บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 409 ชิงหยา
ตอนที่ 409: ชิงหยา
ตอนที่ 409: ชิงหยา
ซูอี้ลุกขึ้น สะบัดชายเสื้อและไปจากที่แห่งนี้
ฟ้าสว่างมากแล้ว เขาฝูเซียนในรุ่งเช้า มวลเมฆทอแสง สรรพสิ่งเปล่งประกาย ท่ามกลางเทือกเขาแห่งนี้ พืชพรรณเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
วัดเทพเจ้าเขาที่สร้างอยู่ตรงไหล่เขากลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
ซูอี้ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเหล่านั้น มือกำยันต์ กวาดสายตามองรอบ ๆ ก่อนสงบจิตเพื่อจับสัมผัส
นี่คือยันต์ลับจูงวิญญาณ
หยวนเหิงมียันต์นี้ติดตัวเช่นกัน ไม่ว่าไปที่ใด ก็จะหลงเหลือพลังอันเป็นเอกลักษณ์ไว้
ขอเพียงซูอี้มียันต์อีกแผ่นในมือ ก็จะตรวจจับพลังนี้ได้
ในไม่ช้า เมื่อสายตาของซูอี้ทอดมองทิศตะวันออกของเขาฝูเซียน ร่างของเขาวูบไหว จากนั้นจึงกระโจนไปด้านหน้า
……
ในพื้นที่ราบท่ามกลางภูเขาแห่งหนึ่ง
ผิวดินยุบลง หินผารอบข้างถล่ม ต้นไม้ใบหญ้าเหลือเพียงเถ้าถ่าน
เป็นร่องรอยจากการต่อสู้
“ท่านอาจารย์ แม้ว่าเจ้านั่นจะมีไอปีศาจติดตัวหนาแน่น ทว่าปราศจากลมปราณดุร้าย ถึงจะเป็นปีศาจ ก็คงเป็นปีศาจมีเมตตากระมัง?”
ชิงหยาถามเสียงใส
หญิงสาวดูมีอายุอานามราว ๆ สิบหกสิบเจ็ด รูปร่างอรชร ผอมเพรียวสง่า สวมชุดคลุมเต๋า ผมเงางามเกล้าเป็นมวย แบกดาบโบราณไว้ที่หลัง หน้าตาน่ารักสะอาดสะอ้าน
“คงไม่ถึงขั้นมีเมตตาหรอก อย่างไรก็เป็นผู้ฝึกปีศาจ”
หลิงอวิ๋นเหอเอ่ยเสียงแผ่ว “แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะอธิบายว่าเด็กพวกนั้นถูกเขาและนายท่านของเขาช่วยเหลือไว้ ทว่าท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็ยังมีพิรุธอยู่ รอให้ได้พบนายท่านที่เขากล่าวถึงก่อนเถิด บางทีความจริงอาจเปิดเผย”
เขาเองก็สวมชุดคลุมเต๋าเช่นกัน ผมยาวเกล้าเป็นมวย รูปร่างสูงโปร่ง เครายาวพลิ้วไสวอยู่ใต้คาง ดูสง่างามเหนือมวลมนุษย์
ชิงหยากะพริบตาโตใสสกาว “ผู้ฝึกปีศาจที่ก้าวสู้เส้นทางวิถีต้นกำเนิด ซ้ำยังยกย่องมนุษย์เป็นนายท่าน เช่นนี้นายท่านของเขาคงเก่งกาจมากกระมัง?”
“เจ้าช่างเป็นหญิงสาวมากคำถามจริง ๆ”
หลิงอวิ๋นเหอหัวเราะ สายตาเปี่ยมด้วยความเอ็นดู “นายท่านของเขาเก่งหรือไม่ ต้องรอให้ได้พบก่อนจึงจะทราบได้”
ชิงหยาพยักหน้า ตอบอืมมาหนึ่งคำ แล้วหันไปมองที่ไกล ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงใส “สหายเต๋า ข้าและท่านอาจารย์ของข้าไม่ต้องการทำให้เจ้าลำบาก ขอเพียงได้พบนายท่านของเจ้า พิสูจน์ได้ว่าเจ้าบริสุทธิ์ พวกเราย่อมปล่อยเจ้าไป”
บนท้องฟ้าไกล ๆ ดาบวิถีสี่เล่มลอยให้เห็นอยู่โต้ง ๆ เรียงกันคล้ายค่ายกลสี่เอกลักษณ์ แผ่ซ่านลมปราณดุดันชวนตะลึงออกมา
หยวนเหิงในร่างมนุษย์ถูกพันธนาการอยู่ใต้ค่ายกลดาบแห่งนี้ ทางถอยทุกทางถูกปิดตายหมดแล้ว ประดุจสัตว์ร้ายที่ถูกพันธนาการ
“หากนายท่านของข้ามา เกรงว่าเจ้าและท่านอาจารย์ของเจ้าจะมีเคราะห์ร้าย”
หยวนเหิงถอนหายใจเบา ๆ
เมื่อพูดถึงเคราะห์ร้าย ระหว่างทางที่เขาไปส่งพวกเด็ก ๆ กลับบ้าน ได้บังเอิญเจอกับอาจารย์ศิษย์คู่นี้เข้าพอดี
…โดยไม่ยอมให้เขาอธิบายใด ๆ อีกฝ่ายก็พลันมองตนเป็นพวกปีศาจมารนอกรีต ก่อนออกแรงโจมตีดุเดือด!
หยวนเหิงพร่ำอธิบาย อาจารย์ศิษย์คู่นั้นเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง ทว่าไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ
แต่อาจารย์ศิษย์คู่นี้หาใช่พวกเลวทราม เพียงแต่กักตัวเขาไว้เท่านั้น มิมีท่าทีทำร้ายแต่อย่างใด
ทำให้หยวนเหิงก็โกรธไม่ลง
ข้อแรก เขามีความสามารถไม่สู้อีกฝ่าย โทษใครไม่ได้
ข้อสอง เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายก็แสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างมาก ยอมรอจนซูอี้มาถึง แล้วจึงค่อยคลายปมเรื่องเข้าใจผิดนี้
หยวนเหิงได้แต่ก้มหน้ารับความโชคร้าย
“ได้ยินเจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ หมายความว่านายท่านของเจ้าเก่งกาจนักหรือ?”
ชิงหยาถามด้วยความใคร่รู้ “เช่นนั้นเจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ว่าพลังของเขาสูงส่งเพียงใด”
หญิงสาวผู้นี้ร่าเริงแจ่มใส ซื่อบริสุทธิ์ ราวกับสรรพสิ่งใด ๆ บนโลกล้วนกระตุ้นต่อมอยากรู้ของนางได้หมด
หยวนเหิงครุ่นคิด หน้าตาฉายแววปลาบปลื้มระคนนับถือยำเกรง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นายท่านของข้า เขา…. ควรจะเป็นเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ มิควรอยู่ในโลกสามัญแห่งนี้ พลังวิถีและสติปัญญาของนายท่านก็หาใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนในโลกแห่งนี้เปรียบเทียบได้ไม่ หากจะให้พรรณนาว่าเก่งกาจเพียงใด ข้าบอกได้เพียง ‘ลึกล้ำเกินหยั่ง’”
ตาคู่งามของชิงหยาเบิกกว้าง เอ่ยด้วยความตื่นตาตื่นใจ “เทพเซียนบนสรวงสวรรค์? ถ้าเช่นนั้นจะเก่งกาจเกินไปแล้ว!”
ห่างออกไปไม่ไกล หลิงอวิ๋นเหออดหัวเราะไม่ได้ “โลกนี้มีเทพเซียนที่ไหนกันเล่า ชิงหยา เจ้าอย่าได้ฟังวาจาเหลวไหลของเขา สิ่งที่เขาพูดอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงวาจาชื่นชมที่มีต่อนายท่านของเขาเท่านั้น”
ชิงหยาร้องอ้อ ก่อนจะหัวเราะคิกคัก “จริงด้วย ถ้าในโลกนี้มีเทพเซียนจริง ๆ ข้าเองก็มีโอกาสได้เป็นนางเซียนน้อยมิใช่หรือ?”
หยวนเหิงที่เห็นอย่างนั้น เขาก็ส่ายหน้าไม่พูดสิ่งใด
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ พูดไปก็เปล่าประโยชน์
ทว่าชิงหยากลับอยากรู้อยากเห็นขึ้นเรื่อย ๆ “สหายเต๋า ในเมื่อนายท่านของเจ้าเก่งกาจเพียงนั้น เหตุใดเจ้ายังสู้ท่านอาจารย์ของข้าไม่ได้เล่า?”
หยวนเหิง “…”
เขาเชิดสายตามองหลิงอวิ๋นเหอไกล ๆ พร้อมรำพึงในใจ “ข้าเพิ่งบรรลุขอบเขตไร้เบญจธัญ จะให้เป็นคู่มือของตาเฒ่าขอบเขตรวบรวมดาราได้อย่างไรกัน?”
หยวนเหิงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “แม่สาวน้อย ถึงแม้พลังของข้าไม่น่าชมนัก แต่ก็เป็นสาเหตุจากพรสวรรค์ต่ำต้อยของข้า หาได้เกี่ยวข้องกับนายท่านข้า นอกจากนี้ ข้าปฏิบัติหน้าที่ติดตามนายท่านมาจนถึงบัดนี้ยังผ่านไปไม่ถึงเดือนเลย”
“แบบนี้นี่เอง”
ชิงหยาพยักหน้า ก่อนจะปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “สหายเต๋า เจ้าอย่าได้ดูถูกตนเองมากไป ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ของข้าได้บอกไว้แล้ว แม้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกปีศาจ แต่รากแก่นในพลังวิถีมั่นคงยิ่ง มิใช่ระดับที่ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญทั่วไปเทียบชั้นได้ มิหนำซ้ำ วิชาที่เจ้าฝึกฝนเห็นทีคงเป็นวิชาที่ลึกล้ำยิ่ง ความสำเร็จในวันหน้าย่อมไร้ขอบเขตอยู่แล้ว”
ห่างออกไปไม่ไกล หลิงอวิ๋นเหอมิได้คัดค้าน
ที่ประมือกับหยวนเหิงก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกได้ว่าความสามารถและระดับพลังของอีกฝ่ายไม่ธรรมดา มิใช่ระดับที่ผู้ฝึกปีศาจดาด ๆ จะเทียบได้
ผนวกกับหยวนเหิงอ้างว่าตนยังมี ‘นายท่าน’ อีกคนอยู่ เป็นผลให้หลิงอวิ๋นเหอมิกล้าล่วงเกิน ท้ายสุดในตอนที่ลงมือ เขาจึงเพียงแค่พันธนาการหยวนเหิงไว้เท่านั้น มิได้ทำร้ายให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแต่อย่างใด
“อย่างนั้นหรือ เฮ้อ แต่ถ้านายท่านได้เห็นข้าในสภาพนี้ น่ากลัวว่าจะผิดหวังในตัวข้า…”
หยวนเหิงถอนหายใจ
ชิงหยามีท่าทีเห็นใจ พร้อมเอ่ยขึ้น “สมัยข้าฝึกฝน ก็กลัวทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังที่สุด ข้าเข้าใจความรู้สึกดี มันแย่มาก ๆ”
หยวนเหิงผงะ
ไม่รอให้เขาเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ชิงหยาหันไปและเอ่ยขึ้นมา “ท่านอาจารย์ เราปล่อยเขาได้หรือไม่ เขาโดนขังไว้เช่นนี้ ถ้านายท่านเขาเห็นเข้า ต้องตำหนิเขาเป็นแน่”
หยวนเหิงไม่รู้ควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่ตัวเองต้องให้หญิงสาวคนหนึ่งเห็นใจตั้งแต่เมื่อใด?
“ก็ได้”
หลิงอวิ๋นเหอพยักหน้า สะบัดแขนเสื้อ
ค่ายกลที่ตั้งขึ้นด้วยดาบวิถีสี่เล่มโผหายไปในแขนเสื้อของเขาดุจนกนางแอ่นบินกลับรัง
ที่จริงเมื่อชั่วครู่ที่ผ่านมา หลิงอวิ๋นเหอก็ดูออกว่า ด้วยนิสัยใจคอและท่าทีที่หยวนเหิงแสดงออกมา เขามิใช่คนชั่วช้าแต่อย่างใด
หรือพูดอีกอย่างคือ เรื่องบาดหมางก่อนหน้าเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ
“สหายเต๋า หากก่อนหน้านี้ข้าล่วงเกินเจ้าไป โปรดอภัยให้ด้วย”
หลิงอวิ๋นเหอประสานมือ
หยวนเหิงเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ถึงขั้นล่วงเกินหรอก แต่วันนี้เมื่อพลังของข้าก้าวหน้าขึ้น ข้าจักมาท้าดวลกับเจ้าอีกครา มาดูว่าผู้ใดเก่งกาจกว่ากัน!”
ชิงหยาตาเป็นประกาย ยกนิ้วโป้งขึ้น “สหายเต๋า กล้าหาญยิ่ง!”
หลิงอวิ๋นเหอกลับหัวเราะ “หากกล่าวถึงการท้าดวล ข้าย่อมยินดีอย่างยิ่ง แต่ทว่า กว่าสหายเต๋าจะก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดารา ผลการฝึกของข้าคงไปไกลกว่านั้นแล้ว”
สามขอบเขตแห่งวิถีต้นกำเนิด ได้แก่ ขอบเขตไร้เบญจธัญ ขอบเขตเปิดทวาร ขอบเขตรวบรวมดารา
ความหมายแฝงของหลินอวิ๋นเหอคือ มีแต่ตอนที่เจ้าก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดารา จึงจะมีสิทธิ์งัดกับข้า
แต่กว่าเจ้าจะก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดาราจริง ๆ เกรงว่าข้าคงอยู่ในวิถีวิญญาณแล้ว ถึงเวลานั้น ผลแพ้ชนะมองปราดเดียวก็ออก
หยวนเหิงย่อมฟังความหมายที่แฝงไว้ออก
แต่ไม่รอให้เขาปริปาก เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกล ๆ “มิจำเป็นต้องรอถึงขอบเขตรวบรวมดารา ขอเพียงหยวนเหิงก้าวสู่ขอบเขตเปิดทวาร ก็ชนะได้สบาย”
คล้อยตามเสียงนั้น ท่ามกลางแสงอรุณไกล ๆ ร่างสูงผอมบางร่างหนึ่งกระโจนเข้ามา
ชุดเขียวดั่งหยก สะอาดสะอ้านเหนือปวงชน
ซูอี้นั่นเอง!
ตัวหยวนเหิงสะดุ้ง หน้าตาฉายอารมณ์ละอาย ก้มหน้าทำความเคารพ “นายท่าน! ข้า…”
“ไม่ต้องอธิบาย ข้าเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า”
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว
ตากลมโตของชิงหยาทอดมองซูอี้ทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยความทึ่ง “สหายเต๋า นี่หรือนายท่านของเจ้า? ดูอายุน้อยจัง!”
ขณะเดียวกัน หลิงอวิ๋นเหอก็ตกใจเช่นกัน นัยน์ตาวาวโรจน์ขึ้นเล็กน้อยขณะมองซูอี้ “เมื่อครู่สหายเต๋าท่านนี้อยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ?”
“ถ้ามิใช่เพราะเจ้าเป็นฝ่ายถอนค่ายกลดาบเมื่อครู่ออกไปเอง เกรงว่าบัดนี้เจ้าคงไม่มีโอกาสยืนคุยกับข้าอยู่ตรงนี้”
ซูอี้เอ่ยด้วยความนิ่งเฉย
รูม่านตาหลิงอวิ๋นเหอหดลงเล็กน้อย หน้าตาตะลึงระคนกังขา
เขามองปราดเดียวก็ออก พลังในตัวซูอี้อยู่ขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น และอายุน้อยมากอีกด้วย มิใช่ปีศาจเฒ่าที่มีวิชารักษารูปโฉมแต่อย่างใด
ทว่าเมื่อครู่ ด้วยจิตสัมผัสขอบเขตรวบรวมดาราอย่างเขา กลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย และเป็นอีกฝ่ายที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ สิ่งนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว!
และด้วยเหตุนี้ แม้ว่าตอนนี้คำพูดของซูอี้เสียดหูเหลือเกิน หลิงอวิ๋นเหอกลับไม่โกรธแต่อย่างใด
ผนวกกับเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ก็เกิดจากตัวเขาเอง ทำให้เมื่อต้องเผชิญกับซูอี้จึงรู้สึกผิด ต่อให้วาจาของซูอี้ไร้มารยาท เขาก็ได้แต่ยอมรับไว้
“นายท่าน เรื่องก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดขอรับ”
หยวนเหิงก้าวไปด้านหน้า เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ซูอี้ฟังด้วยจิตใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
ฟังจบ ซูอี้หันมองหลิงอวิ๋นเหอ พร้อมกล่าว “ช่างเถิด ข้าไม่ถือสาเรื่องนี้กับพวกเจ้า เราจบกันเท่านี้”
หลิงอวิ๋นเหอเอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่ว่าอย่างไรข้าเองเป็นฝ่ายเข้าใจผิด หากทั้งสองท่านไม่รังเกียจ มิสู้ร่วมเดินทางไปยัง ‘เมืองอวิ๋นหยา’ ที่ห่างออกไปไม่ไกล ให้ข้าเป็นฝ่ายเลี้ยงเหล้าพวกเจ้าเพื่อไถ่โทษดีหรือไม่?”
ชิงหยาเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี “ใช่ ๆ ข้ากับท่านอาจารย์เดินทางมาจากอาณาจักรต้าฉี อุตส่าห์ได้พบสหายร่วมวิถีเต๋าด้วยกันถึงสองคน ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าร่วมวงสุราและสนทนากันแล้ว”
ซูอี้เหลือบมองชิงหยาแล้วอดชะงักไม่ได้ สายตาพร่าเลือนไปเล็กน้อย
เมื่อได้มองในระยะใกล้แล้ว ทั้งรูปโฉมและบุคลิกของเด็กสาวผู้นี้คล้ายคลึงกับชิงถัง ลูกศิษย์ของเขาในชาติก่อนนัก!
น่ารักสดใสและร่าเริงเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะตาคู่นั้น สะอาดและใสสกาว เต็มไปด้วยความใคร่รู้ต่อสรรพสิ่งในฟ้าดินผืนนี้
จากนั้น ซูอี้ก็ส่ายหน้ากับตัวเอง
แม้จะมีส่วนคล้าย ทว่าหาใช่คนเดียวกัน
“ไม่จำเป็น พวกเรายังต้องเดินทางกันต่อ”
ซูอี้ปฏิเสธทันที
ชิงหยารู้สึกผิดหวังนิดหน่อย
หลิงอวิ๋นเหอกลับถามขึ้นฉับพลัน “ทั้งสองท่าน… ต้องการเดินทางไปต้าเซี่ยใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ซูอี้พยักหน้า
ส่วนชิงหยาที่ผิดหวังในทีแรก ก็ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเบิกบาน “บังเอิญจริง ข้ากับท่านอาจารย์ก็จะไปต้าเซี่ยเหมือนกัน พวกเราร่วมทางกันได้แน่นอน!”