บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 411 คราวเคราะห์ของชิงหว่าน
ตอนที่ 411: คราวเคราะห์ของชิงหว่าน
ตอนที่ 411: คราวเคราะห์ของชิงหว่าน
บนเรือล่องล้อเมฆา
หญิงสาวอาภรณ์หรูหราอรชรย้อนกลับไปยังงานรื่นเริง
และได้เห็นว่าในงานเลี้ยงนี้ มีผู้คนจับจองที่นั่งกันเต็ม บุรุษสตรี คนชราและวัยเยาว์มีด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่มาจากกลุ่มสำนักมากอิทธิพลต่าง ๆ ภายในอาณาจักรต้าฉู่ ไม่มีผู้ใดมิใช่การดำรงอยู่ที่เหล่าผู้ฝึกตนในโลกสามัญทำได้แค่แหงนหน้ามอง
ส่วนหญิงสาวอาภรณ์หรูหราผู้นี้ นั่งอยู่บนที่นั่งประธาน
“เมื่อครู่ฮูหยินเมี่ยวหัวพบสิ่งใดหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดดำผมเทาถามยิ้ม ๆ
สายตาคนอื่น ๆ ในที่นี้ทอดสายตามองไปเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ อยู่ ๆ ฮูหยินเมี่ยวหัวก็ลุกขึ้น เดินไปทางริมขอบของเรือล่องล้อเมฆา ทอดมองเรือเล็กบนแม่น้ำที่ห่างออกไปไกล ๆ ภาพนี้เป็นที่สนใจของคนไม่น้อย
หญิงสาวอาภรณ์หรูหราผู้ถูกขนานนามว่าฮูหยินเมี่ยวหัวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “จะว่าไปก็น่าสนใจนัก บนเรือก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกตนสองคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้ฝึกปีศาจ”
ผู้ฝึกปีศาจ!
ผู้คนในที่นี้ล้วนมีทีท่าประหลาดใจ
ผู้เฒ่าชุดดำผมเทาเอ่ยด้วยตาเป็นประกาย “หากเป็นเช่นนั้นจริง ผู้ฝึกปีศาจเมื่อครู่ไม่มีทางมาจากอาณาจักรต้าฉู่ของเรา”
ทุกคนพยักหน้า
สามร้อยปีก่อน สิบสามกลุ่มอิทธิพลในอาณาจักรต้าฉู่ร่วมมือออก ‘คำสั่งขจัดมาร’ สั่งให้ผู้ฝึกตนทั่วใต้หล้าออกโรงพร้อมกัน สังหารผู้ฝึกปีศาจในโลกนี้ให้สิ้น หลังจากเพียรพยายามมาหลายสิบปี ถึงเข่นฆ่าผู้ฝึกปีศาจทั้งหมดในอาณาจักรต้าฉู่จนหมด
จนตอนนี้ ปีศาจในโลกนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว
เวลาเช่นนี้ จู่ ๆ ก็มีผู้ฝึกปีศาจตนหนึ่งปรากฏตัวบนแม่น้ำเทียนหลานอย่างเปิดเผย ซ้ำยังไม่รู้จักปกปิดพลังตัวเอง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าผู้ฝึกปีศาจผู้นี้ไม่มีทางเป็นคนในอาณาจักรต้าฉู่
“เท่าที่ข้าทราบ ฮูหยินเมี่ยวหัวชิงชังพวกผู้ฝึกปีศาจที่สุด ในเมื่อพบตัวอีกฝ่ายแล้ว เหตุใดถึงไม่ให้ผู้ฝึกปีศาจตนนั้นอยู่ต่อเล่า?”
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง สวมชุดคลุมพร้อมสายคาดเอวคนหนึ่งถาม
ฮูหยินเมี่ยวหัวเม้มปากยิ้ม “ต้าฉู่ในอดีต มีผู้ฝึกปีศาจอาละวาดไปทั่ว เป็นภัยต่อทั้งใต้หล้า ทุกหนแห่งมีแต่ความอลหม่าน เพราะอย่างนั้นถึงได้มีปฏิบัติการกำจัดมารเมื่อสามร้อยปีก่อน”
“จนบัดนี้ ภายในอาณาจักรต้าฉู่ผู้ฝึกปีศาจจวนเจียนจะสูญพันธุ์ ต่อให้ข้าชิงชังพวกผู้ฝึกปีศาจ ก็ไม่ถึงขั้นลงมือสังหารโดยไร้สาเหตุ”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง สายตาของนางทอดมองชายหนุ่มชุดเต๋าผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่าง คืนนี้มี ‘สหายหลิง’ ที่มาจากอาณาจักรต้าฉีอยู่ด้วย ขืนออกไปปะทะฝีมือจนนองเลือด จักเป็นการเสียบรรยากาศเกินไป”
หากซูอี้และหยวนเหิงอยู่ที่นี่ ย่อมมองออกว่าชายหนุ่มชุดเต๋าผู้นี้ก็คือหลิงอวิ๋นเหอ!
ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายหลิงอวิ๋นเหอคือหญิงสาวนามชิงหยา
ท้ายสุดชิงหยาก็ต้องเอ่ยขึ้นอย่างทนเก็บความใคร่รู้ไว้ไม่ไหว “ท่านอาวุโสผู้นี้ ไฉนท่านถึงชิงชังผู้ฝึกปีศาจเล่า?”
ฮูหยินเมี่ยวหัวเอ่ยยิ้ม ๆ “สหายเต๋าตัวน้อยจำไว้เพียงประโยคเดียวเป็นพอ ผู้ที่มิใช่เผ่าพันธุ์เรา ย่อมมีใจเป็นอื่น”
ชิงหยาส่ายหัวพลางกล่าว “สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมีจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปีศาจ ผู้ฝึกผี และผู้ฝึกตนอย่างมนุษย์เรา ล้วนเป็นผู้ค้นคว้าในวิถี แบ่งแยกแต่เพียงด้วยผิดชอบชั่วดี มิควรแบ่งแยกที่ต่ำที่สูง”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอื้อนเอ่ย บรรยากาศของงานเลี้ยงก็หมองหม่นลงไม่น้อย
สำหรับผู้ฝึกตนในต้าฉู่ ผู้ที่เข่นฆ่าผู้ฝึกปีศาจ เทียบเท่ากับการขจัดภยันตรายให้ปวงชน ผดุงคุณธรรมในนามสวรรค์ สมเหตุสมผล
ในสถานการณ์เช่นนี้ คำพูดของชิงหยาออกจะบาดหูไปหน่อย
คิ้วเรียวของฮูหยินเมี่ยวหัวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
หลิงอวิ๋นเหอกล่าวยิ้ม ๆ “ลูกศิษย์ผู้นี้ของข้าออกพเนจรเป็นคราแรก ไม่เข้าใจเรื่องราวในโลกนี้ หากเป็นการล่วงเกิน หวังว่าทุกท่านอย่าได้ถือสานาง”
ฮูหยินเมี่ยวหัวยิ้มหวาน “เช่นนี้จะถือเป็นการล่วงเกินได้อย่างไรกัน”
ทันทีที่พูดมาถึงตรงนี้ เสียงกระดิ่งเร่งเร้าเสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน
ตาคู่งามของฮูหยินเมี่ยวหัวแข็งทื่อไป หยิบกระดิ่งสีเงินวาวออกจากเอว ตรงเปลือกนอกกระดิ่งสลักสัญลักษณ์แปลกประหลาดไว้มากมาย แสงสีเงินวาวเป็นประกาย สั่นสะท้านส่งเสียงไม่หยุด
เห็นดังนั้น ฮูหยินเมี่ยวหัวกวาดสายตามองทุกคนในที่นี้ “ทุกท่าน บนแม่น้ำเทียนหลานแห่งนี้ดูเหมือนจะมีอสูรผีร้ายปรากฏ!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ ผู้ฝึกตนในที่นี้มีสีหน้าตื่นตกใจกันหมด
แปลกจริง ๆ คืนนี้ได้เจอผู้ฝึกปีศาจหนึ่งตนนับว่าน่าตกใจมากแล้ว ตอนนี้มีอสูรผีร้ายโผล่มาอีกหรือ?
ฮูหยินเมี่ยวหัวเอ่ย “อสูรผีร้ายตนนี้ทำให้ ‘กระดิ่งอัมพรเงิน’ ของข้าส่งเสียงดังผิดปกติได้ ย่อมไม่ธรรมดา ทุกท่านยินดีไปตรวจดูกับข้าหรือไม่?”
ทุกคนรับปากอย่างพร้อมเพรียง
ฮูหยินเมี่ยวหัวลุกขึ้นทันที สะบัดแขนเสื้อ กระดิ่งอัมพรเงินทะยานขึ้นฟ้า กระโจนออกไปในรัตติกาลประหนึ่งมีญาณรับรู้
ฮูหยินเมี่ยวหัวและผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ เหินตามขึ้นไป
สายฝนตกพรำในราตรี แสงเหินเจิดจ้าแยงตาพลันโผขึ้น ส่องแสงจนแม่น้ำเทียนหลานแห่งนี้สว่างวาบ พุ่งออกไปในทิศไกล ๆ ประดุจลำแสงศักดิ์สิทธิ์
หลิงอวิ๋นเหอและชิงหยาก็อยู่ในนั้นด้วย
“ท่านอาจารย์ ผู้ฝึกตนในโลกนี้ชื่นชอบการเข่นฆ่าพวกผู้ฝึกปีศาจและผู้ฝึกผีกันหมดเลยหรือ?”
ชิงหยาถาม
หลิงอวิ๋นเหอส่ายหัวพลางกล่าว “หาใช่เช่นนั้น ผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าฉู่แห่งนี้ เคยมีความแค้นกับพวกผู้ฝึกปีศาจและผู้ฝึกผี ทั้งสองฝ่ายเปรียบดั่งน้ำกับไฟ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต่อให้เป็นเวลานี้แล้ว สำหรับผู้ฝึกตนต้าฉู่ การเข่นฆ่าพวกผู้ฝึกปีศาจและผู้ฝึกผีก็นับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ชิงหยาถึงบางอ้อ “อย่างนี้นี่เอง”
…..
ค่ำคืนมืดมิด หมู่เมฆสีดำหลั่งไหลเข้ามารวมกัน
บนยอดเขาแห่งหนึ่งใกล้แม่น้ำเทียนหลาน
ซูอี้ยื่นมือไพล่หลัง มองเมฆคราวเคราะห์ที่รวมตัวกันเรื่อย ๆ บนนภา ก่อนจะกล่าว “นี่คือคราวเคราะห์สำหรับการจำแลงของเจ้า หลังจากผ่านไปได้ เจ้าจักได้ร่างวิญญาณ กลายเป็นผู้ฝึกผีที่แท้จริง”
อีกด้าน ชิงหว่านในชุดกระโปรงสีเลือด หน้าตางดงามดั่งภาพวาดกำลังล่องลอย หน้าตาเต็มไปด้วยความตึงเครียดเป็นกังวล
ก่อนหน้านี้บนเรือ หลังจากสัมผัสถึงความผิดปกติของน้ำเต้าปลุกวิญญาณ ซูอี้ถึงทราบว่าขณะที่ชิงหว่านฝึกฝน ในใจเกิดลางสังหรณ์ รู้สึกได้ว่าคราวเคราะห์สำหรับนางกำลังจะมา
ซูเย่พลันตระหนักได้ ชิงหว่านถึงจุดที่บรรลุผลัดเปลี่ยนจากร่างวิญญาณปีศาจแล้ว
คราวเคราะห์ที่กำลังจะมาถึง เป็นคราวเคราะห์จำแลงที่ช่วยให้นางได้ผลัดเปลี่ยนร่างวิญญาณ ก้าวสู่การฝึกฝนวิถีต้นกำเนิด
ดังนั้น ซูอี้จึงลงมือทันที และพาชิงหว่านมายังยอดเขาแห่งนี้ เพื่อเตรียมการต่อคราวเคราะห์
“นายท่าน หว่านเอ๋อร์ไม่กลัวคราวเคราะห์ แต่กลัวว่าหากไม่อาจผ่านคราวเคราะห์นี้ไปได้ หลังจากนี้คง… ไม่อาจอยู่เคียงข้างท่านอีกแล้ว”
ชิงหว่านเอ่ยกล้า ๆ กลัว ๆ เสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน
“มีข้าอยู่ มีหรือจะปล่อยให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า”
ซูอี้ยิ้ม “เจ้ามีสมาธิกับการผ่านคราวเคราะห์เป็นพอ ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
แค่คราวเคราะห์จำแลงเล็ก ๆ เท่านั้น ด้วยรากฐานของชิงหว่าน ย่อมคลี่คลายได้สบาย
เดิมทีร่างวิญญาณของชิงหว่านก็บริสุทธิ์มากอยู่แล้ว ในบรรดาอสูรผีร้าย เรียกได้ว่าแก่นกระดูกอัศจรรย์ รากฐานล้ำเลิศ!
บวกกับคัมภีร์ที่ชิงหว่านฝึกฝนอยู่นั้น คือคัมภีร์ผู้ฝึกผีสูงสุดอย่าง ‘เคล็ดวิชามหาวิญญาณทศทิศ’ ช่วงที่ผ่านมา ได้ตัวเองคอยใส่ใจชี้แนะ มีหรือจะพ่ายแพ้ให้กับคราวเคราะห์นี้?
“อื้ม!”
ชิงหว่านพยักหน้าแรง ๆ
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้างดงามที่ยังหลงเหลือความจ้ำม่ำแบบเด็ก ๆ นั้น ความตึงเครียดกังวลหายไปหมดสิ้น แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งและแน่วแน่
ซูอี้ถอยออกไปเงียบ ๆ
“นายท่าน คราวเคราะห์จำแลงที่แม่นางชิงหว่านเผชิญครานี้ น่ากลัวที่ข้าเคยพานพบในตอนแรกอยู่มาก”
หน้าตาหยวนเหิงดูกลัดกลุ้มอย่างมาก
แม้คราวเคราะห์นี้ยังไม่ก่อรูปก่อร่าง แต่พลังคราวเคราะห์ที่แผ่ขยายอยู่ในฟ้าดินนี้รุนแรงยิ่ง เขาเองยังรู้สึกตื่นตระหนกไปด้วย
“คราวเคราะห์นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นสะท้านฟ้าเพียงนั้น”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เทียบกับตอนที่เขาก้าวสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญแล้ว สิ่งที่ชิงหว่านต้องเผชิญในตอนนี้ มันก็นับเป็นแค่ของทั่วไปเท่านั้น
แน่นอนว่า ในสายตาผู้ฝึกตนมหาทวีปคังชิง คราวเคราะห์ระดับนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้แล้ว
บนท้องฟ้า เมฆคราวเคราะห์หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เห็นแล้วรู้สึกกดดันยิ่งนัก
ทันใดนั้น บนท้องฟ้ารัตติกาลไกล ๆ แสงเหินเจิดจ้าแยงตาพลันปรากฏ และพุ่งทะยานมาด้านนี้อย่างรวดเร็ว มีจำนวนถึงยี่สิบกว่าคน ยิ่งใหญ่อลังการ
เมื่อได้เห็นชิงหว่านบนยอดเขาซึ่งกำลังเตรียมตัวสำหรับการผ่านคราวเคราะห์จากที่ไกล ๆ เสียงเซ็งแซ่พลันดังขึ้นมา
“เป็นบรรยากาศเคราะห์สวรรค์ที่น่ากลัวเหลือเกิน หรือว่าเจ้าอสูรผีร้ายคนนั้นเป็นวิญญาณเก่าแก่?”
“น่าสนใจ อสูรผีร้ายตนนี้หมายจะผ่านคราวเคราะห์จำแลงหรือนี่!”
“เมื่อใดกัน ที่รอบ ๆ แม่น้ำเทียนหลานมีอสูรผีร้ายที่เก่งกาจถึงเพียงนี้อยู่?”
“ไฉนต้องสนด้วยว่านางเป็นใครมาจากไหน สิ่งชั่วร้ายเช่นนี้จำต้องถูกทำลายล้าง ขจัดออกจากโลกใบนี้!”
เสียงนั้นยังสะท้อนอยู่ ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นได้ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยทีท่าดุดัน
“นายท่าน พวกผู้ฝึกตนบนเรือล่องล้อเมฆาเมื่อครู่นี่!”
ห่างออกไปไกล ๆ เมื่อได้เห็นภาพนี้ สีหน้าหยวนเหิงพลันเคร่งเครียดขึ้นเช่นกัน
ซูอี้ร้องอืม หน้าตาเรียบเฉยดั่งเก่า และจากนั้นจึงหันไปพูดกับชิงหว่าน “จำคำข้าไว้ เพ่งสมาธิกับการผ่านคราวเคราะห์ ไม่จำเป็นต้องสนสิ่งอื่นใด”
ทีแรกชิงหว่านก็ตกใจกับภาพนี้ แต่พอได้ฟังวาจาของซูอี้ ก็คล้ายกับหัวใจได้เจอที่พึ่งพิง สงบลงได้ทั้งกายใจ
นางเอ่ยเสียงแผ่ว “นายท่าน ข้า… หากข้าจำแลงสำเร็จ ขอ… ขอเรียกท่านว่าคุณชายบ้างได้หรือไม่?”
ขนตาหญิงสาวสั่นสะท้านเล็กน้อย ดูขัดเขินและกระสับกระส่ายเล็กน้อย พร้อมกับมีความคาดหวังด้วย
“ใกล้จะผ่านคราวเคราะห์แล้ว มัวคิดอะไรอยู่”
ซูอี้หลุดขำ “รอให้เจ้าผ่านคราวเคราะห์สำเร็จ เจ้าจะเรียกขานข้าว่าอย่างไรก็ได้”
ชิงหว่านยิ้มออก ใบหน้างดงามเล็ก ๆ นั่นฉายประกายแตกต่าง นางพยักหน้าแรง ๆ “อืม!”
จากนั้น นางจึงหันกลับไปมองท้องนภา ร่างอรชรนั้นคล้ายกับมีพลังอันแกร่งกล้ายิ่งใหญ่หมุนเวียนอยู่ ตาหงส์คู่สวยดูลึกล้ำและวาวโรจน์ขึ้น
หน้าตาหญิงสาววิจิตรดั่งภาพวาด ชายกระโปรงพลิ้วไสว ประดุจเซียนในหมู่ผี บุคลิกเยือกเย็นดั่งหิมะ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงฝ่าอากาศดังขึ้น ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นทยอยมาถึง ยืนตระหง่านกลางอากาศซึ่งห่างจากยอดเขาไม่ไกล
ผู้ที่นำอยู่ก็คือฮูหยินเมี่ยวหัว ผู้สวมอาภรณ์หรูหรา อ้อนแอ้นอรชรชวนฝัน
เมื่อได้เห็นซูอี้และหยวนเหิง ฮูหยินเมี่ยวหัวผู้อยู่ขอบเขตรวบรวมดาราซึ่งเป็นตัวตนระดับสูงสุดของต้าฉู่ก็ต้องขมวดคิ้วเรียวอย่างอดไม่ได้ นางเอ่ย “พวกเจ้าเองหรือ?”
แทบจะในเวลาเดียวกัน สองอาจารย์ศิษย์หลิงอวิ๋นเหอและชิงหยาซึ่งยืนรั้งท้ายฝูงชนก็จำซูอี้กับหยวนเหิงได้เช่นกัน ทั้งคู่จึงผงะไป
“ท่านอาจารย์ พวกเขา…”
ชิงหยาอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง กลับโดนหลิงอวิ๋นเหอสั่งห้ามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาส่งกระแสปราณ “อย่าได้เอะอะไป ดูสถานการณ์ไปก่อน”
ชิงหยาร้องอืม กะพริบตากลมโตปริบ ๆ ทอดมองชิงหว่านซึ่งลอยอยู่กลางอากาศไกล ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หน้าตาฉายแววตะลึงอย่างอดไม่ได้
ว้าว ช่างเป็นพี่สาวผู้ฝึกผีที่สวยจริง ๆ เลย!