บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 401 วันที่หนึ่งต้นเดือนเจ็ด สหายเก่ามาหา
ตอนที่ 401: วันที่หนึ่งต้นเดือนเจ็ด สหายเก่ามาหา
ตอนที่ 401: วันที่หนึ่งต้นเดือนเจ็ด สหายเก่ามาหา
ท้องฟ้าในยามอัสดง
ตำหนักเทียนหยวน ศาลาหมิงเฉวียน
“พี่ซูอี้ ท่านในยามนี้เก่งกาจขนาดนั้นเชียวรึ?”
เหวินหลิงเสวี่ยสองมือไพล่หลัง โน้มตัวลง ดวงหน้างดงามเกือบแนบชิดกับหน้าซูอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย
นางเพ่งมองซูอี้อย่างละเอียด ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คล้ายกับไม่เชื่อข่าวที่ว่าบุคคลในตำนานซึ่งแสดงพลังบนทะเลวิญญาณโกลาหลนั้น จะเป็นชายหนุ่มรูปหล่อที่นางคุ้นเคยที่สุดตรงหน้านางในยามนี้ได้
ดวงหน้างดงามบริสุทธิ์ของสาวน้อยอยู่ใกล้มาก ลมหายใจที่หอมดั่งกล้วยไม้ ริมฝีปากมันวาวอวบอิ่มราวกับลูกท้อหวานที่สดอร่อย ทำให้รู้สึกอยากลิ้มลองอย่างช่วยไม่ได้
“นี่เรียกว่าเก่งกาจแล้วรึ?”
ซูอี้ยิ้มเยาะ จากมุมมองเขา ย่อมเห็นท่าทางของตัวเองสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาบริสุทธิ์ของสาวน้อย
และสามารถเห็นดวงหน้างดงามของสาวน้อยได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
งดงามนัก!
นั่นคือความงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เมื่อไล่มองตั้งแต่ใบหน้า ลงมายังลำคอขาว กระดูกไหปลาร้าสวย…
ซูอี้ยังไม่ทันได้มองลงไปต่อ สาวน้อยได้ยืดตัวขึ้น พลางหัวเราะออกมา “หากนี่ยังไม่เรียกว่าเก่งกาจ เกรงว่าผู้ฝึกตนทั่วทั้งใต้หล้าคงจะอับอายขายหน้าไปจนตายแน่”
หนิงซือฮวาและฉาจิ่นที่อยู่ไม่ไกลนักเห็นภาพนี้ ต่างก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
หลังจากซูอี้กลับมาไม่นาน พวกเขาก็ได้รับรู้ข่าวที่เผยแพร่มาจากด้านนอก และรู้ในทันที การออกเดินทางไปทะเลวิญญาณโกลาหลในครานี้ เรียกได้ว่าได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ และประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่กลับมา
ตุบ!
สัตว์ปีศาจน้อยที่มีขนปุกปุย ท่าทางกำยำน่าเอ็นดูกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนซูอี้
เจ้าตัวเล็กนี้คือซื่อหนี ทายาทพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว มันอ้วนขึ้นมาก ดวงตาทั้งสองเจือไปด้วยสีทอง
ซูอี้ลูบหัวซื่อหนีไปมา พลันทั่วร่างยิ่งผ่อนคลายลง
ในระหว่างที่แสวงหาเส้นทาง เขาชอบความรู้สึกผ่อนคลายที่หาได้ยากแบบนี้ มันมีทั้งความสุขสงบ ราวกับจิตใจได้รับการปลอบประโลม
ตอนเย็น
ด้านหน้าศาลาหมิงเฉวียนได้จัดงานเลี้ยงขึ้น
นอกจากหนิงซือฮวา เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น เฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหรานแล้ว ยังมีมู่ซี เฉินเจิ้ง ผูอี้ หยวนอู่ทง เจิ้งเทียนเหอและสหายคนอื่น ๆ มาเข้าร่วมด้วย
แม้แต่หวงเฉียนจวิน หยวนลั่วซี หยวนลั่วอวี่ เจิ้งมู่เหยาและคนอื่น ๆ ก็ยังมาเข้าร่วม
จึงเป็นธรรมดาที่ซูอี้จะมีความสุขมาก และหัวเราะสังสรรค์เริงรื่น
บนโต๊ะอาหาร จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้งได้บอกกับซูอี้ว่า เขาได้นำจิตวิญญาณของผู้สิงสถิตไปเผาทำลายเรียบร้อยแล้ว
ซูอี้ถึงนึกได้ทันที ตอนที่เดินทางไปในถ้ำข้างใต้ส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต เฉินเจิ้งที่ถูกมองเป็น ‘ร่างดักแด้’ เกือบถูกจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนต่างโลกตนหนึ่งสิงสถิต
จากนั้น เป็นเขาเองที่ช่วยเฉินเจิ้งผนึกจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนต่างโลกนี้ และยังถ่ายทอดวิชาลับให้แก่เฉินเจิ้ง เพื่อเผาทำลายจิตวิญญาณนี้
เพื่อทำความเข้าใจความเป็นมาของผู้ฝึกตนต่างโลก รวมถึงสถานการณ์ของโลกที่มันมาจากจิตวิญญาณนี้
ซูอี้สอบถามขึ้นมาทันที
ทว่าน่าเสียดาย จิตวิญญาณที่เฉินเจิ้งเผาไป จึงมีความทรงจำไม่มากนัก
รู้เพียงแค่ว่า ผู้ฝึกตนต่างโลกนี้มีนามว่า ‘หลิวเชวี่ย’ มาจากอีกโลกหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘มหาทวีปเทียนหมิง’
และหลิวเชวี่ยก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณของ ‘ลัทธิอมตะ’ หนึ่งในห้าลัทธิสูงสุดแห่งมหาทวีปเทียนหมิง
รอยแยกผนังกั้นมิติที่ควบคุมโดยลัทธิอมตะ คือทางเข้าไในปส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต หนึ่งในแปดมหาขุนเขาปีศาจแห่งต้าโจว
ตามความทรงจำของหลิวเชวี่ย ผนังกั้นมิติเช่นนี้ ยังมีอีกสามรอยในมหาทวีปเทียนหมิง และถูกแบ่งให้ลัทธิอื่น ๆ เข้าควบคุม
ซึ่งชื่อลัทธิหนึ่งในลัทธิสูงสุดนั้น ได้ดึงดูดความสนใจของซูอี้ คือลัทธิปีศาจแปลงดารา!
ทำให้ซูอี้นึกถึง ผู้สิงสถิตที่เรียกตัวเองว่า ‘ปราชญ์จี้เผิง’ ที่ตนสังหารอยู่ข้างใต้ซากลานฌาณปัญญาในส่วนลึกขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาทันที
อีกฝ่ายมาจากลัทธิแปลงดารา!
“ห้าลัทธิสูงสุดแห่งมหาทวีปเทียนหมิง ที่แน่ใจตอนนี้คือมีสองลัทธิที่ควบคุมรอยแยกอากาศทางเข้าของต้าโจว…”
“และในมหาทวีปคังชิง อาณาจักรที่เหมือนกับต้าโจวมีถึงหนึ่งร้อยกว่าอาณาจักร ในตอนที่การจองจำแห่งยุคมืดได้เปิดฉากขึ้น รอยแยกที่ปรากฏบนม่านกั้นของมหาทวีปคังชิงคงจะมีไม่น้อยแน่”
“ซึ่งหมายความว่า รอยแยกข้ามมิติเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ในมหาทวีปเทียนหมิงที่เดียวแน่”
หลังจากคาดเดาได้ออกมาเช่นนี้ ในหัวซูอี้พลันมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้น
ผลกระทบที่ได้รับจากการจองจำในยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อน จำนวนรอยแยกที่ปรากฏบนม่านกั้นมหาทวีปคังชิง จะต้องมีไม่น้อยแน่
และรอยแยกเหล่านี้ ไม่ได้นำไปสู่เพียงโลกโลกเดียว แต่นำไปสู่โลกที่แตกต่าง!
อย่างมหาทวีปเทียนหมิง ก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น
หากเดาลงไปลึกอีกนิด เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง ผู้ฝึกตนต่างโลกที่สามารถก้าวข้ามมามหาทวีปคังชิงได้ จะต้องมาจากหลายโลกเป็นแน่!
หลังจากนั้น ซูอี้ก็สอบถามเรื่องต่าง ๆ
อย่างเช่น ลัทธิอมตะที่เป็นหนึ่งในห้าลัทธิใหญ่แห่งมหาทวีปเทียนหมิง มีพละกำลังแก่กล้า เป็นผู้ฝึกตนระดับขอบเขตวงล้อวิญญาณ
หรือก็คือเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดท้ายในสามระดับแห่งวิถีวิญญาณ และเป็นรองภายใต้ขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงเดาได้ว่า สี่ลัทธิสูงสุดที่เหลือนอกจากลัทธิอมตะ ก็คงไม่ต่างกันมากนัก
และจะต้องไม่มีบุคคลระดับขอบเขตจักรพรรดิบัญชาการอยู่แน่
ไม่เช่นนั้นห้าลัทธิสูงสุดนี้ คงมิอาจมีสภาวะที่ทัดเทียมกันได้
สำหรับเฉินเจิ้ง การได้รับข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกสับสนไปหมด
แต่สำหรับซูอี้ที่มีประสบการณ์ในชาติก่อน ก็สามารถเดาข้อเท็จจริงออกมาจากข้อมูลเพียงแค่หยิบมือได้ว่า กองกำลังที่แกร่งกล้าที่สุดในมหาทวีปเทียนหมิงนั้น มีเพียงแค่กลุ่มวิถีปราชญ์ระดับวิถีวิญญาณเท่านั้น!
หากเทียบภูมิหลังกันล่ะก็ มหาทวีปคังชิงที่เคยมีบุคคลระดับขอบเขตจักรพรรดิเมื่อนานมาแล้ว ก็ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่ามหาทวีปเทียนหมิงอยู่มาก!
และแน่นอนว่าหลังจากประสบกับพลังการจองจำแห่งยุคมืดมาอย่างยาวนานสามหมื่นปี มหาทวีปคังชิงในยามนี้ จึงยังห่างไกลที่จะนำมาเทียบกับมหาทวีปเทียนหมิงได้
อย่างไรเสีย ทั่วใต้หล้านี้ มีเพียงต้าเซี่ยที่เป็นเจ้าแห่งการปกครองแห่งมหาทวีปคังชิง ถึงจะมีผู้ฝึกตนระดับวิถีวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่
ทว่าในมหาทวีปเทียนหมิง มีกลุ่มวิถีปราชญ์ระดับวิถีวิญญาณถึงห้ากลุ่ม!
“แต่ก็เพียงเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับพวกอ่อนที่ข้าเดาเอาไว้”
เมื่อเดาข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ซูอี้แอบส่ายหน้ากับตัวเอง
หากเปรียบเก้ามหาแดนดินเป็นโลกการฝึกตนสูงสุด เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นมหาทวีปคังชิง หรือมหาทวีปเทียนหมิง ก็ไม่ต่างอะไรกับโลกที่เป็นเศษเสี้ยวเล็ก ๆ
แต่นั่นเป็นเพียงแค่สถานการณ์ในมหาทวีปคังชิงเท่านั้น บางทีอาจจะมีตัวตนของโลกอื่นที่แข็งแกร่งกว่าสามารถเข้ามาในมหาทวิปคังชิงได้
งานเลี้ยงจบลงในตอนเช้ามืด
ซูอี้ที่เมามายไม่ได้สติ สุดท้ายก็ถูกฉาจิ่นที่เมามายไม่ได้สติเช่นกันประคองเข้าไปภายในจวนหมิงเฉวียน
ก่อนที่จะเดินไป หนิงซือฮวาได้เอ่ยเตือนด้วยความจริงใจ “สหายเต๋า อย่าลืมตั้งค่ายกลกั้นเสียงล่ะ”
ซูอี้ยิ้มพลางตอบรับอย่างใจกว้าง
ฉาจิ่นหน้าแดงด้วยความเขินอาย
เมื่อไฟราคะบรรจบเข้าหากัน คู่ใดในโลกาไหนเลยจะเทียบทาน
ตลอดค่ำคืนนี้ เรียกได้ไม่เต็มปากว่าลุ่มหลง ทว่าความเริงร่าที่อยู่ในนั้น มิอาจบอกเล่าให้คนนอกรับรู้ได้
……
ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ต่อมา ซูอี้พักผ่อนอยู่ในศาลาหมิงเฉวียน
นอกจากฝึกฝนแล้ว ก็ยังคงซึมซับชีวิตที่สงบและผ่อนคลายอย่างเกียจคร้าน
เหมือนอย่างในอดีต
บางครั้ง เขาก็จะเล่นหมากล้อมกับเหวินหลิงเสวี่ย ไปเดินเล่นอยู่ระหว่างหุบเขาทุ่งหญ้าด้วยกัน และชี้แนะการฝึกฝนให้แก่สาวน้อย
และในตอนเย็น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหลับนอนกับฉาจิ่น โดยใช้การฝึกคู่มาแทนการฝึกคนเดียว
ในสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้แทบทุกคืน ระดับการฝึกฝนของฉาจิ่นจึงได้รับการสร้างพื้นฐานและการขัดเกลาทุกครั้ง ทำให้รากฐานยิ่งยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งขึ้น…
ซูอี้ก็ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้เช่นกัน
ความสามารถของขอบเขตไร้เบญจธัญมีความเสถียรภาพไปอีกขั้นหนึ่ง เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วที่มีรูปร่างคล้ายดาบเก้าคุมขังก็ยิ่งสั่งสมและเปล่งแสงแวววาวออกมา
ในช่วงเวลานี้เอง องค์รัชทายาทแห่งต้าโจว โจวจือหลีได้เดินทางมาตำหนักเทียนหยวนเพื่อมอบของขวัญที่ตั้งใจเตรียมไว้ด้วยตัวเอง
ศิลาวิญญาณระดับหกจำนวนสิบก้อน!
ของล้ำค่าเช่นนี้ มากพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนระดับวิถีต้นกำเนิดอิจฉาตาร้อนได้
อย่างไรเสีย ศิลาวิญญาณระดับห้าเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งในโลกนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงระดับหก? หรือสิบก้อนเลย?
จึงเป็นธรรมดาที่ซูอี้จะไม่ปฏิเสธ
หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งมากของเขา ในระหว่างที่ฝึกฝนนั้น เขาต้องสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณระดับห้าเกือบสิบก้อนทุกวัน และทรัพยากรที่เขามีอยู่นั้นกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว
แต่หากเปลี่ยนไปใช้ศิลาวิญญาณระดับหก ทุกวันใช้เพียงแค่หนึ่งก็เพียงพอแล้ว
โจวจือหลีมาในครานี้ ยังนำข่าวบางอย่างมาบอกแก่ซูอี้ด้วยว่า
องค์ชายใหญ่แห่งต้าโจว โจวจือเฉียน ได้ออกเดินทางไปต้าเซี่ยในวันที่สี่เดือนห้าแล้ว และยามนี้ได้กลายเป็นศิษย์สายในสำนักดาบเทียนซู หนึ่งในสี่กลุ่มเต๋าแห่งต้าเซี่ย
แม้โจวจือเฉียนจะเป็นพี่ของโจวจือหลี ทว่าถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน ผนวกกับโจวจือเฉียนเติบโตและฝึกฝนอยู่บนภูเขามังกรเร้นมาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองพี่น้อง ล้วนใช้คำว่าห่างเหินและเย็นชามาบรรยายได้
ด้วยเหตุนี้ โจวจือหลีจึงไม่ลังเลที่จะขายข้อมูลของโจวจือเฉียนให้แก่ซูอี้ ด้วยเหตุที่ว่าโจวจือเฉียนอาจจะมาแก้แค้นแทนเหล่ากลุ่มมังกรเร้นที่ตายด้วยน้ำมือซูอี้ได้
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้กลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ เหล่ากลุ่มคนที่มองเขาเป็นศัตรูในอดีต ล้วนไม่มีความสำคัญอีกแล้ว เฉกเช่นสามกองกำลังฝึกฝนแห่งต้าฉิน ไม่ใช่ว่าทั้งหมดก้มหัวยอมแพ้ต่อเขาแล้วรึ?
โจวจือเฉียนอาจจะมีโอกาสโดดเด่นอยู่ในต้าเซี่ย ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของซูอี้อยู่ดี
วันเวลาแสนสงบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนต่อมา
วันที่หนึ่งเดือนเจ็ด
ในตอนเที่ยงวัน ซูอี้นั่งอยู่ใต้ต้นสนใหญ่นอกศาลาหมิงเฉวียนอย่างเกียจคร้าน คิ้วคมขมวดเล็กน้อย พลางจมสู่ห้วงแห่งความคิด
ทรัพยากรที่เหมาะสมต่อการฝึกของเขาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว และประคับประคองไปได้มากที่สุดได้เพียงแค่เจ็ดวัน
และสถานการณ์ในยามนี้ ไม่ต้องพูดถึงตำหนักเทียนหยวน แม้แต่ทั่วทั้งต้าโจว หากต้องการหาทรัพยากรที่เหมาะต่อการฝึกฝน ก็คงหาได้ยากยิ่ง
นี่คือข้อเสียของโลกใบนี้
เมื่อระดับการฝึกตนยิ่งสูงขึ้นเท่าใด ทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกฝนนั้น ก็ยิ่งมีน้อยลง จนถึงขั้นไม่มีเลย
“จากปัญหาพลังปราณวิญญาณเหือดแห้งที่เกิดจากการจองจำแห่งยุคมืด เป็นพันธนาการไร้รูปร่างอย่างแท้จริง ที่ตลอดสามหมื่นปีมานี้ ได้ทำลายความหวังของเหล่าผู้ฝึกตนในการแสวงหาเส้นทางมาไม่รู้ตั้งเท่าใด”
ซูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “บางที ข้าควรพิจารณาเรื่องเดินทางไปต้าเซี่ยสักหน่อย…”
ในตอนนี้เอง หนิงซือฮวาเดินมาจากที่ไกล ๆ พลางเอ่ย “สหายเต๋า เถาชิงซานกับชายที่เรียกตัวเองว่าชิงหลานสุ่ยจวินมาขอเข้าพบ”