีชีวิตรอดอยู่ ไม่ใช่ว่านี่… คือเส้นทางบ่มเพาะที่ข้าตามหาหรอกรึ ไม่แสวงหาชื่อเสียงในโลก แต่ต้องการมีชีวิตยืนยาวตลอดไป…”
“น่าอัปยศ!”
ภายในทะเลจิตวิญญาณ เสียงแดกดันของชายชราพลันดังขึ้น
เก๋อเฉียนโกรธมากจนเต้นผาง เขากัดฟันกล่าว “ตาเฒ่า เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่ลงมือเล่า? ชายชราที่ทำได้เพียงซ่อนลมหายใจและแทบรอที่จะขดตัวเป็นลูกบอลไม่ไหวอย่างท่านต่างหากคือความอัปยศที่แท้จริง!”
“โง่เขลา! ถ้าข้าไม่ซ่อนลมหายใจไว้ คนแซ่ซูจะต้องสังเกตเห็นข้าอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าโชคร้ายหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่หลังจากนั้นใครจะชี้แนะการฝึกให้กับเจ้า?
ชายชราบ่นอย่างเย็นชา “เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย เจ้าเพิ่งบอกว่าจะไปต้าเซี่ยอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ผิด!”
เก๋อเฉียนกัดฟัน “ถ้ามีโอกาส ข้าไม่รังเกียจที่จะไปชุมนุมมวลพฤกษาด้วย!”
“โอ้ มีความก้าวหน้า!” ชายชราประหลาดใจอย่างมาก
“ข้าคิดดูแล้ว โลกนี้กำลังวุ่นวายและอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันมีผู้มีพรสวรรค์มากมายในต้าเซี่ย ผู้แข็งแกร่งแน่นขนัดดุจผืนป่า แม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมาก็จะมีคนแบกรับไว้ก่อน ตราบใดที่ข้าถ่อมตัวเข้าไว้ก็ไม่น่าจะเจอกับภัยพิบัติใด ๆ”
เก๋อเฉียนสูดหายใจเข้าลึก ก่อนกล่าว “นี่เรียกว่ายืนใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ ด้วยต้นไม้สูงตระหง่านในต้าเซี่ยคงเพียงพอที่จะปกป้องข้าจากลมฝนแล้ว”
ชายชราตกตะลึง
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุผลที่เก๋อเฉียนต้องการไปที่ต้าเซี่ย ที่แท้คือการไล่ตามโชคดี หลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายและมีชีวิตอยู่ต่อไป!
ชายชราพูดไม่ออก
เก๋อเฉียนเพิกเฉยแล้วหันศีรษะเดินจากไปอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าเขาไม่อยากอยู่ในทะเลนี้ต่ออีกแม้แต่ครู่เดียว
…
บนทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซูอี้โบกแขนเสื้อของเขา แล้วก้าวไปในอากาศ
หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ผลการฝึกของแต่ละคนก็กลมกลืนกับอากาศของสวรรค์และโลก ตราบใดที่มีการกระตุ้น ก็จะสามารถควบคุมลมเหาะเหินท่องไปทั่วโลกได้
ต่างจากขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่ทำได้เพียงใช้พลังปราณของขอบเขตปรมาจารย์ของตนในการบินข้ามท้องฟ้า
ทันทีที่เขาออกจากพื้นที่ที่ซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ ซูอี้พลันสังเกตเห็นรัศมีของผู้ฝึกตนระหว่างทางบางส่วน
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ และไม่กล้าเข้าใกล้
ยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นร่างของชายหนุ่ม คนเหล่านี้ต่างขมวดคิ้วและกลั้นหายใจ ไม่กล้าที่จะหายใจออก มีท่าทางที่จะหลบหนีออกไปไกลได้ทุกเมื่อ
ซูอี้ไม่สนใจ
ในการต่อสู้ก่อนนี้ เขาสังเกตเห็นว่ายังมีลมหายใจของผู้ฝึกตนจำนวนมากในบริเวณทะเลใกล้เคียง
เนื่องจากในอดีตผู้ฝึกตนเหล่านี้กับเขาไม่เคยรู้จักมักจี่กัน ซูอี้จะไปสนใจได้อย่างไร
“หือ?”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็สังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยสองคนจากทะเลอันไกลโพ้นเดินตรงมาทางเขา
เป็นอาจารย์อวิ๋นหลางกับหลานซัว
“พวกเจ้าสองคนก็มารึ?
ซูอี้ถาม
อาจารย์อวิ๋นหลางประสานหมัดก่อนกล่าวอย่างเขินอายว่า “หลานซัวกับข้าอยู่ในทะเลใกล้เคียงมาหลายวันแล้ว แต่เราไม่กล้าเข้าไปใกล้จึงได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “เรื่องนี้จบลงแล้ว ทั้งสองท่านอยากกลับไปด้วยกันหรือไม่?”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้เดินร่วมทางกับสหายเต๋า”
อาจารย์อวิ๋นหลางเอ่ยเห็นด้วยพร้อมกับยิ้มแย้ม
ซูอี้ตระหนักได้ว่าอาจารย์อวิ๋นหลางแตกต่างจากเมื่อก่อน เพราะขณะนี้เมื่อเผชิญหน้ากับตน เขาปรากฏความหวาดเกรงที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อมองดูหลานซัวอีกครั้ง นับตั้งแต่ที่พวกเขาพบกัน ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและงดงามราวกับแกะสลักของนางดูเหม่อลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์
“หลานซัว เจ้าเป็นอะไรไป?”
ซูอี้ถาม
“อ่า ไม่มีอะไรหรอก”
หลานซัวส่ายหัวซ้ำ ๆ ราวกับว่านางเพิ่งตื่นจากความฝัน
อาจารย์อวิ๋นลอบถอนใจ เขาเข้าใจความรู้สึกของหลานซัวดี
เมื่อครู่นี้ พวกเขาเห็นจากไกล ๆ ว่าซูอี้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มาได้อย่างไร และยังเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวแต่ละตนถูกซูอี้สังหารลงอย่างไร
ความตกใจเช่นนั้นทำให้อาจารย์อวิ๋นหลางรู้สึกราวกับฝันไป นับประสาอะไรกับหลานซัว?
“จริงสิ พี่ซู ผู้ฝึกตนจำนวนมากเข้าไปในซากปรักหักพังของหอคอยเซียนดาบเช่นเดียวกับท่าน แต่พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่า… เกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้นกับพวกเขา?”
หลานซัวที่สงบลงแล้วเอ่ยถามขึ้น
“พวกเขาตายกันหมดแล้ว”
ซูอี้กล่าว
อาจารย์อวิ๋นหลางกับหลานซัวต่างมองกันและกัน หัวใจของพวกเขาถูกคลื่นซัดอีกครั้ง แน่นอนว่า ฉินต่งซวีกับผู้ฝึกตนชั้นสูงคนอื่น ๆ ในต้าฉินล้วนเจอดีกันหมด!
หลานซัวดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อ ก่อนถามขึ้นว่า “ซางลั่วอวี่… ก็ตายแล้วหรือ?”
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ถูกแล้ว ข้าจำได้ว่านางหาเรื่องเจ้าตลอดเวลา นางตายไปเจ้าน่าจะมีความสุขสิ”
หลานซัวหัวเราะและพูดว่า “ข้าแค่แปลกใจมากจนไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น”
“ไปเถิด ออกไปจากที่นี่กันก่อน” จากนั้นซูอี้ก็เดินไปข้างหน้า โดยมีอาจารย์อวิ๋นหลางกับหลานซัวติดตามไป
เดินไปได้ครึ่งทาง ซูอี้ก็นึกบางอย่างขึ้นได้
“ทักษะการซ่อนลมหายใจที่เก๋อเฉียนใช้ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นทักษะการซ่อนลมหายใจใน ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’?”
ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูอี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ ซึ่งเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “หรือว่าจะเป็นเสวียนหนิง?”
เสวียนหนิงเป็นศิษย์คนที่เจ็ดที่เขายอมรับในชีวิตก่อนหน้านี้ ร่างกายของอีกฝ่ายเป็นสัตว์ร้ายที่แท้จริง เต่าหางมังกรดำ นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว อีกฝ่ายยังช่วยตนระงับบารมีของถ้ำและปกป้องประตูด้วย
แม้ว่าเสวียนหนิงจะเป็นลูกหลานของเชื้อสายเต่าหางมังกรดำ แต่อีกฝ่ายก็ติดตามซูอี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ที่อีกฝ่ายฝึกถูกสร้างขึ้นสำหรับเจ้าตัวเป็นพิเศษโดยอาศัยพรสวรรค์ในสายเลือด หลังจากการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องมาหลายพันปี ในที่สุดก็กลายเป็นมรดกเต๋าที่สมบูรณ์
กล่าวได้ว่านอกจากเขากับเสวียนหนิงแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ รอบตัวเขาต่างไม่ทราบเกี่ยวกับคัมภีร์นี้
แต่ตอนนี้ เก๋อเฉียนกลับมีทักษะลับที่ถูกสงสัยว่าเป็น ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ซูอี้จะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
“ก่อนหน้านี้ข้าประมาทไป ข้าควรจะดูเจ้าหนูเก๋อเฉียนให้ละเอียดกว่านี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น บางทีอาจได้รู้ความจริงแล้ว”
ซูอี้ลอบถอนใจ
ถึงต้องการกลับไปเวลานี้ ด้วยความระมัดระวังของเก๋อเฉียนเกรงว่าเขาคงหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
นอกจากนี้ ซูอี้ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าทักษะซ่อนลมหายใจของเก๋อเฉียนเกี่ยวข้องกับ ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ หรือไม่
สองวันต่อมา
นอกเขตเมืองตงฝู ติดทะเลตะวันออก
ซูอี้ อาจารย์อวิ๋นหลาง และหลานซัว มารวมกัน
“สหายเต๋าซู ไปดื่มกันที่ร้านอาหารในเมืองด้วยกันหรือไม่?”
อาจารย์อวิ๋นหลางเชิญเขาด้วยรอยยิ้ม
หลานซัวเองก็มองไปที่ซูอี้อย่างคาดหวัง
ซูอี้คิดดูแล้วก็ตกลง
ทั้งกลุ่มก็เดินไปที่ประตูเมืองทันที
แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็เห็นกลุ่มคนที่เดินมาจากไกล ๆ
ผู้นำมาเป็นชายชุดดำสวมมงกุฎขนนกที่มีรูปร่างผอมเพรียว
ไกลออกไป ชายในชุดดำกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ลุง ยัยหนูหลานซัว รอพวกเจ้ากลับมาอยู่เลย”