บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 399 ตัวตลกออกมาสร้างความอับอายให้ตัวเอง
ตอนที่ 399: ตัวตลกออกมาสร้างความอับอายให้ตัวเอง
ตอนที่ 399: ตัวตลกออกมาสร้างความอับอายให้ตัวเอง
ชายในเสื้อคลุมสีดำสวมมงกุฎขนนก เพียงมองแวบแรกก็ทราบว่าเขาต้องอยู่ในตำแหน่งที่สูงมาเป็นเวลานาน และพลังของเขาต้องไม่ธรรมดา
อาจารย์อวิ๋นหลางกล่าวอย่างไม่คาดฝัน “เจ้าสำนัก ท่านมาถึงเมื่อใดกัน?”
ชายผู้สวมมงกุฎขนนกในชุดคลุมสีดำแสดงความละอายและถอนหายใจ “ตั้งแต่ที่ข้ารู้เรื่องที่ยัยหนูลั่วอวี่นี่ทำลงไปในงานเลี้ยงยามค่ำที่หมู่บ้านเทียนสุ่ยเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าก็ไม่สามารถทนนั่งเฉย ๆ ได้อีกต่อไป ข้าจึงออกเดินทางมาที่นี่และเฝ้ารอเพื่อพบกับอาจารย์ลุงของข้าเพื่อสะสางความเข้าใจผิด”
ชิวเทียนฉื่อ
เจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์ และเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรต้าฉิน
ในเวลาเดียวกัน เขายังเป็นอาจารย์ของซางลั่วอวี่อีกด้วย
เมื่อพูดถึงซางลั่วอวี่ ทั้งอาจารย์อวิ๋นหลางกับหลานซัวต่างมีสายตาแปลกประหลาด
“เรื่องนี้ได้ผ่านไปแล้ว ท่านไม่ต้องคิดมากไป”
สีหน้าของอาจารย์อวิ๋นหลางดูค่อนข้างระมัดระวัง
ชิวเทียนฉื่อพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เมื่อยัยหนูลั่วอวี่นั่นกลับออกมาข้าจะให้นางขอโทษกับอาจารย์ลุงด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม นาง… ไม่ได้กลับมาพร้อมเจ้าหรือ?”
หลานซัวกล่าวอย่างแข็งทื่อ “ย้อนกลับไปในตอนนั้น ซางลั่วอวี่ดูถูกอาจารย์กับข้า และเข้าไปในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบพร้อมกับพวกฉินต่งซวี จึงไม่มีใครบอกได้ว่านางจะสามารถกลับออกมาได้หรือไม่”
ชิวเทียนฉื่อตกใจ ก่อนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เขารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าเนื่องจากอาจารย์อวิ๋นหลางไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับฉินต่งซวีและคนอื่น ๆ ในการจัดการกับซูอี้ พวกเขาจึงได้ขัดแย้งกับซางลั่วอวี่
นอกจากนี้ เมื่อหลานซัวกับซางลั่วอวี่อยู่ในสำนัก พวกนางเข้ากันไม่ได้และมักจะต่อสู้กันอย่างเปิดเผยและลับ ๆ
“ครั้งนี้เป็นลั่วอวี่ที่ทำเกินไปจริง ๆ”
ชิวเทียนฉื่อกล่าวพลางเหลือบมองที่ซูอี้ “สหายตัวน้อยผู้นี้คือใครกัน?”
อาจารย์อวิ๋นหลางไม่ได้ตั้งใจจะแนะนำตัวตนของซูอี้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ชัดเจนว่าไม่สามารถปกปิดได้อีก
เขาพูดทันทีว่า “นี่คือสหายเต๋าซู ซูอี้ อัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจว”
ซูอี้!
สีหน้าของชิวเทียนฉื่อและผู้อาวุโสของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาอดที่จะมองไปที่ซูอี้มากขึ้นไม่ได้
ชายหนุ่มผู้เติบโตขึ้นในต้าโจวคนนี้เป็นดังตำนาน… ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลก!
ชิวเทียนฉื่อและคนอื่น ๆ ต่างไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกันในเวลานี้
เมื่อคิดถึงว่าฉินต่งซวี เฉิงเจิน กู้ชิงโตว และผู้ฝึกตนระดับสูงคนอื่น ๆ ในต้าฉินต่างรวมกำลังกันเพื่อจัดการกับซูอี้ ทว่าซูอี้ได้กลับมาจากทะเลวิญญาณโกลาหลทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ชิวเทียนฉื่อจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะเข้าใจ อาจารย์อวิ๋นหลางกล่าวว่า “เจ้าสำนัก พวกเราวางแผนที่จะไปดื่มกับสหายเต๋าซูที่เมือง…”
ชิวเทียนฉื่อยิ้มและกล่าวว่า “ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับพูดคุยจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปที่นั่นด้วยกันเถิด”
อาจารย์อวิ๋นหลางลอบขมวดคิ้ว ตระหนักว่าชิวเทียนฉื่อรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง อาจารย์อวิ๋นหลางก็พยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ซูอี้เป็นเสมือนคนนอกที่เฝ้ามองด้วยสายตาที่เย็นชาและไม่เคยพูดจาใด ๆ
เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าอาจารย์อวิ๋นหลางกำลังกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกชิวเทียนฉื่อกับคนอื่น ๆ ไปตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้นในทะเลวิญญาณโกลาหล
ดูเหมือนว่า… พวกเขาจะกังวลว่าชิวเทียนฉื่อ และคนอื่น ๆ จะพบความจริง และจะไม่สามารถทนรับการโจมตีจากเรื่องดังกล่าวได้ ซึ่งจะทำให้อารมณ์ของพวกเขาหลุดการควบคุม
ทว่า เห็นได้ชัดชิวเทียนฉื่อพบพิรุธเข้าแล้ว
สำหรับเรื่องเช่นนี้ ซูอี้คร้านเกินกว่าจะใส่ใจ
ตอนนี้เขาแค่ต้องการดื่ม ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็เหมือนกับเมฆที่ลอยอยู่ซึ่งไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ
ดูเหมือนทุกเมืองจะต้องมีร้านอาหารที่ตั้งชื่อตามชื่อเมืองอยู่
เช่นเดียวกับร้านอาหารตงฝู ในเมืองตงฝู
ร้านอาหารมีสามชั้นและตั้งอยู่ในส่วนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมือง ลูกค้าที่เข้ามาหากไม่ร่ำรวยก็ต้องมีเงิน
บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ใกล้กับทะเลตะวันออก อาหารส่วนใหญ่ที่ปรุงโดยร้านอาหารตงฝูจึงเป็นอาหารทะเล ซึ่งมีรสชาติเลิศรส
บนชั้นสาม ซูอี้และพวกนั่งลงได้ไม่นาน อาหารทุกประเภทก็ถูกนำมาจัดวางต่อหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ซูอี้กำลังดื่มและชิมอาหารทะเลทุกชนิด ร่างกายของเขาผ่อนคลายลงอย่างมาก
ในช่วงเจ็ดวัน ทั้งก่อนและหลังการเดินทางไปยังทะเลวิญญาณโกลาหล แม้จะไม่มีอันตรายมากนัก แต่เขาก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเลย
เวลานี้ การได้ลิ้มรสอาหารและสุรารสเลิศ ฟังเสียงที่มีชีวิตชีวาจากถนนนอกหน้าต่าง และสัมผัสกับกลิ่นอายโลกสามัญ ร่างกายและจิตใจของซูอี้จึงค่อยผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์
เช่นเดียวกับเมื่อก่อน ยามที่เขาไม่ได้ฝึกฝน เขามักจะเกียจคร้านและต้องการเพียงแค่เพลิดเพลินไปกับการผ่อนคลายอย่างสงบ โดยไม่สนใจความเร่งรีบและความวุ่นวายของปัญหาทางโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความผ่อนคลายของซูอี้ ทุกคนในห้องต่างตกอยู่ในห้วงคิดของตัวเอง และบรรยากาศด้านในก็ดูจืดชืดเล็กน้อย
หลังจากดื่มไปสามรอบ ชิวเทียนฉื่อก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาทำลายความเงียบโดยการโพล่งขึ้นว่า “อาจารย์ลุง ครั้งนี้ในทะเลวิญญาณโกลาหลมีเหตุร้ายมากมายเกิดขึ้นใช่หรือไม่?”
อาจารย์อวิ๋นหลางถอนหายใจ กระดาษไม่อาจห่อไฟเช่นไร สิ่งที่ควรมาก็ยังต้องมาอยู่ดี
เขาแอบเหลือบมองที่ซูอี้โดยไม่ให้ใครรู้ เมื่อเห็นฝ่ายหลังเอาแต่ดื่มและเพลิดเพลินกับตัวเองโดยไม่เอ่ยคัดค้านใด ๆ เขาก็กล่าวขึ้น
“ไม่ผิด แต่ก่อนที่จะพูดถึงเหตุการณ์เหล่านี้ ข้าหวังว่าเจ้าสำนักจะเตรียมใจยอมรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น”
ม่านตาของชิวเทียนฉื่อพลันหดลง และความรู้สึกไม่สบายใจในอกของเขาก็รุนแรงขึ้น เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยักหน้าพลางพูดว่า “ในเมื่อพวกเรากำลังมองหาโอกาสย่อมต้องมีอุบัติเหตุและเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น โปรดพูดมาตรง ๆ เถอะ”
อาจารย์อวิ๋นหลางไม่ปิดบังอีกต่อไป เขาบอกกล่าวตามตรงว่า “ฉินต่งซวี เฉิงเจิ้น กู้ชิงโตว โหยวฉางคง… พวกเขาตายกันหมดแล้ว”
แม้ว่าพวกเขาจะเตรียมใจไว้แล้ว เมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ ชิวเทียนฉื่อและคนอื่น ๆ ก็ยังต้องสูดหายใจเข้าลึกอย่างตกใจ ซึ่งสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
ตัวตนชั้นนำเหล่านี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังแถวหน้าในโลกการฝึกฝนของต้าฉิน ใครจะกล้าเชื่อว่าพวกเขาถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น?
ชิวเทียนฉื่อฝืนความไม่สบายใจในหัวใจของเขาและเอ่ยขึ้น “ยัยหนูลั่วอวี่นั่นไม่ควร…”
“ไม่ผิด นางเองก็ตกตายแล้วเช่นกัน”
น้ำเสียงของอาจารย์อวิ๋นหลางสงบนัก
มือของชิวเทียนฉื่อสั่นเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีซีดเผือดพลางถาม “เป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเป็นคนฆ่าพวกเขา?”
ผู้อาวุโสอีกสามคนเองก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ พวกเขาทั้งหมดต่างมีสีหน้าโกรธแค้น
บรรยากาศในห้องโถงดิ่งลงจนทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก
หลานซัวเหลือบมองไปที่ซูอี้ และเห็นว่าฝ่ายหลังดูเหมือนจะไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขายังคงดื่มกับตัวเองอย่างมีความสุขเกินบรรยาย
นี่ทำให้หลานซัวลอบถอนใจ ชายผู้นี้… ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม้แผ่นดินจะถล่มอยู่ข้างหน้า สีหน้าของเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
ในสายตาของเขา ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดส่งผลต่ออารมณ์ของเขาได้
ทำตามใจอย่างไร้กังวล
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้สิงสถิตนามฉู่ซิว”
ระหว่างทางกลับ อาจารย์อวิ๋นหลางได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากปากของซูอี้
เมื่อพวกเขารู้ว่าเนี่ยสิงคงและฉินฝูเป็นผู้สิงสถิต อีกทั้งคนพวกนั้นยังร่วมมือกับฉู่ซิวในการขุดหลุมฉินต่งซวีกับคนอื่น ๆ พวกชิวเทียนฉื่อจึงต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริด
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการสมคบคิดอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการณ์เพื่อค้นหาโชคลาภ!
จนกระทั่งได้ยินว่าภายใต้การบังคับของฉู่ซิว ฉินต่งซวีและคนอื่น ๆ ได้เลือกที่จะก้มศีรษะยอมจำนน สีหน้าพวกชิวเทียนฉื่อก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง
“ในเมื่อพวกเขาเลือกจำนนกันแล้ว เหตุใดจึง… ตกตายกันหมดเล่า?”
ชิวเทียนฉื่ออดไม่ได้ที่จะถาม
อาจารย์อวิ๋นหลางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พวกเขาร่วมมือกับฉู่ซิวเพื่อจัดการกับสหายเต๋าซู แต่พวกเขาก็ถูกสหายเต๋าซูจัดการไป นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
ทันทีที่คำเหล่านี้หลุดออกมา ผู้ฟังก็เงียบไป
ชิวเทียนฉื่อ และคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่เชื่อ เหตุใดผู้ฝึกฝนที่ทรงพลังมากมายรวมทั้งฉู่ซิวที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าถึงได้ถูกสังหารลงโดยบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เช่นซูอี้?
ข่าวดังกล่าวน่าตกใจอย่างยิ่ง ทำให้ชิวเทียนฉื่อและคนอื่น ๆ รู้สึกรับไม่ไหวและไม่สามารถฟื้นตัวได้เป็นเวลานาน
“หลี่ผู้นี้มีข้อสงสัยที่ต้องการถามสหายเต๋าซู”
ทันใดนั้นผู้อาวุโสนามหลี่ถูซิ่งก็มองไปที่ซูอี้
ซูอี้นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเกียจคร้าน เท้าคางด้วยมือข้างหนึ่ง พลางใช้อีกข้างหยิบจอกสุราขึ้นมา และพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ว่ามา”
ดวงตาของหลี่ถูซิ่งดุจสายฟ้าฟาด เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าพวกฉินต่งซวีถูกบังคับให้เข้าร่วมกองกำลังกับฉู่ซิว เหตุใดจึงไม่เปิดประตูปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดกัน?”
ซูอี้ตะลึง เขามองไปแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามีคำถามเช่นกัน เจ้าทราบถึงเหตุผลที่ฉินต่งซวีและคนอื่น ๆ รวมกองกำลังว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับซูผู้นี้ เหตุใดเจ้าถึงยังถามคำถามโง่ ๆ เช่นนี้อีก?”
อาจารย์อวิ๋นหลางแค่นเสียงเย็น “เป็นที่เข้าใจได้ที่จะรู้สึกสับสนหลังจากได้ยินข่าวร้ายดังกล่าว แต่แยกแยะเหตุผลของเรื่องราวไม่ได้ แล้วพลั้งเปิดปากพูดเช่นนี้นั้นไร้หัวคิดเกินไป!”
แก้มของหลี่ถูซิ่งแดงขึ้นทันที เขาพูดไม่ออกอีกต่อไป
“ศิษย์น้องหลี่ เจ้าทำเกินไปแล้ว” ชิวเทียนฉื่อโบกมือ “ถ้าเรื่องนี้เป็นอย่างที่อาจารย์ลุงของข้ากล่าว ก็ไม่น่าแปลกใจที่สหายเต๋าซูจะลงมือ แม้ว่าลั่วอวี่จะถูกฆ่าก็เป็นความผิดของนางเอง!”
สุดท้ายก็เป็นหัวใจของเขาที่ปวดร้าว
ซางลั่วอวี่เป็นลูกศิษย์ที่เขาโปรดปราน ทั้งมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม และนางยังเป็นตำนานรุ่นเยาว์ของต้าฉินอีก เขาจึงตั้งความหวังกับนางไว้สูง
แต่ตอนนี้นางได้ตกตายลง เขาในฐานะอาจารย์จะไม่รู้สึกเสียใจได้อย่างไร?
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ชิวเทียนฉื่อก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วมองไปที่ซูอี้พลางกล่าวว่า “สหายเต๋าซู เช่นนั้นดาบโบราณเทียนเซี่ยเองก็ตกไปอยู่ในมือของสหายเต๋าด้วยถูกหรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ชิวเทียนฉื่อกล่าวว่า “ดาบนี้เป็นสมบัติของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของข้า และข้าอยากจะขอให้สหายเต๋าคืนมันให้กับเจ้าของเดิม”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา อาจารย์อวิ๋นหลางและหลานซัวต่างก็ประหม่า
ก่อนเห็นซูอี้พลิกนิ้วและฝ่ามือ ด้วยเสียงกระทบกัน ดาบโบราณเทียนเซี่ยก็พุ่งออกไปโฉบอยู่ข้างหน้าซูอี้
“ตราบเท่าที่เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอามันไปได้ก็มาหยิบมันไป”
ซูอี้มองที่ชิวเทียนฉื่อและคนอื่น ๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
จู่ ๆ บรรยากาศก็มืดมน
สีหน้าของชายชราผมขาวที่สวมชุดสีทองซีดลง “สหายเต๋าซู เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าตั้งใจที่จะขโมยสมบัติของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของข้าไปครอบครองไว้เองอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้เหลือบมองชายคนนั้นและกล่าวว่า “ข้าให้พวกเจ้าทุกคนหยิบดาบไม่ได้ให้เจ้าพูดเรื่องไร้สาระ ถ้าเจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
เมื่อถูกตำหนิเช่นนี้ ชายชราผมขาวที่สวมชุดสีทองก็มีโทสะ เขาลุกขึ้นและกล่าวว่า “ก็แค่หยิบดาบ ข้าทำเอง!”
พูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้าและเอื้อมมือออกไปคว้าด้ามดาบโบราณเทียนเซี่ย
ฮึ่ม!
เห็นเช่นนี้ร่างขนาดใหญ่ของดาบโบราณเทียนเซี่ยพลันส่งเสียงสูงกังวานอันน่าตะลึงออกมา ก่อนแสงดาบอันไร้เทียมทานและครอบงำจะระเบิดพลังออกมาในทันใด
ตูม!
ด้วยเสียงทึบดังขึ้น ชายชราผมขาวในชุดสีทองก็กระเด็นออกและโซเซถอยไปข้างหลัง ก่อนล้มลงก้นจ้ำเบ้า นิ้วมือราวถูกฟ้าผ่า และแขนขวาของเขาก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง
ทุกคนตะลึงและมองหน้ากันอย่างตกใจ
ซูอี้นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะลำพัง ดื่มสุราไปจอกหนึ่ง แล้วส่ายหัวพลางหัวเราะ
ดังเห็นตัวตลกออกมาสร้างความอับอายให้ตัวเอง!