บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 41 เมื่อยินยอมร่วม ไยจึงไม่ควร
ตอนที่ 41 เมื่อยินยอมร่วม ไยจึงไม่ควร
เหล่าทหารประจำจวนเจ้าเมืองก้าวออกมา สายตาล้วนจับจ้องเหวินฉางชิง
เหวินฉางชิงแน่นอนสัมผัสได้ถึงความผิดวิสัย จึงเริ่มแสดงท่าทีตื่นตระหนก
“ผู้บัญชาการเนี่ย ท่านสัมพันธ์ใกล้ชิดตระกูลเหวิน ดังนั้นย่อมรู้แก่ใจดีว่าข้า เหวินฉางชิงไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้า!”
เหวินฉางชิงสูดหายใจลึก กล่าวคำหนักแน่น “เมื่อครู่ข้าแค่ใจร้อนรนทนไม่ไหวเพราะความสูญเสีย ข้าจึงพูดจาเลอะเลือน ได้โปรดเข้าใจข้าด้วยเถิด ผู้บัญชาการเนี่ย!”
เนี่ยเป่ยหู่นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “น้องฉางชิง หากเจ้าต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ ง่ายดายนัก เพียงทำสิ่งเดียว”
“สิ่งใดกัน?” เหวินฉางชิงถาม
“ใช้อำนาจของตระกูลเหวินร่วมมือกับจวนเจ้าเมือง สืบเบาะแสเรื่องอู๋รั่วชิว เราจะปล่อยให้คนชั่วช้าเช่นนั้นนำพาความเดือดร้อนมาให้ชาวเมืองมิได้เด็ดขาด ข้าเชื่อว่าท่านเจ้าเมืองต้องการเช่นนี้ไม่ต่างกัน” วาจาเนี่ยเป่ยหู่ดังก้องกังวาน
“นั่นไม่มีปัญหาเลย!”
เหวินฉางชิงไม่รีรอ ความเคืองแค้นฉายชัดบนสีหน้า กัดฟันกล่าว “เขาฆ่าลูกข้า ข้าแทบรอฉีกเนื้อแล่หนังของเขาไม่ได้ วางใจเถิด เรื่องการสืบสวนอู๋รั่วชิวและพรรคพวกของมัน ตระกูลเหวินของข้าจะรับผิดชอบเอง!”
เมื่อได้รับคำตอบนี้ ท่าทีขึงขังของเนี่ยเป่ยหู่ผ่อนลง ก่อนจะโบกมือให้คนใต้บัญชาการถอยกลับไป และเอ่ยคำ “น้องฉางชิง ข้ามีคำหนึ่งที่ไม่รู้ว่าสมควรพูดดีหรือไม่”
เหวินฉางชิงตอบรับ “ผู้บัญชาการเนี่ยโปรดเอ่ยให้ชัดเจนเถิด”
“เจ้ารู้ว่าบ้านหลังนี้อันตราย ทว่าไม่เตือนคุณชายซู หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะถูกติฉินนินทาได้!”
เนี่ยเป่ยหู่บอก “คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคงนึกว่าตระกูลเหวินของเจ้าต้องการใช้วิธีนี้ในการกำจัดคุณชายซู”
เหวินฉางชิงหน้าเปลี่ยนสี เขาเร่งรีบว่าปฏิเสธ “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร? ข้า เหวินฉางชิงไม่ใช่คนที่ไร้ยางอายถึงขนาดทำเรื่องเลวช้าสามานย์เช่นนั้นได้!”
เนี่ยเป่ยหู่เตือนด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าจะรายงานทุกคำพูดของเจ้าแก่ท่านเจ้าเมืองฟู่ซาน นอกจากนี้ข้าขอพูดเสียมารยาท ต่อไปหากมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในระหว่างที่คุณชายซูอยู่ที่นี่ ตระกูลเหวินจะไม่มีทางรอดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยลำดับแรกไปได้!”
เหวินฉางชิงมุมปากกระตุก ฝืนยิ้มเจื่อน กล่าวตอบรับ “ไม่ต้องเป็นกังวล ผู้บัญชาการเนี่ย”
เนี่ยเป่ยหู่พยักหน้า จากนั้นหันกลับไปมองซูอี้อย่างเรียบเฉย ก่อนโบกมือ “เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน”
เขากลับไปพร้อมกับกลุ่มทหารของจวนเจ้าเมือง
เหวินฉางชิงยืนเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพลันหันมามองซูอี้ ท่าทางทมึงถึงกราดเกรี้ยว ถามเสียงแข็ง “เล่ามาเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้น!”
ซูอี้ตอบอย่างใจเย็น “บุตรชายท่านมาที่นี่ก่อนข้าจะกลับมาเป็นชั่วยาม ข้าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร? อันที่จริง ข้าเองก็อยากจะถามเจ้าเช่นกัน ข้าเป็นผู้ดูแลสำนักแพทย์ซิ่งเหอแล้ว เหตุใดบุตรชายเจ้าจึงมาที่นี่?”
เหวินฉางชิงหน้าเสียไปชั่วขณะ
คำกล่าวนี้มีเหตุผลและทำให้เขาไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีก
เขายกมือชี้หน้าซูอี้ด้วยความเย่อหยิ่ง เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ข้าต้องรู้แจ้งเรื่องนี้ให้ได้! อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เชียว!”
สิ้นคำจึงหันหลังกลับไปพร้อมผู้ติดตาม
เมื่อเห็นร่างลับตาไป หวงเฉียนจวินกล่าวชื่มชม “วิธีการของผู้บัญชาการเนี่ยช่างน่าเกรงขาม!”
ซูอี้เหลือบมองเขา กล่าวคำ “ถึงอย่างไรการใช้อำนาจและแผนสมคบคิดยังคงมีร่องรอย หากมีผู้มีฝีมือแก่กล้ามาที่นี่และใช้เคล็ดวิชาลับสืบเสาะ คงสามารถคาดเดาเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นได้”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ซูอี้เกรงว่าหวงเฉียนจวินจะไม่เข้าใจจึงว่าสำทับ “หากเจ้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นในภายภาคหน้า เจ้าจะเอาแต่ทำตามใจตนไม่ได้”
หวงเฉียนจวินชะงักก่อนเอ่ยแข็งขัน “ถูกของพี่ซู!”
เขาปลาบปลื้มใจนัก พี่ซูสั่งสอนตักเตือนเขา! ช่างเป็นมงคลเหลือเกิน!
“รุ่งเช้าพรุ่งนี้เจ้าไปรอข้าที่ป่าหม่อนที่อยู่ห่างไปสิบลี้ทางเหนือของแม่น้ำต้าฉางนอกเมือง” ซูอี้ออกคำสั่งและหันหลังเดินกลับเข้าห้องไป
สำหรับเขาทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นล้วนไร้แก่นสารและไม่ควรค่าแก่การใส่ใจแม้แต่น้อย
“ริมแม่น้ำต้าฉางนอกเมือง? ป่าหม่อน? พี่ซูจะทำอะไรกัน?”
หวงเฉียนจวินงุนงง ก่อนพลันสะบัดศีรษะไม่คิดมากอีก รีบเดินทางกลับ
เขาฆ่าเหวินเจี้ยหยวนด้วยมือตน จำเป็นต้องแจ้งให้หวงอวิ๋นชงพ่อของเขาทราบเรื่องโดยด่วน
บ้านพักหลังสำนักแพทย์นี้ถูกซ่อมแซมปรับปรุงจนน่าอยู่เงียบสงบ
แสงอาทิตย์ส่องผ่านร่มไม้ กิ่งไม้ต้นแคฝรั่งคล้ายร่มคันใหญ่ บดบังแสงแดดทั่วบริเวณบ้าน
หวงเฉียนจวินกลับไปไม่นาน หูเฉวียน อู๋กว่างปิน และคนอื่น ๆ จากสำนักแพทย์แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน เมื่อเห็นซูอี้ปลอดภัยดี พวกเขานึกโล่งใจทยอยก่อนกลับไปทีละคน
ภายในห้อง
ซูอี้นั่งสบายอารมณ์ข้างโต๊ะ ถือดาบสุดแดนดินไว้ตรงหน้า เฝ้ามองมันอย่างเงียบงัน
บัดนี้ดาบได้คร่าชีวิตผู้คนไปแปดคน ตัวดาบสีนิล กลับยังคงเงาวับไม่เปรอะเปื้อนคราบเลือด ทว่าคมดาบนั้นปรากฏร่องรอยความร้ายกาจ
“ถึงอย่างไรดาบนี้ก็ยังไม่ใช่ศาสตราวิญญาณ มีช่องว่างในการเติบโตและพัฒนาน้อยนัก แต่การนำมาใช้แก้ขัดไปก่อนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็พอไหว”
ซูอีวางดาบลงหลังจากนั้น หันไปมองน้ำเต้าเก็บวิญญาณที่แขวนไว้ข้างโต๊ะ
คล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของซูอี้ เสียงแผ่วเบาของชิงหว่านดังลอดออกมาจากน้ำเต้า
“ท่านปรมาจารย์ ท่าน…ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่เจ้าคะ?” เสียงที่ได้ยินนุ่มนวลชวนอ่อนใจ อ่อนหวานราวใบไม้ผลิดังขึ้น
“ออกมาเถิด ข้ามีเรื่องพูดคุยกับเจ้า”
ซูอี้เคาะโต๊ะเบา ๆ มีวิธีที่จะจัดการกับเรื่องของชิงหว่านแล้ว
กลุ่มควันสีขาวล่องลอยออกมาจากน้ำเต้า ร่างชดช้อยของชิวหว่านปรากฏขึ้น
รูปลักษณ์ของนางตราตรึงใจในชุดสีแดงชาด
ดวงตากลมโตบนใบหน้างดงามของเด็กสาวฉายแววสั่นระริก ก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างหวาดกลัว
ซูอี้เอ่ยขึ้น “ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง ทางแรก เมื่อข้าสำเร็จวิถีต้นกำเนิด ข้าจะช่วยปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ”
มือชิงหว่านกำชายเสื้อผ้าตนแน่น ถามเสียงค่อย “หนทางที่สองเล่าเจ้าคะ?”
“หนทางที่สองง่ายดายนัก เจ้ากับข้ามาทำข้อตกลงกัน”
ซูอี้ลูบคางพลางมองหน้านาง “ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้เจ้า เจ้าจะได้เข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะของภูตผี แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง”
“ท่านต้องการให้ข้าสัญญาอะไรหรือเจ้าคะ?” นางเงยหน้า ใบหน้าอวบอิ่มพอเหมาะงดงามเต็มเปี่ยมความคาดหวัง
ซูอี้ตอบกลับเสียงเรียบ “เจ้าจะต้องสละตนเป็นเตาหลอมให้ข้า และเมื่อใดที่ข้าเข้าสู่ขั้นวิถีที่สาม หรือก็คือวิถีวิญญาณ เจ้าจะต้องมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรให้กับข้าด้วย”
การฝึกตนมีอยู่สี่ลำดับขั้น หนึ่งคือวิถียุทธ์ สองคือวิถีต้นกำเนิด สามคือวิถีวิญญาณ และสี่คือวิถีลึกล้ำ
แต่ละวิถีมีหลากหลายขอบเขต
ในวิถีวิญญาณ มีอยู่สามขอบเขต
ในบรรดาขอบเขตทั้งสาม ขอบเขตแรกเรียกว่า ‘แปรเปลี่ยนวิญญาณ’
เพื่อก้าวผ่านขอบเขตดังกล่าว ผู้บ่มเพาะจำเป็นต้องแปรสภาพพลังงานของตัวเองโดยการผสานหยินและหยางเกิดเป็น ‘ต้นกำเนิดวิญญาณ’
จากประสบการณ์การฝึกตนในชาติก่อนของซูอี้ หากเขาต้องการแข็งแกร่งกว่าชาติที่แล้ว เมื่อถึงขอบเขต ‘แปรเปลี่ยนวิญญาณ’ การเลือกใช้วิธี ‘บำเพ็ญเพียรแบบคู่’ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แน่นอนว่าแม้ไม่ทำเช่นนั้น ซูอี้ก็ย่อมมีหนทางอื่นเช่นกัน เพียงแต่ต้องใช้ความพยายามและมองหาโอกาสมากขึ้นกว่าเดิม
“ป…เป็น…คู่บำเพ็ญเพียรหรือเจ้าคะ?”
ชิงหว่านเริ่มเอ่ยตะกุกตะกัก สีหน้าซีดขาวโปร่งใสพลันแดงระเรื่อราวถูกไฟลน
ขนตากระพือแผ่วเบา ก้มหน้าแทบจมอก ท่าทางเขินอายเกินทน
ทว่าซูอี้กลับดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นต่อเสียงเรียบ “ใช่ หากเจ้าตกลง เมื่อถึงเวลาข้าจะสอนยอดวิธีการบำเพ็ญเพียรคู่ให้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่สูญเสียสิ่งใดเลย เจ้ายังจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก”
ซูอี้เงียบไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยคำต่อ “แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ต้องการเช่นนั้น เจ้าสามารถปฏิเสธข้าได้ ข้าไม่เอาเปรียบผีตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าหรอก”
หากเป็นในชาติก่อน ถ้าเขาเอ่ยว่าต้องการหาคู่บำเพ็ญเพียร เกรงว่าเหล่าเทพธิดาหรือบุตรีสวรรค์ทั้งหลายคงมาเสนอตัวถึงหน้าตำหนักราวแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
การได้ฝึกตนกับซูเสวียนจวินอย่างเขา นับเป็นพรแสนประเสริฐสำหรับสตรีผู้ฝักใฝ่ในเส้นทางแห่งการฝึกฝน
ซูอี้ไม่สนใจว่าชิงหว่านจะเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่
อย่างไรเสียเขายังห่างไกลจากการฝึกในขอบเขต ‘แปรเปลี่ยนวิญญาณ’
“เจ้าไม่ต้องรีบให้คำตอบข้าก็ได้” ซูอี้ว่าพลางลุกขึ้นจะเดินออกไป
ชิงหว่านมีท่าทีประหม่า “ท่านปรมาจารย์ หว่านเอ๋อร์… หว่านเอ๋อร์ตัดสินใจได้แล้ว”
“โอ้?” ซูอี้เลิกคิ้วขณะถามขึ้น “เจ้าเลือกทางใดเล่า?”
“ทางที่สองเจ้าค่ะ…”
สุ้มเสียงนางเล็กอู้อี้ไม่ต่างกับเสียงแมลง แทบฟังไม่ได้ยิน สีหน้าแดงก่ำดั่งไฟ ไม่กล้าสบตาซูอี้
ซูอี้ไม่เข้าใจนัก นางเป็นเพียงแค่ผี เหตุใดจึงเขินอายเพียงนี้?
เมื่อครุ่นคิดแล้วจึงกล่าว “เมื่อเจ้าเลือกแล้ว จะกลับตัวไม่ได้อีก เข้าใจหรือไม่?”
ชิงหว่านใจเต้นระรัว เผยท่าทีหวั่นใจชัด แต่หลังจากสูดหายใจลึกหลายครั้ง นางตอบอย่างเหนียมอาย “หว่านเอ๋อร์เข้าใจเจ้าค่ะ”
ซูอี้ว่าสำทับ “แม้ข้าจะถ่ายทอดวิชาและสั่งสอนการฝึกตนให้เจ้า แต่เจ้าไม่ถือเป็นศิษย์ของข้า และเจ้าห้ามทำตัวเป็นศิษย์ของข้าเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
“หว่านเอ๋อร์เข้าใจเจ้าค่ะ” ชิงหว่านพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
ซูอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนว่าเสริม “แม้ต่อไปเจ้าและข้าจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกัน ทว่าเจ้าหาใช่ภรรยาหรือคนรักของข้าไม่ ข้าไม่มีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
ชิงหว่านนิ่งงัน ตอบรับเสียงอ้อมแอ้ม “ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เจ้าค่ะ หว่านเอ๋อร์… ไม่กล้าเรียกร้องเรื่องนี้…”
ซูอี้พยักหน้าพึงพอใจ ออกปากบอก “ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดอีกวัน หากเจ้าไม่คิดเปลี่ยนใจ ข้าจะสอนการฝึกตนแก่เจ้า”
สิ้นคำจึงลุกขึ้นและเปิดประตูเดินออกไป
ได้เวลาเที่ยง เขาหิวและต้องหาอาหารเติมท้องเสียก่อน
ส่วนความคิดของผีสาวนั้น เขาคร้านจะใส่ใจ
มิใช่ว่าเขาใจดำหรือเลือดเย็น
ทว่าด้วยผ่านร้อนผ่านหนาวมานับแสนปีในชาติก่อน เขาเห็นนางเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะใช้ชีวิตมาเนิ่นนาน แต่เขาไม่เคยคิดใส่ใจเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงเลยสักครา