บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 400 เกริกก้องไปทั่วใต้หล้า
ตอนที่ 400: เกริกก้องไปทั่วใต้หล้า
ตอนที่ 400: เกริกก้องไปทั่วใต้หล้า
ดาบโบราณเทียนเซี่ยล่องลอยอยู่กลางอากาศ พลางส่งเสียงออกมาไม่หยุด คล้ายกับกำลังเยาะเย้ยชายชราผมขาวสวมชุดทองที่ไม่รู้จักประมาณพลังตัวเอง
อาจารย์อวิ๋นหลางและหลานซัวต่างตกตะลึง
พวกเขารู้ดี ดาบโบราณเทียนเซี่ยคือของล้ำค่าที่เจ้าสำนักชิวเทียนฉื่อได้รับมาจากซากโบราณส่วนลึกในทะเลวิญญาณโกลาหล มีพลังจิตวิญญาณมาก อานุภาพนั้นแกร่งกล้าจนอธิบายไม่ได้
หลายปีมานี้ มีเพียงซางลั่วอวี่ผู้เดียวที่ดาบนี้รับเป็นนาย
แต่ยามนี้ ดาบได้ศิโรราบต่อซูอี้แล้ว!
“ผู้ใดอยากลองอีก?”
ซูอี้เทสุราให้ตัวเอง และถามขึ้นทันที
ชิวเทียนฉื่อมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางลุกขึ้น “สหายเต๋า แม้ว่าเจ้าจะทำให้ดาบนี้ศิโรราบต่อเจ้าได้ ทว่ามันกลับไม่ต่างอะไรกับการแย่งของล้ำค่าของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเลย?”
“เช่นนั้นเจ้าก็มาแย่งกลับไปสิ”
ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ชิวเทียนฉื่อโมโห และเอ่ยทีละคำออกมา “หมายความว่า สหายเต๋ากับสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของข้าไปด้วยกันไม่ได้แล้ว?”
ในคำพูดนั้นเยือกเย็นแฝงไว้ด้วยโทสะ
เมื่อรู้ว่าซางลั่วอวี่ถูกซูอี้สังหารก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ชิวเทียนฉื่อรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
แต่ยามนี้ เมื่อเห็นท่าทางแข็งกร้าวของซูอี้ มันก็ยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวเข้าไปอีก
อาจารย์อวิ๋นหลางเห็นท่าจะไม่ดี จึงรีบลุกขึ้น และตะโกนออกมาทันที “เทียนฉื่อ เจ้าตั้งใจจะทำให้สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนที่สืบทอดมานับพันปีพังพินาศลงรึ!”
ชิวเทียนฉื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ท่านอาจารย์ลุง นี่ท่านคิดว่า หากข้าฉีกหน้าซูอี้ จะทำให้สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนพังพินาศรึ?”
น้ำเสียงคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ
“ด้วยความสามารถของสหายเต๋าซู ไม่ต้องพูดถึงทำลายสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเราจนสิ้น แม้แต่กวาดล้างกองกำลังฝึกฝนทั้งอาณาจักรต้าฉิน ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
คำพูดของอาจารย์อวิ๋นหลางเคร่งขรึมอย่างมาก “เรื่องบางเรื่อง เจ้าไม่เข้าใจหรอก แม้ยามนี้เจ้าจะยังไม่เชื่อ ทว่าทางที่ดีเจ้าควรสงบสติตัวเองลง และไปขอโทษสหายเต๋าซูด้วยความจริงใจ อย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้น อย่าโทษข้าที่ทำเป็นไม่รู้จักเจ้าสำนักเช่นเจ้าอีก!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ดังออกมา ชิวเทียนฉื่อแทบจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พลันสีหน้าแปรเปลี่ยนจนคาดเดาไม่ได้
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา อาจารย์อวิ๋นหลางก็ตระหนักได้ทันที ชิวเทียนฉื่อไม่ใส่ใจคำพูดตนเลยแม้แต่น้อย และได้แต่ขมวดคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ทันใดนั้น มีเสียงอึกทึกดังออกมาจากตรอกไกล ๆ ด้านนอกหน้าต่าง
“ข่าวใหญ่! หลังจากซูอี้บรรลุขอบเขตไร้เบญจธัญ เขาได้สังหารสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ในเจดีย์กระดูกขาว ภูเขาฝังศพ และเกาะไร้หวน ในระหว่างฝ่าฟันมหาภัยพิบัติในทะเลวิญญาณโกลาหล!”
“อะไรนะ? เรื่องจริงรึ?”
“จริงแท้แน่นอน เมื่อครู่มีเหล่าเทพเซียนเดินดินมากมายที่กลับมาจากทะเลวิญญาณโกลาหล ได้นำข่าวการต่อสู้นี้กลับมาด้วย!”
“ซูอี้ที่มาจากต้าโจวนั้นเก่งกาจขนาดนั้นเชียวรึ?”
“ไม่เพียงแค่เก่งกาจ แต่เรียกได้ว่าอยู่เหนือสวรรค์เลยก็ว่าได้ ว่ากันว่า เกาะไร้หวน ภูเขาฝังศพ และเจดีย์กระดูกขาวสามสรรพสิ่งต้องห้าม ล้วนถูกซูอี้ทำลาย และดับสูญไปจากโลกนี้!”
“แล้วเรือเก็บดาวล่ะ?”
“ว่ากันว่าหลังจากก้มหัวยอมพ่ายแพ้ต่อซูอี้ เขาจึงเมตตา และปล่อยให้หาทางรอดเอาเอง”
“สวรรค์! นี่มันข่าวใหญ่จริง ๆ!”
…เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าทั้งหมดในร้านอาหารตงฝูตกใจ และพากันสืบเสาะข่าว
ชิวเทียนฉื่อและผู้อาวุโสทั้งสามแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนต่างนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
ทว่ายังคงได้ยินเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังวนเวียนเข้ามาจากที่ไกล พวกเขาที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลในคราแรกพลันถูกแทนที่ด้วยความหนาวเหน็บ ประหนึ่งทั่วร่างตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
พวกเขาถึงได้รู้ว่า ซูอี้ไม่เพียงแต่สังหารฉู่ซิว ฉินต่งซวี และผู้ฝึกตนคนอื่น ทว่ายังสังหารสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวสามตนในทะเลวิญญาณโกลาหล โดยที่ยังอยู่แค่ขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น!
พลังเช่นนี้ ช่างน่าหวาดกลัวมากจริง ๆ
และเมื่อนึกถึงเมื่อครู่ที่พวกเขาเกือบฉีกหน้าบุคคลน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ชิวเทียนฉื่อกับคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกเสียวสันหลัง
อาจารย์อวิ๋นหลางกับหลานซัวเหลือบมองหน้ากัน แม้แต่พวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าข่าวการต่อสู้ในทะเลวิญญาณโกลาหลจะแพร่ขยายมาถึงเมืองตงฝูเร็วเช่นนี้
ซูอี้วางจอกสุราลง พลางลุกขึ้น จากนั้นก็เอ่ยกับอาจารย์อวิ๋นหลางและหลานซัว “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าควรกลับได้แล้ว”
ขณะเอ่ยอยู่ เขาคร้านที่จะหันกลับไปมองชิวเทียนฉื่อกับคนอื่น ๆ อีก จึงก้าวเดินออกไป
ดาบโบราณเทียนเซี่ยคล้ายกับมีจิตวิญญาณ ลอยตามอยู่ด้านหลัง
อาจารย์อวิ๋นหลางและหลานซัวรีบลุกขึ้นส่ง
ครั้นร่างซูอี้ใกล้หายลับไปจากประตูตำหนักแล้ว ชิวเทียนฉื่อรีบเอ่ยทันที “สหายเต๋าซูช้าก่อน”
ทันใดนั้นเจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนโค้งตัวคำนับ พลางเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอาย “ครานี้เป็นพวกเราที่บุ่มบ่าม ไม่เคารพต่อสหายเต๋าซู ขอสหายเต๋าโปรดให้อภัยด้วย!”
“เรื่องนี้ช่างมันเถิด”
ซูอี้เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
ด้านนอกร้านอาหารตงฝู
ซูอี้มองไปทางอาจารย์อวิ๋นหลางและหลานซัว “ทั้งสองท่าน พวกเราลากันตรงนี้ หากมีวาสนาต่อกัน คงได้พบกันอีก”
เมื่อเอ่ยจบ เขาพุ่งทะยานขึ้นสู่น่านฟ้า
พลันดาบโบราณเทียนเซี่ยพุ่งทะยานขึ้น เท้าซูอี้เหยียบอยู่บนตัวดาบที่หนานั้น และพุ่งออกไป
ชายหนุ่มชุดเขียวที่หล่อเหลา สองมือไพล่หลัง ขี่ดาบทะยานออกไป ประหนึ่งเซียนบนสวรรค์ ไม่กี่พริบตา ก็ค่อย ๆ หายลับไปบนน่านฟ้า
นี่คือพลังแท้จริงของผู้ฝึกตนระดับขอบเขตไร้เบญจธัญ สามารถขี่ดาบทะยานผ่านเมฆหมอกได้!
เมื่อร่างซูอี้หายลับไปแล้ว อาจารย์อวิ๋นหลางถอนใจออกมาอย่างทนไม่ไหว “ต่อแต่นี้ไป ชื่อเสียงของคุณชายซู จะต้องดังไปทั่วต้าโจว ต้าเว่ย ต้าฉินทั้งสามอาณาจักรเป็นแน่!”
ในดวงตางามของหลานซัวฉายความลังเลออกมา “ท่านอาจารย์ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ายิ่งห่างไกลกับคุณชายซูไปเรื่อย ๆ เลยล่ะ…”
อาจารย์อวิ๋นหลางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “คนอย่างคุณชายซู ถูกลิขิตให้ก้าวหน้าไปบนเส้นทางต่อจากนี้ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคนรุ่นข้ามิอาจทำให้สมปรารถนาได้ และอีกอย่าง มันก็นับเป็นเรื่องดีที่สามารถได้รู้จักกันไม่ใช่รึ?”
หลานซัวเงียบไป
…..
ในวันเดียวกันนั้น ข่าวที่เกิดขึ้นในส่วนลึกทะเลวิญญาณโกลาหล แพร่ขยายไปทั่วต้าฉินอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้น
วัดซ่างหลิน
เสียงระฆังที่มีกลิ่นอายความเศร้าโศกดังขึ้น คนทั่วสำนักต่างตกใจ และตกอยู่ในความเศร้าระทม
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ต่อแต่นี้ไป ทั่ววัดซ่างหลิน จะไม่เป็นศัตรูกับซูอี้อีก หากฝ่าฝืน ให้ไล่ออกจากวัดทันที”
คูจิ้ง เจ้าอาวาสวัดซ่างหลิน ประกาศคำสั่งออกไป
กองกำลังฝึกฝน มีพลังเหนือกว่าคนบนโลก
และซูอี้ในยามนี้ ก็มีพลังเหนือกว่ากองกำลังฝึกฝนเหล่านั้น!
ดูเหมือน การกลับไปเป็นศัตรูกับซูอี้อีกครั้ง คือการแกว่งเท้าหาเสี้ยน …นี่คือความจริงที่โหดร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง!
ในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาสวัดซ่างหลิน ไม่ว่าคูจิ้งจะรู้สึกเสียใจและโมโหเพียงใด ก็ต้องจำยอมเผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้ายนี้ และจำยอมที่จะต้องตัดสินใจเช่นนี้ออกมา
วัดเสวียนเยว่
เมื่อได้รับข่าวการตายของผู้อาวุโสกู้ชิงโตว ทั่ววัดเสวียนเยว่พลันสั่นสะเทือน
“ซูอี้… ซูอี้… เจ้าซูอี้ตัวดี!”
เซียนชังหง หัวหน้านักพรตวัดเสวียนเยว่ เขวี้ยงถ้วยชาที่อยู่ในมือลงบนพื้นอย่างเคียดแค้น น้ำชาและเศษถ้วยกระเด็นไปทั่ว
แสงไฟในตำหนักสะท้อนอยู่ใบหน้าเขาไปมา
ทันใดนั้น เขาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหดหู่ ราวกับไร้วิญญาณ
เขารู้ ไม่ว่าจะโมโหมากเท่าใด ก็มิอาจทำสำเร็จได้
ซูอี้ในยามนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนคนเดียวที่มีพลังยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม ไร้ซึ่งศัตรูภายในต้าโจว ต้าเว่ย ต้าฉินทั้งสามอาณาจักร!
แม้จะเป็นวัดเสวียนเยว่ของพวกเขา ก็ไม่มีพลังไปต่อต้านบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้
สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน
ทันทีที่ชิวเทียนฉื่อกลับมา ก็ประกาศไปทั่วทั้งสำนัก ตั้งแต่นี้ไป ใครที่เป็นศัตรูกับซูอี้ ให้ถือว่าเป็นคนทรยศต่อสำนัก!
และในวันเดียวกันนั้น ข่าวเกี่ยวกับสามกองกำลังฝึกฝนใหญ่ศิโรราบต่อซูอี้ ได้แพร่ขยายออกไปกว้างราวกับพายุ
เมื่อจักรพรรดิแห่งต้าฉินรับรู้ข่าวนี้ ก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ “เพียงพลังคนผู้เดียว สามารถทำให้ผู้ฝึกตนทั่วใต้หล้าเต็มใจเชื่อฟัง อาณาจักรต้าโจว… ช่างโชคดีจริง ๆ!”
…..
ต้าเว่ย สำนักวงเดือน
หลังจากรู้ข่าวที่เกิดขึ้นในส่วนลึกทะเลวิญญาณปีศาจแล้ว ชิวเหิงคงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักดาบอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย ดื่มสุราคนเดียวไปหนึ่งไห
เป็นเวลานาน กว่าเขาจะเอ่ยกับตัวเอง “หากซูอี้แพ้ นั่นแหละที่เรียกว่าผิดปกติ…”
วันนั้น ทั่วทั้งสำนักวงเดือนต่างรู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดชิวเหิงคง ได้ออกเดินทางไปต้าเซี่ยแล้ว!
…..
ต้าโจว
ภายในพระราชวัง โจวจือหลีที่มีฐานะเป็นองค์รัชทายาท อ่านรายงานลับที่เพิ่งส่งกลับมา พลันตื่นเต้นจนมือไม้สั่น พลางเดินไปมาภายในตำหนักไม่หยุด
หลังจากนั้น เขาตบมือขึ้นทันที ก่อนเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง
“มีเรื่องหนึ่งที่น่าภูมิใจมากที่สุดตลอดชีวิตข้าโจวจือหลีที่ทำมา คือการได้รู้จักกับปรมาจารย์ซูอี้ และคือเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุดและโชคดีที่สุดตลอดชีวิตข้าเช่นกัน!”
ใบหน้าโจวจือหลีเต็มไปด้วยความรู้สึกถอนใจ “ในอนาคต แม้ปรมาจารย์ซูจะขอให้ข้ามอบต้าโจวที่ยิ่งใหญ่นี้ให้ ข้าก็ไม่มีทางทุกข์ระทมหรอก!”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนสุดท้าย เขาก็อดยิ้มเยาะขึ้นมาไม่ได้
ด้วยความเข้าใจในตัวซูอี้ของเขา เกรงว่าทั้งต้าโจวคงไม่อยู่ในสายตาอีกฝ่าย
สิ่งนี้ทำให้โจวจือหลีปวดหัวมาก ต่อไปควรจะเตรียมของขวัญเช่นไร เพื่อไปแสดงความยินดีต่อซูอี้ล่ะ?
…..
ตลอดทั้งวัน ต้าฉิน ต้าโจว ต้าเว่ยทั้งสามอาณาจักรต่างตกอยู่ในความวุ่นวายครั้งใหญ่ ผลการต่อสู้ที่เฉิดฉายบนทะเลวิญญาณโกลาหลของซูอี้แพร่ไปทั่วสารทิศ
ทำให้ชื่อเสียงของซูอี้ เกริกก้องทั่วใต้หล้า!
“เมื่อหวนนึกถึงตอนนั้น นายท่านซูอี้ที่เพิ่งมีระดับการฝึกฝนเพียงแค่ขอบเขตโคจรโลหิต ก็ได้อันดับหนึ่งจากการประลองประตูมังกรในวันที่สองเดือนสอง ข้าก็รู้ได้ทันที นายท่านซูอี้ไม่ใช่สิ่งของในสระ เมื่อพบเจอกับสถานการณ์วุ่นวายก็จะกลายร่างเป็นมังกร!*[1]
ต้าโจว เขตปกครองอวิ๋นเหอเมืองกว่างหลิง สำนักแพทย์ซิ่งหวง
หูเฉวียนพูดจาฉะฉานออกมาไม่หยุด “ยามนี้ นายท่านซูอี้มีฐานะเป็นปรมาจารย์แห่งต้าโจว ว่ากันว่าเหล่าเทพเซียนเดินดินเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ ต้องก้มหน้าเชื่อฟัง และเคารพยำเกรง! นี่สิถึงจะเป็นบุคคลที่มีผลงานล้ำเลิศจริง ๆ ทั่วทุกหนทุกแห่ง ผู้ใดจะเทียบเคียงได้?”
แพทย์กลุ่มหนึ่งต่างยิ้มและตั้งใจฟัง
ด้านหลังสำนัก ต้นฉัตรแก่ต้นหนึ่งโยกไหวไปตามลม เกิดเสียงใบไม้กระทบกันดังขึ้นมา
ลานเล็กนี้เคยเก็บช่วงเวลาหนึ่งของซูอี้ปรมาจารย์แห่งต้าโจวเอาไว้
และต้นฉัตรแก่นี้คือพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ตระกูลเหวิน
เหวินฉางจิ้ง ผู้นำตระกูลเหวินเอ่ยด้วยความถอนใจ “เจ้าว่าในตอนนั้นหากตระกูลเหวินของเราปฏิบัติต่อซูอี้ดีกว่านี้ สถานการณ์ในยามนี้จะเป็นเหมือนกันหรือไม่?”
แม่เฒ่าเหวินเงียบไปนาน ก่อนเอ่ย “เจ้าเห็นแค่ความโด่งดังของซูอี้ในยามนี้ แต่กลับไม่เห็นพายุนองเลือดมากมายที่ตามมาจากการที่เขาทะยานอยู่บนเส้นทางนี้ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างง่าย ๆ ก็สามารถทำให้ตระกูลเหวินของพวกเราพินาศได้เช่นกัน”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนท้าย แม่เฒ่าเหวินก็เอ่ยเสียงเบา “ปลอดภัยไว้ก่อนคือเรื่องที่ดี ส่วนเรื่องอื่นนั้นให้เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตเอา”
เหวินฉางจิ้งเงียบไป
ตระกูลเหวินในยามนี้ ได้กลายเป็นตัวตลกในสายตาเหล่าผู้คนในเมืองกว่างหลิงแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่หัวเราะเยาะในความโง่เขลาของพวกเขา
แต่จะโทษใครได้ล่ะ?
เพราะโลกนี้ไม่มีความแน่นอน!
[1] ไม่ใช่สิ่งของในสระ เมื่อพบเจอกับสถานการณ์วุ่นวายก็จะกลายร่างเป็นมังกร! เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อพบเจอกับโอกาสก็จะไขว่คว้าไว้ทันที