บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 406 คนรู้จักเก่า
ตอนที่ 406: คนรู้จักเก่า
ตอนที่ 406: คนรู้จักเก่า
ควันฝุ่นแผ่กระจายไปทั่ว
ร่างของนักพรตไฉแตกยุ่ยดุจดินโคลน น่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้
ทว่าบนศพเขา กลับมีแสงโลหิตพุ่งขึ้นทันที คล้ายกับประกายสายฟ้า พุ่งไปทางลานวัด
คล้ายกับซูอี้รู้นานแล้วว่าจะเกิดเช่นนี้
เขาไม่ได้ลงมือ เพียงหายวับตามมันไป
ฟุบ!
แค่พริบตาเดียวเท่านั้น แสงโลหิตก็พุ่งเข้าไปภายในบ่อโบราณที่อยู่ส่วนลึกของลานวัด
ซูอี้หายตัวมาปรากฏอยู่ด้านหน้าบ่อโบราณ ใช้จิตสัมผัสเข้าไปในนั้นทันที เพียงครู่เดียว สายตาเขาก็เผยความแปลกใจออกมา
“ที่แท้ ร่างของชายผู้นี้ก็มีปัญหานี่เอง”
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็กระโจนลงไปภายในบ่อโบราณ
สถานที่ไกลสุดลูกหูลูกตา หยวนเหิงได้สติกลับมาจากการตกใจ จึงอดเผยความอับอายออกมาไม่ได้
ก่อนหน้านี้ เขาตั้งใจจะไปจัดการเหล่าผีที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นสนในขณะที่ซูอี้ลงมือ
แต่ไม่นึกเลยว่า กลับใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…
“ครั้งหน้าอย่าได้เป็นเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้น นายท่านคงผิดหวังในตัวข้าแน่”
หยวนเหิงกัดฟันเอ่ยกับตัวเอง
“หนีเร็ว ทุกคนรีบหนีเร็ว!”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว คนผู้นั้นคือผู้ฝึกตนที่เก่งกาจดั่งเทพเซียนชัด ๆ”
“ไป ไป ไป!”
เสียงตะโกนเล็กแหลมของผีดังขึ้น ผีดุร้ายที่อยู่บนต้นสนเหล่านั้น พุ่งเป็นเงาดำออกมามากมาย และหลบหนีไป
“หึ!”
หยวนเหิงพ่นลมหายใจออกมาทันที พลันทั่วกายสั่นเทาทันที
ตูม!
ในลานวัด จู่ ๆ ก็ปรากฏสัตว์ขนาดมหึมาราวกับภูเขาขึ้น
แขนขาของมันดั่งเสาเหล็ก กระดองของมันกว้างหลายสิบจั้ง และมีแสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าละลานตาออกมา
เป็นร่างเดิมของหยวนเหิง เต่าขนาดมหึมาที่ไม่มีสิ่งใดเทียบ!
“โฮกก”
หยวนเหิงเงยหน้าขึ้นคำราม ทันใดนั้นแสงสว่างจ้าสีทองพลันแผ่ขยายออกมาดั่งกระแสน้ำ ทำให้น่านฟ้าสว่างไสวไปทั่ว
“ให้ตายสิ เจ้านั่นมันคือเต่าเฒ่าที่บรรลุแล้วนี่!”
“ไม่!”
ทันใดนั้นเหล่าผีที่หลบหนีกระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ เมื่อร่างถูกกวาดด้วยแสงสีทองแสบตา ต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อคล้ายกับถูกเผา และถูกกำจัดไปจนเกลี้ยง
ไม่หลงเหลือแม้แต่ตัวเดียว!
หยวนเหิงสั่นหัวขนาดใหญ่ที่เหมือนกับบ้านของตน ร่างขนาดมหึมาโยกไหว ชั่วพริบตาเดียวก็ฟื้นกลับไปเป็นร่างชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมเช่นเดิม
เพียงแต่ บัดนี้วัดเทพเจ้าเขาได้พังลง และกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว แม้แต่ต้นสนเหล่านั้นก็ถูกทำลาย
เมื่อมองจากที่ไกล ๆ คล้ายกับถูกพลั่วปรับให้ราบเรียบ
หยวนเหิงไม่รอช้า หมุนตัวพุ่งไปทางบ่อโบราณที่อยู่ไกล ๆ นั้นทันที
…..
ข้างใต้บ่อโบราณ จริง ๆ แล้วมันเชื่อมต่อไปยังใจกลางเทือกเขาฝูเซียน และภายในนั้นก็มีถ้ำใหญ่โตที่ถูกขุดไว้
ตรงกลางถ้ำ คือลานพิธีทรงกลมที่มีลักษณะเป็นยันต์แปดทิศ
รอบลานพิธี มีธงค่ายกลที่ชโลมไปด้วยโลหิตสามสิบหกเสา ด้านหน้าธงค่ายกล มัดเด็กชายเด็กหญิงเป็นคู่ ๆ เอาไว้
ทว่ามีเพียงเสาเดียว ที่มีเด็กชายเพียงคนเดียว
เด็กเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง โตที่สุดก็มีอายุเพียงแค่หกเจ็ดปี เล็กที่สุดก็มีอายุเพียงแค่สามสี่ปี
มีทั้งไม่ได้สติ ทั้งแผดเสียงร้องไห้ บนใบหน้าเล็กที่อ่อนวัยนั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่สบายใจ
และมีเด็กชายชุดสีเลือดคนหนึ่งยืนอยู่บนลานพิธี ทำเป็นมองไม่เห็นเหล่าเด็กชายเด็กหญิงแผดเสียงร้องไห้
ด้านหน้าเขา คือแท่นบูชาที่สร้างมาจากกระดูกขาวนับไม่ถ้วน บนแท่นบูชานั้น มีเทวรูปสีดำหนึ่งองค์ประดิษฐานอยู่
สิ่งนั้นคือวิหคเก้าเศียร ปีกของมันแนบกับลำตัว สองเท้ายืนหยัดอย่างสง่า หัวทั้งเก้ามองไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ประหนึ่งกำลังมองจักรวาล
สองมือของเด็กชายชุดสีเลือดถือค่ายกลธงเอาไว้ สายตามองเทวรูปวิหคเก้าเศียรนั้นอย่างเคารพยำเกรง ใบหน้าเผยความเลื่อมใสอย่างบ้าคลั่งออกมา
ทันใดนั้น แสงโลหิตก็พุ่งมาบนลานพิธี
ชั่วพริบตาหนึ่งก็กลายเป็นรูปร่างนักพรตไฉ
“บรมจารย์ เหตุใดท่านถึงกลายเป็นเช่นนี้?”
เด็กชายชุดสีเลือดตกใจมาก เขารู้ได้ทันที ร่างของนักพรตไฉได้ถูกทำลายไปแล้ว และขณะนี้ก็เหลือเพียงแค่จิตวิญญาณที่บาดเจ็บสาหัสเป็นอย่างมากเท่านั้น!
“ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ไปรออยู่อีกด้านหนึ่ง!”
นักพรตไฉแย่งแผ่นค่ายกลจากในมือเด็กชายชุดสีเลือด พลางก้าวเดินไปถึงด้านหน้าแท่นบูชานั้น ก่อนร่ายคำแปลก ๆ และคลุมเครือออกมาครู่หนึ่ง
กึก
พลันเทวรูปวิหคเก้าเศียรบนแท่นบูชาสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นเกิดเสียงระเบิดขึ้น เทวรูปแตกออก อากาศใกล้ ๆ ยุบเป็นหลุมทันที แสงโลหิตหมุนเวียน กลายเป็นระลอกคลื่นสีเลือดที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวออกมา
ในส่วนลึกของระลอกคลื่นสีเลือด มีน้ำเสียงน่าเกรงขามดังออกมาอย่างเลือนราง “มีเรื่องอันใดถึงได้รบกวนการฝึกของข้าผู้นี้?”
น้ำเสียงนั้นเยือกเย็น เฉยชา และแฝงไปด้วยพลังชั่วร้ายที่ทำให้คนหวาดกลัว
นักพรตไฉคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น พลางเอ่ยเสียงสั่น
“รายงานท่านเทพ เครื่องสังเวยในครานี้ได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว เพียงแต่ในตอนที่ข้าน้อยรวบรวมเครื่องสังเวย ได้ถูกโจมตีโดยคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว ยามนี้ได้เผชิญกับความพินาศย่อยยับ จึงขอเชิญท่านเทพลงมือ ช่วยข้าน้อยทำลายศัตรูตัวฉกาจนั้นด้วยเถิด!”
จากนั้นในส่วนลึกของระลอกคลื่นสีเลือด มีเสียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามดังขึ้นอีก “เหอะ ข้าผู้นี้อยากจะเห็นนัก แมลงตาบอดตัวใดที่ริอาจทำร้ายคนในใต้บังคับบัญชาของข้าผู้นี้ เจ้าไปนำเครื่องสังเวยมา เดี๋ยวข้าผู้นี้จะลงมือด้วยตัวเอง เพื่อคลี่คลายภัยพิบัติให้แก่เจ้า”
“ขอรับ!”
นักพรตไฉรู้สึกมีความสุขมาก
เขาลุกขึ้นมาจากบนพื้น มือถือแผ่นค่ายกล พลางเอ่ยสั่ง “เซวี่ยพู รีบสังหารเด็กน้อยเหล่านั้นเสีย แล้วนำเลือดล้ำค่ามาถวายให้แก่ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”
ทว่าสิ้นคำสั่งลงแล้ว กลับไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
“หืม?”
นักพรตไฉหันกลับไป พลันตกใจทันใด เขาเห็นชายหนุ่มสวมชุดเขียวที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด ยืนอยู่ไม่ไกลลานพิธีนัก
ใต้เท้าของอีกฝ่าย มีศพเด็กชายชุดสีเลือดที่ถูกสังหารอย่างเงียบ ๆ กองอยู่ตรงนั้น
“เจ้า…”
นักพรตไฉตกใจ พลันจิตใต้สำนึกสั่งให้กระตุ้นแผ่นค่ายกลที่อยู่ในมือทันที
ตูม!
ค่ายกลธงสีเลือดทั้งสามสิบหกเสาที่กระจัดกระจายรอบลานพิธีเปล่งแสงทันที ปรากฏหมอกชั่วร้ายสีเลือดที่กลิ้งหมุนออกมา มีเสียงผีโหยหวนดั่งหมาป่าหอนดังขึ้น ก่อให้เกิดอานุภาพซึ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวตัวสั่น
ค่ายกลแปรวิญญาณยมโลก!
ค่ายกลสังเวยโลหิตที่มีอานุภาพแก่กล้านี้ นักพรตไฉเพียรพยายามเป็นเวลาสามปี ถึงจะจัดวางได้สำเร็จ
เดิมที นักพรตไฉตั้งใจว่าหลังจากสังเวยแล้ว เขาจะใช้พลังของค่ายกลนี้ มาหลอมเป็น ‘ยาโลหิตวิญญาณเยาว์’ โดยใช้เลือดสดของเด็กชายหญิงเหล่านั้น
ทว่ายามนี้ เขาไม่สนเรื่องเหล่านี้แล้ว
นักพรตไฉขบกรามแน่น พลางตะโกนด้วยน้ำเสียงที่แสบแก้วหู “สหายเต๋า ทางดี ๆ มีไม่ชอบ ชอบมารนหาที่ตายจริง ๆ งั้นก็ตายเสียเถิด!”
ตูม!
หมอกชั่วร้ายสีเลือดกลิ้งตลบ คล้ายกับมังกรสีเลือดหันตัวกลับ พุ่งไปทางซูอี้!
“ฝีมือต่ำต้อยเช่นนี้ มีอันใดให้อันตรายกัน?”
ซูอี้ยิ้มเยาะ พลางสะบัดแขนเสื้อ
แสงสีใสพุ่งออกมา ราวกับดาบแหลมคมนับไม่ถ้วน หมุนอยู่บนลานพิธี กลายเป็นภาพดาบวงกลม และแผ่ขยายออกไป
ตูม! ตูม! ตูม!
ค่ายกลธงสีเลือดทั้งสามสิบหกเสารอบลานพิธี หักขาดไปพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกัน หมอกชั่วร้ายสีเลือดที่กลิ้งไปมาอยู่นั้นคล้ายกับสูญเสียพลังหนุน จึงค่อย ๆ สลายอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาหนึ่งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
นักพรตไฉเบิกตากว้าง ราวกับถูกสายฟ้าฟาด
อานุภาพของค่ายกลแปรวิญญาณยมโลกนี้ มากพอจะสังหารเหล่าผู้ฝึกตนระดับขอบเขตไร้เบญจธัญ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับขอบเขตเปิดทวารมา ก็ยากที่จะต้านทานไว้ได้
ทว่ายามนี้ กลับถูกทำลายไปอย่างง่ายดาย!
ทันใดนั้น วิญญาณนักพรตไฉก็คุกเข่าลงอีกครั้ง พลางแผดเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนกไปทางระลอกคลื่นสีเลือด
“ขอท่านเทพโปรดสำแดงฤทธิ์ คร่าชีวิตคนผู้นี้ด้วยเถิด!”
ซูอี้ไม่สนใจนักพรตไฉ พลางก้าวเดินไปตรงกลางลานพิธีที่มีระลอกคลื่นสีเลือดลอยอยู่
แววตาเขามีความแปลกใจเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้น “เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์นี้นัก?”
นักพรตไฉที่มีใบหน้าดุร้าย แผดเสียงตะโกนออกมา “คุ้นเคย? เจ้าทำลายเครื่องสังเวยของท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ก็รอความตายได้เลย!”
ซูอี้เลิกคิ้ว คล้ายกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ สายตามองไปในส่วนลึกระลอกคลื่นสีเลือดนั้น พลางเอ่ยหยั่งเชิง “เทพแห่งความกรุณา?”
พลันระลอกคลื่นสีเลือดนั่นปั่นป่วนอย่างรุนแรง จากนั้น น้ำเสียงที่น่าเกรงขามก็ดังขึ้นมา “เจ้าคือ… เจ้าหนุ่มแซ่ซูคนนั้น?!”
น้ำเสียงเย็นชาเยือกเย็น แฝงไปด้วยความแปลกใจ
“หึ! มิน่าเล่า ข้าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับภาพการสังเวยเลือดที่อยู่ตรงหน้านี้ ที่แท้ก็เป็นเจ้าอสูรร้ายไร้อนาคตนี่เอง”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
ตอนนั้นที่อยู่ใน ‘เมืองเก้าคด’ ของอูหวนสุ่ยจวินใต้แม่น้ำต้าฉาง ซูอี้ก็เคยเห็นพิธีสังเวยเช่นนี้
ผู้ที่ได้รับเครื่องสังเวย คือตัวตนที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’
ซูอี้จำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นเขาเองยังเคยกล่าวยั่วยุ ตั้งใจกระตุ้นอีกฝ่าย พยายามไล่บีบอีกฝ่ายปรากฏตัวจริงออกมา
ทว่าสุดท้าย เทพแห่งความกรุณาผู้นี้ก็ไม่ปรากฏตัวออกมา
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ซูอี้เดาในตอนนั้นว่า ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ ผู้นี้ไม่มีความสามารถข้ามผนังกั้นมิติ ไม่อาจปรากฏตัวจริงออกมาได้
เพียงแต่ ซูอี้กลับไม่นึกเลยว่า จะได้พบกับอีกฝ่ายอีกครั้งในเขาฝูเซียน อาณาจักรต้าเหลียง
“อสูรร้ายไร้อนาคต?”
นักพรตไฉแทบสับสนมึนงง ในภาพความทรงจำเขา ท่านเทพแห่งความกรุณาคือตัวตนสูงส่งดั่งเทพเจ้า จิตรับรู้กว้างขวาง อิทธิฤทธิ์ไร้ขอบเขต
เขาไม่นึกเลยว่า ซูอี้จะกล้าดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายเช่นนี้?
สิ่งนี้จะต่างอะไรกับการดูหมิ่นกัน?
“ที่แท้ก็คือเจ้าไอ้สารเลวนั่น!!”
ในส่วนลึกของระลอกคลื่นสีเลือด น้ำเสียงน่าเกรงขามของท่านเทพแห่งความกรุณายังคงเกรี้ยวกราด และแฝงไปด้วยกลิ่นอายเลวร้ายเลือนราง
ซูอี้ยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส และเอ่ยอย่างสนใจ “ผ่านไปครึ่งปีแล้ว เจ้าในยามนี้มีพลังข้ามมาโลกนี้ได้หรือยัง?”
“…”
ในส่วนลึกของระลอกคลื่นสีเลือดเงียบงัน
ซูอี้ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “แม้ร่างจริงจะปรากฏออกมาไม่ได้ แต่ต้องมีพลังแสดงอานุภาพออกมาได้สิ?”
“…”
ยังคงเงียบ
ภาพที่ผิดปกตินี้ ทำให้นักพรตไฉที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแทบตะลึงตาค้าง และสับสนมึนงงไปหมด
เหตุใดบุคคลอย่างท่านเทพแห่งความกรุณาถึงทนการยั่วยุของผู้ฝึกตนอย่างชายหนุ่มผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่ากัน?
ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ!
ไกลจากลานพิธี หยวนเหิงที่มาถึงแล้ว เมื่อเขาเห็นภาพอย่างเดียวกันนี้ ก็รู้สึกปั่นป่วนเป็นอย่างมาก
เขามองออก คล้ายกับซูอี้เคยรู้จักกับ ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ ที่อยู่อีกด้านของระลอกคลื่นสีเลือด และยังได้เปรียบอีกด้วย!
“ครึ่งปีแล้ว ก็ยังเป็นขยะอยู่ ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกผีที่ทนการโจมตีไม่ได้ ถึงได้ใช้พลังของหยกรวบรวมหยินเพื่อค้นหาเด็กชายเด็กหญิงอย่างยากลำบาก ที่แท้ก็มีอสูรร้ายไร้อนาคตเช่นเจ้ายุยงอยู่เบื้องหลังนี่เอง”
ซูอี้ส่ายหน้า ในน้ำเสียงมีความเหยียดหยาม ดูถูก และผิดหวังเล็กน้อย
ครืน
จู่ ๆ ระลอกคลื่นสีเลือดปั่นป่วนรุนแรงขึ้น
จากนั้น น้ำเสียงที่น่าเกรงขามของท่านเทพแห่งความกรุณาดังขึ้นมา “ไอ้แซ่ซู! ไอ้บ้านี่จะไม่จบใช่ไหม?!”
คล้ายกับเขาโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด เดือดดาลราวกับไฟเผาไหม้ และเริ่มด่าอย่างรุนแรง
“หากไม่ใช่เพราะข้าผู้นี้ถูกกักขังอยู่ถ้ำโลหิตหมิงหลิง คงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว@#¥%…”
คำหยาบมากมายถูกพ่นออกมาจากส่วนลึกของระลอกคลื่นสีเลือดอย่างต่อเนื่องราวกับหัวฉีด