บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 402 หยวนเหิง
ตอนที่ 402: หยวนเหิง
ตอนที่ 402: หยวนเหิง
“ข้าน้อยเถาชิงซานพาชิงหลานสุ่ยจวินมาคารวะนายท่านซู!”
เถาชิงซานทำความเคารพอย่างนอบน้อม ร่างของเขาเตี้ยม่อต้อ คิ้วและหนวดเคราเป็นสีขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและความยำเกรง
ด้านข้างของเขา มีชายสวมเสื้อคลุมรูปร่างกำยำยืนอยู่ เขาผู้นั้นดูมีพละกำลังมาก ผิวสีดำ ดวงตาแวววาวคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นเถาชิงซานทำความเคารพ ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมก็รีบทำตามทันทีด้วยความตื่นเต้นและกังวล
ซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายโบกมือ “ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ข้าไม่ชอบพิธีจุกจิกเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เถาชิงซานและชายสวมเสื้อคลุมรีบยืดตัวตรงทันที
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ ทั้งสองยังคงมีท่าทางระมัดระวัง ทว่าความเลื่อมใสที่สะท้อนอยู่ในดวงตากลับปกปิดเอาไว้ไม่อยู่
ซูอี้ในยามนี้ คือผู้ฝึกตนในตำนานที่รู้กันไปทั่วใต้หล้าแล้ว!
ด้วยพลังเพียงคน ๆ เดียว สามารถสยบทั้งสามอาณาจักร ไม่ต้องเอ่ยถึงนักรบบนโลก แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนก็ยังต้องแหงนหน้ามอง
จึงเป็นธรรมดาที่เถาชิงซานและชายสวมเสื้อคลุมจะได้ยินเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับซูอี้ และเมื่อได้มาเจอชายหนุ่มอีกครั้ง พวกเขาก็ทำราวกับเห็นเทพเซียนที่สง่าน่าเกรงขาม
สายตาของซูอี้มองไปทางชายสวมเสื้อคลุม พลางสำรวจขึ้นลงหนึ่งรอบ “ไม่เลวเลย ใช้เวลาไม่ถึงสามเดือน ก็สามารถแปรสภาพออกมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว รากฐานนั้นถือว่าไม่ธรรมดา”
ชายสวมเสื้อคลุมผู้นี้คือชิงหลานสุ่ยจวิน ร่างเดิมคือเต่าเฒ่าที่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำชิงหลาง
ในตอนที่ซูอี้เดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิง เคยนั่งอยู่บนหลังเต่าเฒ่าข้ามแม่น้ำชิงหลางไป
และในตอนนั้น ซูอี้เคย ‘ชี้แนะลู่ทาง’ ให้แก่เขา และให้เต่าเฒ่าเดินทางไปหาเถาชิงซานเพื่อเรียนวิชาแปลงกาย หากภายในสามเดือน สามารถแปรสภาพเป็นผู้ฝึกปีศาจแท้จริง และก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีต้นกำเนิดได้ ซูอี้ก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่เหมาะแก่การฝึกให้แก่เขา
นี่ถือว่าเป็นการทดสอบเล็ก ๆ เท่านั้น
ไม่นึกเลยว่า เต่าเฒ่าผู้นี้จะทำได้จริง ๆ
ชายสวมเสื้อคลุมเอ่ยด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง “ที่ข้าน้อยมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะนายท่าน หากนายท่านไม่อนุญาตให้เถาชิงซานถ่ายทอดวิชาให้ เกรงว่าไม่รู้เมื่อใดข้าน้อยถึงจะกลายเป็นผู้ฝึกปีศาจได้”
ซูอี้เอ่ยด้วยความรู้สึกที่คล้อยตาม “เอาเถิด ในเมื่อข้ารับปากว่าจะถ่ายทอดวิชาลับให้แก่เจ้า ข้าเอ่ยแล้วไม่คืนคำแน่นอน”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยต่อ “วิชาลับที่เหมาะกับการฝึกของเจ้ามีอยู่สองวิชา วิชาแรกมีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาเก้าปีศาจสวรรค์’ ซึ่งจะสามารถทำให้เจ้าฝึกฝนไปถึงระดับวิถีวิญญาณได้”
หา!
เถาชิงซานและชายสวมเสื้อคลุมต่างนิ่งค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
สำหรับปีศาจที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางการฝึกอย่างพวกเขา การสืบทอดวิชาที่สามารถฝึกไปถึงระดับวิถีวิญญาณได้ ไม่ต่างอะไรกับการได้รับ ‘โอกาสจากเทพเซียนบนสวรรค์’!
หลังจากนั้นซูอี้ก็เอ่ยต่อ “อีกวิชาหนึ่ง มีชื่อว่า ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ หากเอ่ยถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ มันถือว่าลึกล้ำยิ่งกว่าเคล็ดวิชาเก้าปีศาจสวรรค์มาก แต่ข้ารับปากได้ว่าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกฝนสามขอบเขตแห่งวิถีต้นกำเนิดให้แก่เจ้า และหากเจ้าอยากสืบทอดวิชานี้ จะต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
ชายสวมเสื้อคลุมรู้สึกตื่นเต้น พลางคำนับ “ขอนายท่านโปรดชี้แนะ”
“ในตอนที่ข้าออกเดินทางไปต้าเซี่ย เจ้าจะต้องร่วมเดินทางไปกับข้าด้วย”
ซูอี้เอ่ย
ชายสวมเสื้อคลุมนิ่งอึ้ง คราแรกเขายังคิดว่าเรื่องที่รับปากนั้นจะต้องยากเป็นแน่ แต่ไม่นึกเลยว่า จะเป็นเพียงแค่การร่วมเดินทางไปกับซูอี้เท่านั้น
เถาชิงซานอิจฉาต้าร้อน นี่มันทดสอบที่ไหนกัน มันคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ชัด ๆ เลย!
หากสามารถปรนนิบัติอยู่เคียงข้างนายท่านซูอี้ไปตลอดทางได้ เหตุใดจะต้องกลุ้มใจเรื่องที่ไม่ได้รับคำชี้แนะด้วยเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านซูอี้ก็บอกแล้วว่า ความลี้ลับมหัศจรรย์ของคัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง นับว่ามากกว่าเคล็ดวิชาเก้าปีศาจสวรรค์เสียอีก!
“จะนิ่งอึ้งอยู่อีกนานเท่าใด ยังไม่รีบขอบคุณอีก!?”
เถาชิงซานดึงชายสวมเสื้อคลุม
ราวกับชายสวมเสื้อคลุมตื่นขึ้นมาจากความฝัน พลางเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ผู้อาวุโส เพียงแค่สามารถปรนนิบัติอยู่เคียงข้างท่านได้ เรื่องอะไรข้าน้อยก็รับปากได้หมด!”
ผู้ใดก็มองออก ชายสวมเสื้อคลุมตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
ซูอี้พยักหน้า นำแผ่นหยกออกมา พลางใช้จิตสัมผัสสลักเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับสามขอบเขตแห่งวิถีต้นกำเนิดไว้ในนั้น
“เคล็ดวิชาภายในแผ่นหยกนี้ แม้จะเป็น ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ วิชาฝึกฝนระดับวิถีต้นกำเนิด แต่สามารถทำให้เผ่าปีศาจเช่นเจ้าแปรสภาพออกมาได้สำเร็จ เจ้านำเคล็ดวิชาลับในนั้นจำเอาไว้ จากนั้นก็ทำลายแผ่นหยกนี้ทิ้งเสีย”
ซูอี้ยื่นแผ่นหยกให้
“ขอรับ!”
ชายสวมเสื้อคลุมรีบใช้สองมือรับไป และใช้จิตสัมผัสรับรู้เนื้อหาในนั้นทันที
ไม่นาน เขาก็ทำลายแผ่นหยกนั้นทิ้ง จากนั้นก็กุมมือคำนับ “ผู้อาวุโส ข้าน้อยจำเรียบร้อยแล้ว”
ครั้นเถาชิงซานเห็นเช่นนี้ ก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “นายท่านซู ข้าน้อยก็ยินยอมถวายชีวิต บุกน้ำลุยไฟ และจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ!”
ซูอี้เหลือบมองเขา และเอ่ย “อย่างนั้นรึ หากเจ้าเต็มใจ ก็อยู่ที่นี่จัดการเรื่องต่าง ๆ เพื่อสำนักเสวียนจวินได้ แต่เจ้าอย่าดีใจเร็วจนเกินไป ภายในสิบปีนี้ ข้าจะไม่ถ่ายทอดวิชาลับใด ๆ ให้แก่เจ้า และจะไม่ให้คำชี้แนะเจ้าเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นคิดให้ดี และเมื่อเจ้าตัดสินได้แล้วก็มาบอกข้าอีกครั้ง”
หากเต๋ามิอาจถ่ายทอดให้ง่าย ๆ เช่นนั้นวิชาก็มิอาจมอบให้ง่าย ๆ เช่นกัน
ที่เต่าเฒ่าได้รับวิชาไป เป็นเพราะมีโชคตะตาที่ได้มาพบกันในตอนนั้น การรับปาก ก็ถือว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง ในเมื่ออีกฝ่ายผ่านแล้ว ซูอี้ก็ไม่รังเกียจที่จะสนับสนุนอีกฝ่าย
แต่เถาชิงซานไม่เหมือนกัน คนผู้นี้เกิดมาจากผลท้อที่อยู่บนต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์ และตอนที่อยู่บนสันเขามารดาภูตผี ก็เคยได้รับคำชี้แนะจากเขาแล้ว
ในเมื่อยามนี้อยากอยู่ช่วยเหลือเคียงข้างเขา ก็ควรได้รับการทดสอบ
ด้วยเหตุนี้ ถึงจะสามารถมองเห็นจิตใจอีกฝ่าย และขัดเกลานิสัยเขาได้
และแน่นอนว่าเถาชิงซานจะไม่ตกลงก็ได้
ทว่าเถาชิงซานที่เงียบไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่แน่วแน่ “นายท่านซู ข้าน้อยคิดดีแล้ว! ไม่ต้องพูดถึงสิบปี ต่อให้ต้องรอถึงร้อยปีพันปี ข้าน้อยก็เต็มใจติดตามอยู่ข้างกายนายท่าน!”
ซูอี้พยักหน้า และไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
หากไม่ใช่การรับผู้สืบทอด ในส่วนนี้ เขาจะไม่เข้มงวดจนเกินไป
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้จึงเอ่ยสั่ง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ แล้วค่อยไปหาเจ้าตำหนักหนิง นางจะช่วยจัดการเรื่องทั้งหมดให้แก่พวกเจ้า”
“ขอรับ!”
เถาชิงซานและชายสวมเสื้อคลุมขานรับพร้อมกัน
“จริงสิ”
จู่ ๆ ซูอี้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ และเอ่ยกับชายสวมเสื้อคลุม “ตอนนั้นข้ายังรับปากอีกว่า หากเจ้าแปลงกายได้สำเร็จ ข้าจะมอบนามให้แก่เจ้า ยามนี้ เจ้าเต็มใจที่จะรับหรือไม่?”
ชายสวมเสื้อคลุมนิ่งไป พลันดีใจอย่างบ้าคลั่ง พลางคุกเข่าลงบนพื้น และเอ่ยเสียงสั่น “ขอผู้อาวุโสมอบนามให้แก่ข้าด้วย!!”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “เจ้าอาศัยอยู่ใต้แม่น้ำชิงหลาง แม้จะอยู่ในเผ่าปีศาจ แต่กลับมีจิตใจที่เที่ยงธรรม ซึ่งหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นใช้นามว่า ‘หยวนเหิง’ ดีหรือไม่?”
คำว่าหยวน (元) มาจากส่วนบนของคำว่า ‘หยวน’(鼋) มีความหมายว่าเริ่มต้น
ส่วนคำว่าเหิง คือผู้มีจิตใจแน่วแน่ สามารถยืนหยัดอยู่ในธรรมได้อย่างมั่นคง
ชายสวมเสื้อคลุมเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่อยู่ในนั้นเล็กน้อย และรู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลออกมา พลางโค้งคำนับ “ขอบคุณผู้อาวุโส ขอบคุณผู้อาวุโส!”
ครั้นเถาชิงซานเห็นเช่นนี้ ก็อิจฉาเข้ากระดูกดำ
สำหรับเหล่าผู้ฝึกตน นามเต๋านั้นสำคัญมาก ไม่เพียงแฝงไว้ด้วยความปรารถนาของผู้มอบ แต่ยังเป็นการยอมรับและการปกป้องอย่างหนึ่ง!
ตามตำนานเล่าว่า มีพิธีการมอบ ‘นามเต๋า’ โดยเฉพาะภายในกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณ ข้อกำหนดยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม คือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของสำนัก จะต้องให้บุคคลสำคัญมาตันสินใจด้วยตัวเอง
การมอบนามเต๋าให้แก่ศิษย์โดยบุคคลต่าง ๆ อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของศิษย์ผู้นั้นได้!
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนธรรมดาส่วนใหญ่จะตั้งนามแฝงให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเด่นชัดขึ้น จนมิอาจมองข้ามได้
เถาชิงซานย่อมรู้ดี สำหรับเต่าเฒ่า นามที่ซูอี้มอบให้ เทียบเท่ากับได้รับการยอมรับและการปกป้องจากซูอี้!
แล้วเถาชิงซานจะไม่อิจฉาได้อย่างไร?
“เพียงแค่ข้ามีจิตใจแน่วแน่ ช่วยเหลือนายท่านซูอี้ด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงต่อไป จะต้องได้รับการยอมรับจากนายท่านซูอี้อย่างแน่นอน!”
เถาชิงซานสูดหายใจเข้าลึก ในใจแปรเปลี่ยนเป็นสงบลง
สำหรับผู้ฝึกปีศาจที่ไม่มีรากฐานอย่างเขา สามารถไขว่คว้า ‘โอกาสจากเทพเซียน’ ได้ ก็นับเป็นความโชคดีที่ได้รับมาจากสวรรค์แล้ว!
ยามนี้สามารถอยู่ช่วยเหลือซูอี้ได้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับเถาชิงซาน
หลังจากจัดการเรื่องของชายสวมเสื้อคลุมนามว่า ‘หยวนเหิง’ กับเถาชิงซานแล้ว ซูอี้ก็จมสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
สาเหตุที่เขาถ่ายทอดวิชา ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ให้หยวนเหิง ไม่ใช่เพียงเพราะวิชานี้เหมาะสมต่อการฝึกของอีกฝ่ายอย่างเดียว
แต่ตั้งใจว่าในตอนที่เดินทางไปต้าเซี่ย จะให้หยวนเหิงใช้กลิ่นอายบนร่างตัวเองหลอกล่อเก๋อเฉียนชายหนุ่มผู้ขี้ขลาดออกมา
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะตรวจสอบได้ ว่าวิชาที่เก๋อเฉียนฝึกฝนอยู่คือคัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริงหรือไม่
ในฐานะที่เป็นผู้สร้างคัมภีร์นี้ ซูอี้ย่อมรู้ดี เมื่อมีผู้ฝึกคัมภีร์เต่าหางมังกรแท้จริงเหมือนกันสองคน ต่อให้อยู่ห่างกันหมื่นจั้ง การขับเคลื่อนลมปราณระหว่างสองฝ่ายก็จะเกิดปฏิกิริยาลึกซึ้งต่อกัน!
เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้เก๋อเฉียนที่ขี้ขลาดหลบซ่อนต่อไป แต่เมื่อมาปรากฏตัวอยู่ใกล้หยวนเหิงในรัศมีหมื่นจั้ง ก็จะรับรู้ได้ทันที
“หวังว่าชายหนุ่มเก๋อเฉียนนั้นจะไปต้าเซี่ยจริง ๆ ไม่เช่นนั้น คงทำให้ข้าเสียแรงเปล่า…”
ซูอี้เอ่ย
ไม่นาน หนิงซือฮวาก็กลับมา “สหายเต๋า ข้าได้จัดหางานให้ทั้งสองเรียบร้อยแล้ว”
ซูอี้พยักหน้า ก่อนเอ่ยในสิ่งที่เขาตัดสินใจออกมา “ข้าตั้งใจจะออกเดินทางไปต้าเซี่ยในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะออกเดินทาง ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องกำชับกับเจ้า”
แววตาที่เปล่งประกายในคราแรกของหนิงซือฮวา พลันมืดมนทันที ก่อนเอ่ยด้วยความรู้สึกจำใจ “พูดเช่นนี้ ข้าต้องอยู่เพื่อช่วยสหายเต๋าดูแลที่นี่อีกแล้วสินะ?”
นางเคยได้ยินว่าในต้าเซี่ยมี ‘ชุมนุมมวลพฤกษา’ ที่ดึงดูดบรรดาผู้ฝึกตนทั่วใต้หล้ากำลังจะเปิดฉากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้ แล้วนางจะไม่อยากเข้าร่วมได้อย่างไร?
ซูอี้เอ่ย “หากเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไม่บังคับ”
หนืงซือฮวาส่ายหน้า ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวเผยความจริงใจออกมา
“ในอดีต ข้ามีฐานะเป็นเจ้าตำหนักเทียนหยวน ที่ดูเหมือนโด่งดัง แต่ความเป็นจริงนั้นการฝึกฝนกลับมีความยากลำบาก และผ่านอันตรายกับความทุกข์ทรมานมาหลากหลายรูปแบบ”
“ทว่าตั้งแต่ได้รู้จักกับสหายเต๋า ล้วนแตกต่างไปทั้งหมด จนถึงยามนี้ ข้าไม่ขาดวิชาและทรัพยากรในการฝึกฝน เส้นทางที่แสวงหา ก็เคยได้รับคำชี้แนะมากมายมาจากสหายเต๋า”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หนิงซือฮวาก็ยิ้มตาหยี่ออกมา “บางทีสิ่งนี้อาจจะเรียกว่าหนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีไปด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว จะไปต้าเซี่ยหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงช่วยสหายเต๋าดูแลที่นี่ ต่อให้ช่วยสหายเต๋าทำเรื่องกบฏต่อฟ้าดิน หรือทำเรื่องที่ขาดสติ เกรงว่าข้าก็คงจะไม่ปฏิเสธ”
สายตาซูอี้มองไปทางหนิงซือฮวา และชื่นชมหญิงสาวที่งดงามอ่อนเยาว์ดั่งเด็กสาว “ไม่ต้องเอ่ยอะไรอีกแล้ว ในอนาคต ข้าจะเตรียมของขวัญแทนคำขอบคุณให้แก่สหายเต๋าแน่นอน”
หนิงซือฮวาตื่นเต้น นางย่อมรู้ดี สิ่งที่เรียกว่า ‘ของขวัญแทนคำขอบคุณ’ ของซูอี้ จะต้องยอดเยี่ยมแน่ ๆ!
นัยน์ตานางเป็นประกาย พลางยิ้มหวาน “ข้าไม่สนของขวัญแทนคำขอบคุณหรอก ขอเพียงแค่สหายเต๋านึกถึงข้าบ่อย ๆ ก็เพียงพอแล้ว”