บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 412 ศัตรูเก่งกาจล้อมรอบ ข้าไม่สนใจ
ตอนที่ 412: ศัตรูเก่งกาจล้อมรอบ ข้าไม่สนใจ
ตอนที่ 412: ศัตรูเก่งกาจล้อมรอบ ข้าไม่สนใจ
เมฆครึ้มหนาทึบ บรรยากาศหนักอึ้ง
ฮูหยินเมี่ยวหัว ผู้ฝึกตนลำดับที่ยี่สิบแห่งต้าฉู่ ยืนอยู่กลางอากาศ
ทุกคนต่างมีกลิ่นอายโหดร้ายป่าเถื่อน พลันลำแสงเคลื่อนไหวไปมา ปิดล้อมอากาศบริเวณใกล้ ๆ ยอดเขานี้
ทว่าซูอี้กลับไม่สนใจ สองมือไพล่หลัง มองไปทางน่านฟ้ากว้าง
คราวเคราะห์ที่มุ่งเป้าไปที่ชิงหว่านนี้ อีกครู่หนึ่ง กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว…
หยวนเหิงมีท่าทางระมัดระวังตัว และอดใจไว้
เขาดูออก ผู้ที่มาใหม่นี้ไม่เป็นมิตรแน่นอน!
“ฮูหยินเมี่ยวหัวรู้จักพวกเขารึ?”
ชายชราผมเทาสวมชุดดำเอ่ยถาม
“ทุกท่านดู ผู้ฝึกปีศาจที่ข้าเล่าก่อนหน้านี้ คือคนผู้นั้น”
ฮูหยินเมี่ยวหัวยื่นมือเรียวขาวดั่งหยกชี้ไปทางหยวนเหิงที่อยู่ไกล ๆ
พรึบ!
สายตาทุกคนมองไปทางนั้นพร้อมกัน
“ที่แท้ก็เป็นพวกเขา”
ทุกคนพากันกรูเข้ามาทันที
“เหอะ ไม่นึกเลยจริง ๆ ข้าง ๆ ผู้ฝึกปีศาจยังมีผีที่ต้องข้ามผ่านภัยพิบัติมาด้วย ช่างเป็นการสมคบคิดที่น่าสะอิดสะเอียนเสียจริง”
ชายชราผมเทาสวมชุดดำยิ้มเยาะ ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
หยวนเหิงมีสีหน้าตึงขึ้น เขาขมวดคิ้วพลางมองไปทางซูอี้
เพราะตนเองลงมือโดยพลการในตอนที่อยู่วัดเทพเจ้าเขาบนเทือกเขาฝูเซียนครั้งนั้น ทำให้ซูอี้ตักเตือนเขาว่าจากนี้ไปอย่าได้ทำสิ่งใดบุ่มบ่ามและเป็นจุดสนใจเกินไปอีก
ครานี้ แม้เขาจะโมโห แต่ก็จำคำกำชับของซูอี้ได้
ซูอี้เคลื่อนสายตาที่มองท้องฟ้ากว้างไปทางเหล่าผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่ที่อยู่กลางอากาศไกล ๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ผู้ใดริอาจเข้าใกล้ยอดเขาสิบจั้ง ตาย”
คำพูดธรรมดาที่เอ่ยด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย
ทั่วสนามเงียบสงัด ฮูหยินเมี่ยวหัวและผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่คนอื่นต่างตะลึง
ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าหนุ่มนี่อยู่เพียงแค่ขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น แต่ท่าทางและน้ำเสียงนั่น กลับเหยียดหยามเหล่าวีรบุรุษ ช่างเย่อหยิ่งอย่างที่สุด
ส่วนหลิงอวิ๋นเหอที่เคยเห็นท่าทางของซูอี้ เมื่อเทียบกันแล้วเขาสงบนิ่งกว่ามาก
แต่เขายังคงสงสัย เหล่าผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่ที่อยู่โดยรอบ ผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดเหมือนฮูหยินเมี่ยวหัว เป็นถึงตัวตนขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลาง!
และบุคคลที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงบนเรือล่องล้อเมฆา ล้วนไม่ธรรมดา คือตัวตนขอบเขตเปิดทวารที่มีประมาณสิบกว่าคน! แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญ พวกเขาต่างก็อยู่ขั้นปลายและขั้นสมบรูณ์!
คนทั้งหมดนี้ ล้วนถูกยกย่องว่าเป็นกระบวนทัพยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรต้าฉู่ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นใครเผชิญก็ย่อมต้องรู้สึกหวาดกลัวและหมดหวัง!
หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา หลิงอวิ๋นเหอคงต้องเตรียมพร้อมปลีกตัวและล่าถอยออกไป
ทว่าซูอี้ ไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัวเท่านั้น กลับยังเหยียดหยามเหล่าวีรบุรุษทั้งหมดนั้นด้วยท่าทางไม่สนใจ
แล้วหลิงอวิ๋นเหอจะไม่สงสัยได้อย่างไรกัน?
“ขอริอาจถาม สหายเต๋าน้อยมีนามว่าอะไร มาจากที่แห่งใด แล้วอาจารย์เจ้าคือผู้ใด?”
ฮูหยินเมี่ยวหัวมองออก ซูอี้น่าจะไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ นางจึงมีท่าทางระมัดระวังตัวขึ้นไม่น้อย
ซูอี้ไม่สนใจ เขาปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า พลางนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่อีกข้างหนึ่ง และมองไปทางชิงหว่าน
ปราณทั่วร่างของหญิงสาวขับเคลื่อนเต็มที่ พลังเก็บสะสมจนถึงขั้นสูงสุด เมื่อสังเกตกลิ่นอายบนตัวนาง จึงทำให้ซูอี้รู้สึกเบาใจอย่างมาก
ด้วยความสามารถของชิงหว่าน ย่อมสามารถจัดการมหาภัยพิบัติคราวเคราะห์นี้ด้วยตัวคนเดียวได้ และไม่ต้องให้เขาเข้าไปช่วยเหลือ
เมื่อซูอี้ไม่เอ่ยสิ่งใด จึงเป็นธรรมดาที่หยวนเหิงจะไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำเลย
เขากอดอก พลางกวาดสายตามองเหล่าผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่อย่างเย็นชา
ฮูหยินเมี่ยวหัวกับเหล่าผู้ฝึกตนต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เพียงเพราะรู้สึกว่าศักดิ์ศรีกำลังถูกยั่วยุและเหยียบย่ำ
ด้วยฐานะของพวกเขา ภายในอาณาเขตต้าฉู่นี้ จะมีผู้ใดไม่สนใจเช่นนี้กัน?
“ก็แค่ตัวตนขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น กลับอวดดีเช่นนี้ แม้ความเป็นมาเขาจะไม่ธรรมดา แต่แค่เห็นเขาคลุกคลีกับเหล่าผีปีศาจก็รู้แล้ว ว่าไม่ได้ดีเด่อะไรนัก!”
ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเหลืองที่น่าเกรงขามผู้หนึ่งพ่นคำพูดเย็นชาออกมา
“ฮูหยินเมี่ยวหัว ข้าว่า เราไม่ต้องคุยไร้สาระกับพวกเขาให้มากความอีก แค่สังหารผู้ฝึกปีศาจนั่นกับผีตนนี้ไปพร้อมกันเลย!”
ชายสวมชุดดำผู้หนึ่งแผ่ไอสังหารหนาทึบ
เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป เหล่าผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่ที่อยู่ในสนามต่างเตรียมที่จะจู่โจม
ฮูหยินเมี่ยวหัวจ้องซูอี้มาโดยตลอด แต่ที่ทำให้นางขมวดคิ้วคือ อีกฝ่ายในยามนี้ยังคงทำเหมือนไม่มีอะไร สงบนิ่ง และไม่เห็นความตื่นตระหนกใดเลยแม้แต่น้อย
เป็นในเวลานี้เอง หลิงอวิ๋นเหอกระแอมออกมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทุกท่าน ฟังข้าหลิงผู้นี้กล่าวสักครู่หนึ่งได้หรือไม่?”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็มองไปที่เขาเป็นสายตาเดียว
“สหายเต๋ามีสิ่งใดจะชี้แนะรึ?”
ฮูหยินเมี่ยวหัวเอ่ยถามเสียงเบา
หลิงอวิ๋นเหอเอ่ย “หลายวันก่อน บนเทือกเขาฝูเซียนภายในอาณาเขตต้าเหลียง หลิงผู้นี้เคยบังเอิญพบกับสหายเหล่านั้น และมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายอะไร ไม่สู้ขอทุกท่านโปรดเข้าใจ อดทน ให้การสนับสนุน และหยุดเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้ จะได้หรือไม่?”
ฮูหยินเมี่ยวหัวกับผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่างขมวดคิ้ว
หลิงอวิ๋นเหอคือบุคคลยอดเยี่ยมคนหนึ่งที่มาจากต้าฉี มีการฝึกฝนถึงขอบเขตรวบรวมดารา ท่าทางของเขา ผู้ใดก็มิอาจมองข้ามได้
ทว่าให้พวกเขาหยุดเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ทำให้พวกเขาเสียหน้า แล้วใครจะยอมรับกัน?
“สหายเต๋า พวกเจ้าแค่บังเอิญพบกันเท่านั้น ในความคิดข้า ทางที่ดีอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวจะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้พวกเราทั้งสองฝ่ายไม่สบายใจ”
ฮูหยินเมี่ยวหัวเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
หลิงอวิ๋นเหอกำลังจะเอ่ยสิ่งใดออกมา ซูอี้ที่อยู่บนยอดเขาไกล ๆ เอ่ยขึ้นทันที “เป็นการยากที่จะเกลี้ยกล่อมผีสางเทวดาด้วยวาจาดี ๆ …เรื่องนี้ เจ้ากับศิษย์ของเจ้าดูอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว”
เมื่อเห็นซูอี้เอ่ย หยวนเหิงถึงได้กล่าวขึ้น “ถูกต้อง ทั้งสองอย่าเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้เลย ส่วนคนเหล่านี้ หากพวกเขาอยากตาย ก็โทษใครได้เล่า?”
พวกเขานายบ่าวสองคน น้ำเสียงคนหนึ่งหยาบคายกว่าอีกคนหนึ่ง ทำให้ฮูหยินเมี่ยวหัวและเหล่าผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่ต่างอดหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่ได้
“จองหอง!”
“ฮ่า ๆๆ ไอ้มารผจญเหล่านี้ แม้อยู่ในสภาพที่อับจนแล้ว แต่กลับกำเริบเสิบสานเช่นนี้ แสดงว่าไม่เห็นหัวพวกเราแม้แต่น้อย!”
“เป็นการยากที่จะเกลี้ยกล่อมผีสางเทวดาด้วยวาจาดี ๆ? ประโยคนี้ เอาไว้บอกกับพวกเจ้าเองเถอะ!”
…เหล่าผู้ฝึกตนแห่งต้าฉินต่างโมโห พวกเขาได้ปลดปล่อยไอสังหารดั่งกระแสน้ำออกมา ปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทำให้ชั้นเมฆบนน่านฟ้านี้แตกกระจายหายไป
หลิงอวิ๋นเหอแอบถอนหายใจออกมา
สถานการณ์เช่นนี้ จะมีโอกาสให้เขาได้ยื่นมือเข้าไปได้อย่างไรกัน?
“ให้ข้าลองดูหน่อย ชายหนุ่มที่คุยโวอย่างน่าไม่อาย จะทนไปได้นานเท่าใดกัน!”
ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางน่าเกรงขาม สวมชุดสีเหลือง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ขณะกล่าว เขาพุ่งทะยานเข้าไปใกล้ยอดเขาไกล ๆ นั้น
รุ่ยเฉินจิ้ง
ผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์ ผู้อาวุโสสายนอกตำหนักกระบี่หมิงเสวี่ย กลุ่มสำนักมากอิทธิพลแห่งต้าฉู่ และเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงมาก
‘กระบี่วิญญาณเสียดฟ้า’ ที่เขาฝึกอยู่นั้น มีชื่อเสียงมากในอาณาเขตต้าฉู่ เลื่องชื่อว่าเพียงกระบี่เล่มเดียว ก็สามารถตัดภูเขาพันจั้งให้กลายเป็นร่องน้ำใหญ่ได้!
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน รุ่ยเฉินจิ้งถือกระบี่สีครามยาวสี่ฉื่อไว้ในมือ แขนเสื้อปลิวไสว ไม่นานก็มาถึงหน้ายอดเขาห่างสิบจั้ง
และยามนี้เอง ซูอี้ที่นั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ เมื่อรุ่ยเฉินจิ้งเห็นเช่นนี้ ก็อดที่จะพ่นคำพูดออกมาไม่ได้ “ไอ้มารผจญ หากเจ้าไม่ลงมืออีก ระยะห่างสิบจั้งนี้ ข้าก็สามารถกวาดมันให้ราบเรียบได้!”
ขณะเอ่ยนั้น เขาก็ก้าวเท้าออกมา พลางกวัดแกว่งกระบี่ยาวสีครามในมือทันที
ชิ้ง!
ปราณกระบี่สีครามแสบตาปรากฏออกมา สว่างจ้าอยู่ในอากาศที่ดำมืด คล้ายกับมังกรฟ้าพุ่งผ่านอากาศ นำพาแสงแหลมคมนับไม่ถ้วนทะยานไปทางซูอี้
เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
ซูอี้ไม่ได้ลืมตา และไม่แม้แต่จะมอง แค่ชี้นิ้วออกไป
ปัง!
ปราณดาบสีใสพุ่งออกมาจากนิ้วมือซูอี้ ด้วยพลังไร้เทียมทาน จึงทำให้ปราณกระบี่สีครามแสบตาแตกละเอียด เสียงแตกนั้นราวกับเสียงประทัด กึกก้องอยู่กลางอากาศ
จากนั้น ก่อนหน้าที่รุ่ยเฉินจิ้งจะตอบสนอง ปราณดาบที่พลังไม่ลดลงนั้นก็พุ่งไปถึงด้านหน้าเขาแล้ว
“หยุด!”
ม่านตารุ่ยเฉินจิ้งหดลงทันที ทั่วร่างขนลุกตั้งชัน การขับเคลื่อนลมปราณทั่วร่างเขาคำรามขึ้นอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน และถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็ยกกระบี่ยาวสีครามในมือขึ้นมา
ทว่ายังไม่ทันกวัดแกว่งกระบี่ออกไป ปราณดาบสีใสนั้นก็ทำลายเครื่องมือป้องกันกับพลังป้องกันที่อยู่กับตัวเขาไป จากนั้นก็แทงทะลุหัว!
ฉึก!
กะโหลกศีรษะของเขากระเด็นออกไป พลันเลือดแดงฉานสาดกระเซ็นออกมา
ผู้ฝึกดาบที่มีชื่อเสียงมากในต้าฉู่ ถูกซูอี้สังหารไป!
ก่อนตาย กระบี่ยาวสีครามในมือเขาที่เพิ่งยกขึ้น ไม่ทันได้กวัดแกว่งออกไป สุดท้ายทั้งคนทั้งกระบี่ก็ร่วงลงจากอากาศลงสู่แม่น้ำเทียนหลานที่สาดซัดโครมครามทันที
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัดไร้เสียง
เหล่าผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกัน พลางส่งสายตาเยือกเย็นและหวาดกลัวมองไปทางซูอี้
แม้ในบรรดาคนเหล่านั้น รุ่ยเฉินจิ้งจะมีพลังธรรมดา และห่างไกลกับผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารมาก จนมิอาจเทียบกับฮูหยินเมี่ยวหัวได้
แต่คนที่สามารถสังหารรุ่ยเฉินจิ้งได้ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ขอบเขตเปิดทวาร!
ทว่าชายหนุ่มขอบเขตไร้เบญจธัญอย่างซูอี้ กลับฆ่าฟันได้อย่างง่ายดาย หลังรับชมภาพเช่นนี้… ใครบ้างจะไม่ตกใจ?
แม้แต่ฮูหยินเมี่ยวหัวก็อดหรี่ตาคู่งามไม่ได้ ใบหน้างดงามเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้ ที่แท้… เจ้าหมอนี่ก็ไม่ธรรมดา!
แววตาของหลิงอวิ๋นเหอเปล่งประกายออกมา หันไปกระซิบกับชิงหยาเสียงเบา “บางที พวกเราอาจารย์กับศิษย์สองคนคงได้เป็นคนดูเหตุการณ์คึกคักนี้จริง ๆ แล้วล่ะ”
ซูอี้ที่ไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ ก่อนหน้านี้ กลับทำให้เดาไม่ออกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญเช่นเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน ถึงได้กล้าต่อสู้กับกลุ่มผู้ฝึกตนแห่งต้าฉู่
และยามนี้ หลิงอวิ๋นเหอเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งยังอยากรู้ เวลาต่อจากนี้ ซูอี้จะแสดงอันใดออกมาอีก!
ไม่จำเป็นต้องให้หลิงอวิ๋นเหอเตือน ดวงตากลมโตมีชีวิตชีวาของชิงหยาจ้องมองการต่อสู้ไม่กะพริบตาเลย ใจจดใจจ่อ คล้ายกับไม่อยากพลาดรายละเอียดสิ่งใดไป
หลังจากซูอี้ดีดนิ้วสังหาร ก็ก้มหน้าลง นั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่อย่างสบายอกสบายใจ
ตูม!
ทันใดนั้น ในส่วนลึกเมฆครึ้มสีดำที่สะสมอยู่บนน่านฟ้าเป็นเวลานาน ก็เกิดเสียงดังสนั่นครึกโครมไปทั่วท้องฟ้ามืดมน
และยังทำลายบรรยากาศอึดอัดที่ต่างฝ่ายไม่ยอมกันภายในบริเวณนี้ไป
เวลานี้เอง จู่ ๆ มีร่างโหดเหี้ยมพุ่งมาโจมตี
คนผู้นี้คือชายชราสวมชุดเทา รูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าเคร่งขรึมดุร้าย
เถี่ยโม่ตู้
อยู่ขอบเขตเปิดทวารขั้นกลาง คือผู้อาวุโสสายในหอดาบอวิ๋นหลาง
เขาฝึกฝนมาจนถึงวันนี้นานสองร้อยหกสิบกว่าปีแล้ว รากฐานหลักนั้นเพียบพร้อม ที่เขาฝึกฝนคือเคล็ดวิชาหอกจนสามารถหลอม ‘จังหวะวิถีเปลวเพลิง’ ขั้นสวรรค์ออกมา!
พลังทั่วร่างมหาศาล ในบรรดาตัวตนขอบเขตเปิดทวารแห่งต้าฉู่ เพียงพออยู่ในสิบอันดับแรก
ตูม!
ทันทีที่ท่านเถี่ยโม่ตู้ลงมือ เขาก็กระตุ้นหอกยาวสีทองสว่างไสว พุ่งไปสังหารซูอี้ที่ห่างไปหลายสิบจั้ง
ทันใดนั้น คล้ายกับเปลวเพลิงสวรรค์จู่โจมลงมา
หอกแหลมคมนับไม่ถ้วนที่อาบไปด้วยเปลวเพลิงน่าสะพรึงกลัวดั่งการเผาทำลายภูเขาแม่น้ำ ได้เปลี่ยนให้น่านฟ้าผืนนั้นปรากฏรอยดำเกรียมที่น่าตกใจขึ้น
สายตาทุกคนต่างเปล่งประกายพร้อมกัน หอกเล่มนี้เรียกได้ว่าน่าทึ่งและงดงาม ทะลวงทุกสิ่ง อานุภาพร้ายแรงเหนือทุกอย่าง!
สายตาของหลิงอวิ๋นเหอจ้องเขม็งไปที่ซูอี้ เมื่อเผชิญหน้ากับหอกที่เผาทุกสรรพสิ่งของผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวาร เขาจะคลี่คลายอย่างไร?
หยวนเหิงรู้สึกเคร่งเครียดทันที เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวาร ทำให้จิตใจเขาได้รับผลกระทับ รู้สึกถึงความกดดันเป็นอย่างมาก จิตสำนักสั่งให้มองไปทางซูอี้ทันที