บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 410 พายเรือ ณ แม่น้ำเทียนหลานยามราตรี
ตอนที่ 410: พายเรือ ณ แม่น้ำเทียนหลานยามราตรี
ตอนที่ 410: พายเรือ ณ แม่น้ำเทียนหลานยามราตรี
ซูอี้ชำเลืองชิงหยาผู้กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ลงท้ายก็ปฏิเสธ และพาหยวนเหิงจากไปพร้อมกัน
ส่งผลให้ชิงหยาชะงักไปพักใหญ่
จนกระทั่งร่างของพวกซูอี้หายไปจากสายตาพวกเขา หญิงสาวผู้ร่าเริงแจ่มใสถึงได้สติ แววตาดูผิดหวังหม่นหมองขึ้นมา ก่อนจะพึมพำ “ท่านอาจารย์ พวกเขารังเกียจเราหรือ?”
หลิงอวิ๋นเหอรู้สึกสงสารขึ้นมาทันที และรีบปลอบประโลม “เป็นไปได้อย่างไรเล่า จากที่ข้ามอง เป็นเพราะนายท่านของผู้ฝึกปีศาจคนนั้นใจอคติ ไม่พอใจที่พวกเราเข้าใจผิดในตัวผู้ฝึกปีศาจก่อนหน้านี้ กอปรกับพวกเราพบปะกันเพียงผิวเผิน หาใช่ญาติโกโหติกา การที่อีกฝ่ายปฏิเสธร่วมทางกับเราก็เป็นเรื่องปกติ”
ชิงหยาร้องอืมหนึ่งคำ ทำท่าขบคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แบบนี้นี่เอง เฮ้อ ข้าก็นึกว่าฝึกฝนในวิถีแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างกำแพงเฉกเช่นปุถุชน มิเคยคิดเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกตนก็ซับซ้อนปานนี้เหมือนกัน”
หลิงอวิ๋นเหออดยิ้มเฝื่อน ๆ ไม่ได้ แบบนี้ยังเรียกว่าซับซ้อนอีกหรือ? เป็นเพราะแม่หนูอย่างเจ้าเพิ่งเคยลงจากเขาเป็นครั้งแรก จึงไร้เดียงสาเกินไปต่างหาก
เขาหยิบท้อไฟลูกแดงฉานอวบอิ่มออกจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้ชิงหยา “เอ้า กินอะไรหน่อย”
ชิงหยาไชโย คว้าท้อไฟมากัดกินคำโต ใบหน้าสะอาดสะอ้านเล็ก ๆ ของชิงหยาเปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมแสนสุข
นางพูดเสียงอู้อี้ “ไม่มีเรื่องราวใดในโลกนี้ที่แก้ไขด้วยลูกท้อไม่ได้ หากมี…”
“ก็กินอีกลูก” หลิงอวิ๋นเหอเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง
“ถูกต้อง!”
ชิงหยายิ้มตาหยีเป็นรูปพระจันทร์
หลิงอวิ๋นเหอคลี่ยิ้มเช่นกัน หน้าตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ลูกศิษย์ผู้นี้ของเขามีพรสวรรค์ในการฝึกฝนที่ล้ำเลิศชวนทึ่ง เปรียบดั่งปีศาจที่พบได้ในรอบพันปี
เมื่อครั้งอยู่อาณาจักรต้าฉี กวาดสายตามองคนรุ่นเดียวกันในใต้หล้า มิมีผู้ใดสู้นางได้
ตอนอยู่ในสำนัก ย้อนกลับไปแปดร้อยปียังไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
ทว่า สิ่งเดียวที่หลิงอวิ๋นเหอเป็นกังวลคือ ชิงหยามีนิสัยใสซื่อไร้เดียงสา ไม่เข้าใจในวิถีมนุษย์ ความโหดร้ายของจิตใจ ง่ายที่จะเสียเปรียบเมื่อออกพเนจรใต้เขา หรือกระทั่งได้รับอันตรายก็เป็นได้
อย่างเช่นหนนี้ที่เดินทางไปต้าเซี่ย หลิงอวิ๋นเหอก็วางใจไม่ลง จึงร่วมทางมากับชิงหยาด้วยตัวเอง
“ท่านอาจารย์ นายท่านของสหายผู้ฝึกปีศาจเมื่อครู่ เก่งกาจมากเลยจริง ๆ หรือ?”
ชิงหยาถามเสียงใส
“เก่ง”
หลิงอวิ๋นเหอไตร่ตรอง ก่อนจะตอบ “อย่างน้อยในด้านหล่อหลอมจิตวิญญาณ ก็เหนือกว่าพลังในตัวเขามาก”
พูดมาถึงตอนท้าย หน้าตาเขาก็ฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “อย่างเมื่อครู่ แม้แต่ข้ายังไม่รู้สึกตัวว่าเขาเข้าใกล้”
ชิงหยากะพริบตาปริบ ๆ อุทานอย่างตกใจ “ถ้าเช่นนั้นก็แกร่งกล้ามากจริง ๆ”
“ฮ่า ๆ รอให้พวกเราไปถึงต้าเซี่ย เจ้าจักรู้ว่าผู้คนเก่งกาจบนโลกนี้มีมากเพียงใด คนที่สุดยอดยิ่งกว่านายท่านของผู้ฝึกปีศาจตนนั้นมีอยู่ถมไป”
หลิงอวิ๋นเหอหัวเราะ
“อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นเรารีบเดินทางกันเถิด ท่านอาจารย์ ข้าเฝ้ารอชุมนุมมวลพฤกษาครั้งนี้มานานแล้ว”
ชิงหยาตาเป็นประกาย เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
สองอาจารย์ศิษย์ก็จากตรงนั้นออกไปเช่นกัน
…..
ฟ้าสว่าง
หมู่บ้านเฉาซี
เฉาอันตื่นแล้ว รู้สึกเพียงสบายไปทั้งตัว กระปรี้กระเปร่า นางลุกขึ้นและเดินออกจากประตูใหญ่
ก็ได้เห็นพี่ชายเฉาผิงยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูใหญ่ เงยหน้ามองคานเหนือประตูด้วยหน้าตาผงะ
เฉาอันเงยหน้ามอง ก็เห็นบนคานประตูมีกระดาษสีแดงแผ่นหนึ่งติดอยู่ มีตัวอักษรเขียนไว้บนนั้น
“ท่านพี่ อักษรพวกนั้นอ่านว่าอะไรหรือ?”
เฉาอันถามด้วยความอยากรู้
นางอายุน้อย ยังไม่เคยได้เข้าเรียน ไม่รู้จักตัวอักษรเหล่านั้น
“สงบสุขปลอดภัย”
เฉาผิงงึมงำ
“นี่คือสิ่งที่ท่านเทพเซียนผู้นั้นทิ้งไว้ให้เรา เมื่อครู่หลังจากข้าได้แปะอักษรนี้ขึ้นไปบนคานประตูแล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ ราวกับตระหนักรู้ได้ กระปรี้กระเปร่าไปหมด”
“สงบสุขปลอดภัย…”
เฉาอันอ่านตามเงียบ ๆ ก่อนจะเหมือนเพิ่งได้สติ และเอ่ยขึ้นด้วยความปีติ “ท่านพี่ชื่อเฉาผิง ข้าชื่อเฉาอัน รวมกันแล้วแปลว่าสงบสุข อักษรที่ท่านพี่เทพเซียนเขียนให้เป็นการอวยพรให้พวกเรามีชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย”
เฉาผิงตอบอืม ท่าทางปีติมากเช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน ตอนที่ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านเดินผ่านบ้านซอมซ่อหลังนี้ สายตาแต่ละคนต่างโดนกระดาษสีแดงที่แปะอยู่บนคานประตูดึงดูดอย่างอดไม่ได้
“ผู้ใดเขียนอักษรนี้ขึ้น? แค่ได้มองก็รู้สึกสบายใจแล้ว!”
คนแก่คนเฒ่าในหมู่บ้านชมไม่ขาดปาก
คนไม่น้อยพยักหน้าสำทับ อักษรเหล่านั้นดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับทำให้ผู้คนจิตใจสงบ เปี่ยมด้วยความยินดีได้
“เจ้าเด็กเฉาผิง ข้ายกหมูที่บ้านให้หนึ่งตัว เจ้ายกอักษรแผ่นนี้ให้ข้าเป็นอย่างไร?”
คนเชือดสัตว์ในหมู่บ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้าว เขาเข่นฆ่าเดรัจฉานมานานหลายปี ความดุดันแผ่ซ่านอบอวลอยู่รอบตัว อารมณ์ก็ร้ายขึ้นมาก
แต่เมื่อได้เห็นอักษรแผ่นนี้จากที่ไกล ๆ ภายในใจเขาก็รู้สึกสงบนิ่งขึ้นมาก และรู้สึกสบายไปทั้งตัว
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านพี่เทพเซียนทิ้งไว้ให้พวกข้า ไม่มีทางขายให้หรอก!”
เฉาอันกล่าวเสียงดัง
ฝูงชนอดขำไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านึกตลกเพราะเห็นคำพูดของเฉาอันเป็นคำพูดเด็ก ๆ ไม่นานนักก็ทยอยแยกตัวกันไป
ต่อให้อักษรแผ่นนั้นดีเพียงใด แต่สำหรับชาวบ้านอย่างพวกเขา มันย่อมเทียบไม่ได้กับทรัพยากรที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตอย่างข้าวยาปลาปิ้งหรอก
ทว่า ไม่มีใครคาดคิด นับแต่วันนั้น ชะตากรรมของสองพี่น้องผู้แร้นแค้นอย่างเฉาผิงและเฉาอัน กลับเปลี่ยนแปลงไปเงียบ ๆ
……
เวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ณ แม่น้ำเทียนหลานภายในอาณาจักรต้าฉู่
กลางดึก
ฝนตกพรำ ๆ
เรือลำหนึ่งลอยแล่นบนแม่น้ำอันไพศาล เม็ดฝนตกกระทบบนเพดานเรือ ส่งเสียงซ่า ๆ
ซูอี้นอนสบายอุราบนเก้าอี้เถาวัลย์ บนเตาดินแดงด้านข้าง มีสุรากาหนึ่งอุ่นไว้
ฝนตกพรำยามราตรี แม่น้ำส่งเสียงซ่า ๆ กลิ่นหอมสุราจาง ๆ ตลบอบอวลอยู่ในคลังเรือ ส่งผลให้จิตใจได้รับการชำระล้างและปลอบโยน
“แม้ว่า ‘ฝ่ามือเสวียนอู่สะท้านโลกา’ จะมีแค่เก้าท่า แต่ความเร้นลับที่เจืออยู่ในแต่ละท่านั้นเพียงพอให้ใช้ประโยชน์ไปตลอดชีวิต”
ซูอี้อยู่ในท่าทางเกียจคร้าน เพลิดเพลินอยู่กับแม่น้ำเทียนหลานที่มีฝนตกยามรัตติกาล ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ก่อนหน้านี้ ข้าได้อธิบายความเร้นลับของฝ่ามือพลิกภูผา ฝ่ามือย่ำสมุทร ฝ่ามือหมอบนภาให้เจ้าได้เข้าใจแล้ว หลังจากนี้ เจ้าต้องหมั่นเพียรฝึกฝนเอาเอง”
“ด้วยรากฐานของเจ้า หากเข้าใจความเร้นลับของสามกระบวนท่านี้ได้อย่างถ่องแท้ ฝึกฝนจนใช้ได้ตามอำเภอใจ ต่อให้มีพลังแค่ขอบเขตไร้เบญจธัญ ก็สามารถประมือกับเจ้าผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราที่มีนามว่าหลิงอวิ๋นเหอผู้นั้นได้สูสี”
พูดจบ ซูอี้ก็หิ้วกาสุราบนเตาดินแดงขึ้นมา รินให้ตัวเองเต็มแก้วก่อนจะดื่มเข้าไปจนหมด
หยวนเหิงตื้นตันใจ มือสั่นระริก
หลังออกจากเขาฝูเซียน ระหว่างทางซูอี้ได้คอยชี้แนะการฝึกฝ่ามือเสวียนอู่สะท้านโลกาแก่เขา จนบัดนี้ ได้ถ่ายทอดความเร้นลับของสามกระบวนท่าแรกให้หมดเปลือก
ด้วยสายตาของหยวนเหิง ย่อมมองออกว่าวิชาแขนงนี้น่าสะพรึงเพียงใด หาใช่สิ่งที่วิชาทั่วไปจะเทียบเทียม!
“ขอบพระคุณนายท่านที่ประทานวิชา!”
หยวนเหิงคุกเข่าคำนับขอบคุณ
ซูอี้เอ่ย “ลุกขึ้นเถิด”
ทันใดนั้น เขาหรี่ตาหันมองพื้นแม่น้ำอันไพศาลตรงหน้า
ก็ได้เห็นเรือล่องล้อเมฆาลำโตลำหนึ่งปรากฏ แสงไฟระยิบระยับ เจิดจ้างดงาม ขับไล่ความมืดมนของราตรีนี้ไปจนสิ้น
เรือล่องล้อเมฆายาวหลายสิบจั้ง ตึกหอขึ้นตระหง่าน เงาผู้คนทับซ้อน ราวกับกำลังดื่มด่ำกับงานรื่นเริง เสียงไชโยหัวร่อต่อกระซิกลอยเข้ามาจากที่ไกล ๆ
เสียงผีผา กู่เจิง ขลุ่ยหยกดังเป็นครั้งคราว ราวกับสร้างเสริมความบันเทิงให้กับคนบนเรือ
“นายท่าน เรือลำนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่มากมายนัก!”
หยวนเหิงเอ่ยอย่างตะลึง
ร่างเดิมของเขาคือเต่ายักษ์ทอง เมื่ออยู่บนแม่น้ำเทียนหลานแห่งนี้ ประสาทสัมผัสจึงไวเป็นพิเศษ เพียงปราดเดียวก็แยกออกว่าบนเรือล่องล้อเมฆาลำนั้นมีผู้ฝึกตนมากมายมารวมกัน ส่งผลให้ฟ้าดินรอบ ๆ เรือล่องล้อเมฆานั้นเกิดเป็นบรรยากาศยิ่งใหญ่อลังการ
“เรือล่องล้อเมฆาลำนั้นเป็นศาสตราวิถีต้นกำเนิด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนเรือลำนั่นน่าจะอยู่ขอบเขตรวบรวมดาราได้”
จิตสัมผัสของซูอี้แข็งแกร่งปานใด ย่อมสังเกตถึงจุดนี้ได้เช่นกัน กระทั่งแยกแยะจากลมปราณที่แผ่ซ่านออกจากเรือล่องล้อเมฆาลำนั้นได้ว่า มีผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราคอยพิทักษ์อยู่
“ต้าฉู่นี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ สมกับเป็นอาณาจักรที่ติดห้าอันดับแรกในบรรดาร้อยอาณาจักรบนมหาทวีปคังชิง”
หยวนเหิงสะท้อนใจ
ซูอี้พยักหน้า รากฐานในโลกฝึกฝนของอาณาจักรต้าฉู่ไม่ธรรมดาจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ที่ได้เข้ามาในเขตแดนของอาณาจักรต้าฉู่ เขาก็สืบเสาะข้อมูลมีค่ามาได้หลายอย่าง
ภายในเขตแดนอาณาจักรต้าฉู่ มีกลุ่มสำนักมากอิทธิพลถึงสิบสามแห่ง!
และท่ามกลางกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ มีผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราคอยพิทักษ์อยู่ไม่มากก็น้อย!
และสิ่งที่ควรรู้ไว้คือ ไม่ว่าจะภายในเขตแดนของอาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย หรือต้าฉิน ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรก็มีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตเปิดทวารเท่านั้น
จากนั้น เมื่อได้ศึกษาเพิ่มเติม ซูอี้ถึงรู้ว่าบนมหาทวีปคังชิงแห่งนี้ มีเพียงอาณาจักรที่มีผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราคอยพิทักษ์เท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง
อาณาจักรที่ไร้ผู้แข็งแกร่งระดับขอบเขตรวบรวมดาราคอยพิทักษ์ เป็นได้เพียงอาณาจักรเล็ก ๆ ไม่เข้าตา
ส่วนความเจริญด้านการฝึกฝนของอาณาจักรต้าฉู่ ติดอันดับสี่ในอาณาจักรนับร้อยแห่งมหาทวีปคังชิง!
จะเห็นได้ว่า อิทธิพลการฝึกฝนภายในอาณาจักรต้าฉู่เรืองอำนาจถึงเพียงใด
ส่วนอีกสามอาณาจักรที่อยู่อันดับเหนือต้าฉู่ คือต้าเซี่ยซึ่งติดอันดับหนึ่ง ต้าฮั่นซึ่งเป็นอันดับสอง และต้าฉีซึ่งเป็นอันดับสาม
“นายท่าน บนเรือล่องล้อเมฆาลำนั้น มีจิตสัมผัสหนึ่งกวาดมองมาทางพวกเราเมื่อครู่”
ทันใดนั้น หยวนเหิงเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ต้องสนใจ”
ซูอี้เองก็สัมผัสถึงพลังจิตสัมผัสสายหนึ่งได้เช่นกัน ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ
ตอนที่เรือของชายหนุ่มกระทบไหล่กับเรือล่องล้อเมฆาที่แสงไฟสว่างเฉิดฉาย ก็เป็นร่างหนึ่งยืนตระหง่านมองมาจากริมขอบเรือล่องล้อเมฆา
นางเป็นสตรีในชุดหรูหรา ผมเงาดกดำ รูปร่างอ้อนแอ้นชวนพิศวาส นัยน์ตาคู่งามวาวโรจน์ดั่งดวงดารา
นัยน์ตาของหยวนเหิงเย็นเยียบไปแวบหนึ่ง สัมผัสได้ว่าจิตสัมผัสที่สำรวจมาเมื่อครู่ตกกระทบบนตัวเองอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าจิตสัมผัสนั้นมาจากหญิงสาวอาภรณ์หรูหราอรชรผู้นี้
“สหายเต๋าทั้งสองหน้าตาไม่คุ้นเลย เห็นทีคงมิใช่ผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าฉู่ของเรา ในเมื่อมีวาสนาได้พานพบกันบนแม่น้ำเทียนหลานแห่งนี้ มิทราบว่ายินดีขึ้นเรือมารู้จักกันหรือไม่?”
หญิงสาวอาภรณ์หรูหราอรชรปริปาก เสียงอ่อนนุ่มแหบแห้งดังมายังเรืออูเผิงอย่างชัดเจน
หยวนเหิงทอดสายตามองซูอี้ ฝ่ายหลังส่ายหัว
หยวนเหิงเอ่ยขึ้นทันควัน “ขอบคุณที่เชื้อเชิญ ข้าและนายท่านของข้าต้องเดินทาง คงมิไปขัดความสุนทรีย์ของทุกท่าน”
หญิงสาวอาภรณ์หรูหราอรชรหัวเราะ มิพูดสิ่งใดต่อ มองส่งเรือของพวกเขาแล่นจากไปท่ามกลางสายฝน
“สตรีนางนั้นประหลาดสิ้นดี เมื่อครู่ สายตาที่มองข้าอย่างกับนักล่าที่เห็นเหยื่อ เดิมข้าคิดว่าที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายออกมาเชื้อเชิญต้องมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่ ไม่เคยคิดเลย ลงท้ายนางก็มิได้ลงมือกระทำสิ่งใด”
บนเรือ หยวนเหิงขมวดคิ้ว
ซูอี้เอ่ยราบเรียบ “โชคดีแล้วที่นางมิได้ลงมือกระทำสิ่งใด”
เพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเต้าปลุกวิญญาณซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวเขาก็สะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย