บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 416 ดวงตาประหลาด
ตอนที่ 416: ดวงตาประหลาด
ตอนที่ 416: ดวงตาประหลาด
ภัยพิบัติคราวเคราะห์ของชิงหว่านในครั้งนี้มีด้วยกันทั้งสิ้นหกด่าน
อัศนีจากภัยพิบัติแต่ละด่านมีพลังการทำลายล้างอันน่าตื่นตะลึงแตกต่างไปจากธรรมดา วิญญาณผีทั่วไปเจอเพียงแค่ด่านเดียวก็วิญญาณแตกสลาย ไม่อาจต้านทานได้
ทว่าชิงหว่านแข็งแกร่งมาก ตอนที่ผ่านภัยพิบัติห้าด่านแรกยังเป็นฝ่ายบุกโจมตีอยู่ตลอด ไม่มีท่าทีท้อถอยเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เมื่ออัสนีด่านสุดท้ายมาถึง แม้ว่าชิงหว่านจะดูมีท่าทีเหนื่อยล้า ทว่ากำลังใจไม่ถดถอย
ซูอี้สังเกตดูสักครู่ จึงกล่าวกำชับ “หยวนเหิง เจ้าจงไปเก็บอาวุธที่ได้จากการสู้รบมา”
หยวนเหิงรีบพยักหน้ารับแล้วออกไปทำตามคำสั่ง
จากนั้น ซูอี้ก็เบนสายตามองไปที่หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาอีกครั้ง พลางกล่าวคำออก “ภัยพิบัติครั้งนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ขอเชิญท่านทั้งสองหลบไปก่อน”
ชิงหยานิ่งตะลึง ไม่รอให้นางได้ทำความเข้าใจ ก็ถูกหลิงอวิ๋นเหอพาออกไป
ครืน!
กลางอากาศ เส้นสายอัสนีส่องประกายสว่างราวกับสายรุ้งเทพอันน่าตื่นตะลึง ผ่ากลางท้องฟ้า ซัดใส่ตัวชิงหว่าน ชั่วครู่เดียวร่างแบบบางของนางก็จมอยู่ท่ามกลางภัยพิบัติ
เมื่อดูอย่างละเอียด ทั่วทั้งร่างของนางก็ถูกแสงอัสนีสว่างเจิดจ้าห้อมล้อม ทุกอณูผิวประดุจไม้ไผ่แตกระเบิด ร่างทั้งร่างแลดูเลือนรางขึ้นมา ประเดี๋ยวปรากฏให้เห็น ประเดี๋ยวก็เลือนหายไป
ซูอี้เลิกคิ้ว
โดยทั่วไปแล้ว ภัยพิบัติของวิญญาณผี ถึงแม้ด่านสุดท้ายนี้จะมีอานุภาพการทำลายล้างอันแข็งแกร่ง ทว่าก็มีโอกาสรอดสายหนึ่งไว้ด้วย
ขอเพียงต้านทานอยู่ก็สามารถยืมโอกาสรอดของภัยพิบัติมา ‘สร้างเสริมร่างวิญญาณ’ กลายเป็นร่างกายที่ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผู้ฝึกตน
ทว่าเวลานี้ ภัยพิบัติด่านสุดท้ายของชิงหว่านกลับน่ากลัวเกินกว่าที่คาดหมายไว้
อีกทั้งในภัยพิบัติด่านสุดท้ายนี้กลับไม่มีโอกาสรอดอันใดอีกด้วย สิ่งที่เติมเต็มอยู่ในนั้นกลับเป็นกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง!
ไม่ปกติเสียแล้ว!
เพราะอย่างไรเสีย หากภัยพิบัติไม่เว้นหนทางรอดไว้ แล้วจะเอาสิ่งใดมา ‘สร้างเสริมร่างวิญญาณ’?
สีหน้าของซูอี้เคร่งเครียดขึ้นมา ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย!
ภัยพิบัติด่านสุดท้ายนี้มีกลิ่นอายแห่งความแปลกประหลาดแฝงอยู่ ราวกับต้องการจะทำลายชิงหว่านให้สูญสลาย ไม่ให้นางได้มีโอกาสรอดชีวิต
เหตุการณ์นี้ทำให้ซูอี้นึกถึงคราของตนเองเมื่อตอนอยู่บนทะเลวิญญาณโกลาหล ที่มีความน่ากลัวอย่างที่สุดและพบเจอได้ยากเช่นกัน!
ตอนนั้น อาศัยพลังของดาบเก้าคุมขังจึงทำให้เขาสามารถสลายภัยพิบัติเช่นนั้นมาได้อย่างง่ายดาย และสร้างเมล็ดพันธุ์วิถีอันแข็งแกร่งขึ้นมาได้
ทว่าตอนนี้…
ภัยพิบัติที่ชิงหว่านเจอในด่านนี้ ถึงแม้จะน่ากลัวไม่เท่ากับที่ตนเองเจอในตอนนั้น ทว่าก็ยังแฝงไว้ซึ่งสีสันอันผิดประหลาดในแบบเดียวกัน
เป็นเพราะเหตุใดกัน?
เป็นเพราะตัวของชิงหว่านเอง หรือว่าเป็นเพราะนางได้รับผลกระทบจากดวงชะตาในร่างของข้า จึงเป็นเหตุให้เจอกับพิบัติใหญ่เช่นนี้?
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เห็นว่าร่างบอบบางของชิงหว่านกำลังจะแตกสลายไปท่ามกลางพิบัติแสง ซูอี้ก็ไม่รอช้า เตรียมตัวขับเคลื่อนพลังของดาบเก้าคุมขังเพื่อไปช่วยชิงหว่าน
ทว่าขณะนี้เอง…
ในร่างของชิงหว่านปรากฏภาพทิวทัศน์ภูเขาลำธารอันประหลาดขึ้น ภูเขาลำธารแขวนอยู่ใต้ท้องฟ้า ปกคลุมอยู่บนเหวลึก!
เมื่อดูให้ละเอียด ภาพ ๆ นี้คล้ายกับดวงตาราบเรียบอันประหลาดดวงหนึ่ง ภูเขาลำธารที่แขวนอยู่นั้นก็คือนัยน์ตา ลึกเข้าไปในลูกนัยน์ตาคือเหวลึก
“เป็นภาพที่สลักอยู่บนหยกวิญญาณชิ้นนั้น!”
ซูอี้หรี่ตา
ครืน!
ทันใด อัสนีอันยิ่งใหญ่ที่ห้อมล้อมรอบกายชิงหว่านก็ระเบิด แตกย่อยจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกภาพที่คล้ายดวงตาประหลาดนั้นเขมือบกลืนไปจนหมด
หลังจากนั้น ภายใต้สายตาตื่นตกใจของซูอี้ ‘ดวงตาประหลาด’ นั้นก็เหลือบมองไปยังส่วนลึกของภัยพิบัติบนท้องฟ้า ชั่วพริบตานั้นเอง ท่ามกลางภัยพิบัติซึ่งเคลื่อนตัว ทันใดเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น
ครู่ถัดมา ภัยพิบัติสายฟ้าก็สาดเทลงมาราวกับน้ำตก ไหลร่วงเข้าสู่ภาพ ‘ดวงตาประหลาด’ ขั้นตอนนี้ดำเนินต่อไปนานเป็นเวลาประมาณสิบลมหายใจ
หลังจากที่ ‘ดวงตาประหลาด’ นั้นรับเอาสายฟ้ามาเป็นจำนวนมากแล้วก็สว่างเจิดจ้าประดุจดวงตะวัน หลอมละลายเข้าสู่ร่างที่ใกล้จะสูญสลายของชิงหว่านทีละน้อย
ร่างบอบบางของชิงหว่านพลันปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมา!
แสงสว่างพุ่งทะลุถึงชั้นเมฆ ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า น่าประหวั่นพรั่นพรึง
“น่าสนใจ…” ดวงตาของซูอี้ผุดประกายประหลาดขึ้น เขามองอะไรบางอย่างออกและเข้าใจได้ในบางเรื่อง พอพลิกฝ่ามือ หยกวิญญาณอันลึกลับก็ปรากฏขึ้น
หน้าหลักของหยกวิญญาณแกะสลักภาพซึ่งเหมือนกัน ‘ดวงตาประหลาด’
ทว่าอีกหน้าหนึ่งกลับเป็นประกาศิตอันบิดเบือนซับซ้อน
ตอนที่ได้รับหยกวิญญาณชิ้นนี้มา ซูอี้ก็มองออกแล้วว่าหยกวิญญาณหลอมสร้างขึ้นจาก ‘กระดูกแก่นแท้มหาวิญญาณ’ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน ในสายตาของผู้ฝึกผี สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เพียงพอที่จะถือได้ว่าเป็นสมบัติแห่งเทพเซียน
ทว่าการสลักภาพลวดลายและประกาศิตนี้ ต้องเป็นฝีมือของตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิอย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้เอง ซูอี้จึงสามารถสันนิษฐานได้ว่าที่มาของชิงหว่านไม่ปกติธรรมดา
ทว่า เป็นเพราะพลังในหยกวิญญาณหายสาบสูญไปนานแล้ว ทำให้ซูอี้ไม่อาจคาดเดาเบาะแสอื่น ๆ ได้อีก
แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นชิงหว่านต้านทานพิบัติอันเหลือเชื่อทั้งหมดด้วยตนเองแล้ว จึงทำให้ซูอี้ตัดสินได้ในทันใด
พลังในหยกวิญญาณลึกลับไม่ได้หายสาบสูญไป แต่กลายเป็นพลังหลอมจารึก หลอมรวมเข้าไปในร่างของชิงหว่าน กลายเป็นศักยภาพส่วนหนึ่งในตัวนาง!
เพราะเหตุนี้ เมื่อสักครู่ตอนที่ชิงหว่านประสบพบเจออันตรายถึงแก่ชีวิตขณะที่ต้านทานพิบัติ ร่างของนางจึงปรากฏภาพ ‘ดวงตาประหลาด’ ขึ้นและเขมือบกลืนภัยพิบัติรอบทิศทาง ในขณะที่ปัดเป่าอันตรายให้นาง ขณะเดียวกันก็ยังช่วยแย่งชิงโอกาสรอดอันยิ่งใหญ่ซึ่งมาจากส่วนลึกของภัยพิบัติ!
ครืน!!
ขณะที่ครุ่นคิด ซูอี้จึงพบว่า ร่างของชิงหว่านที่ถูกแสงอัสนีเดือดพล่านโอบล้อมนั้นกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกแผ่นฟ้าเปลี่ยนแผ่นดิน
ราวกับหนทางการทำลายดักแด้ก่อนที่จะกลายเป็นผีเสื้อ และคล้ายกับพญาหงส์ที่ผจญทะเลเพลิง
เมื่อภัยพิบัติหายไป ปรากฏร่างบอบบางยืนสงบนิ่งอยู่กลางอากาศ มีประกายแสงประดุจความฝันโอบล้อมอยู่รอบตัว
ชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัวของนางถูกทำลายไประหว่างต้านทานพิบัติ
นางในเวลานี้ สองตาหลับสนิท แขนเนียนขาวประดุจหิมะทั้งสองข้างปิดหน้าอก นิ้วมือเรียวงามกดหัวไหล่ ทั่วเรือนร่างไร้สิ่งปกปิด…
ซูอี้มองไปจากมุมนี้ เห็นสาวน้อยงดงามประดุจนางฟ้านางสวรรค์ ผมสลวยเงางามประดุจแพรไหมยาวย้อยถึงเอว ขายาวขาวเนียนทั้งสองข้างเป็นประกายมันเงาประดุจงาช้าง
เนื่องด้วยหันหลังให้ซูอี้ เขาจึงไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าของหญิงสาว
ทว่าลำพังเพียงแค่ส่วนหลัง อาการตื่นตะลึงก็ยังคงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูอี้อยู่ดี
สาวน้อยงดงามดุจความฝัน สวยดั่งนางฟ้า!
ถึงแม้เรือนร่างอันงดงามของสาวน้อยจะถูกปกคลุมด้วยแสง ทว่าไหนเลยจะสามารถปิดบังจิตสัมผัสของซูอี้ได้?
“ไม่นึกเลยว่า นางจะร่ำรวยทุนทรัพย์ด้านรูปโฉมถึงเพียงนี้…”
ซูอี้แอบคิดในใจ
เขาเบนสายตาจากไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก ทว่าภาพที่เห็นนั้นทำให้ผู้ชายที่เห็นความงดงามมานักต่อนักอย่างเขายังต้องยอมรับว่า รูปร่างของชิงหว่าน… สุดยอด!
เวลานี้ ขนตางอนงามดุจพัดของชิงหว่านก็สั่นเครือ เบิกดวงตางดงามลุ่มลึก กวาดสายตามองดูรอบด้านก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงส่งเสียงร้อง ‘ว้าย’ ออกมา
นางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดปกปิดร่างกาย จึงรีบหลบซ่อนตัวขึ้นมาในทันใด
และในเวลานี้เอง ซูอี้ก็ปรากฏตัว ใช้ชุดคลุมช่วยคลุมร่างให้สาวน้อย พลางกล่าว “วันข้างหน้าหากต้องต้านทานภัยพิบัติอีก อย่าลืมเตรียมชุดมาด้วย”
ใบหน้างดงามประดุจภาพวาดของชิงหว่านแดงก่ำ มือทั้งสองจับชุดคลุมจนแน่น จากนั้นส่งเสียงอุบอิบ “หว่านเอ๋อร์จำขึ้นใจแล้ว”
ซูอี้สังเกตเห็นว่าสาวน้อยก้มหน้าต่ำ ใบหูและคอระหงซึ่งขาวเนียนประดุจหิมะเกิดเป็นสีแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่ากำลังเขินอาย
เขาจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ตอนที่ต้านภัยพิบัติก่อนหน้านี้ ท่าทีของชิงหว่านดูแข็งแกร่งและอาจหาญมากเปรียบได้กับจักรพรรดินีอหังการก้มมองดูสรรพชีวิต
ทว่าตอนนี้ กลับคล้ายนกกระจอกเทศตัวน้อยที่อยากจะซุกหัวเข้าซอกอกของตัวเอง
“นายท่าน… เมื่อสักครู่… เมื่อสักครู่ไม่มีใครเห็นใช่หรือไม่?”
เสียงอ่อนโยนของชิงหว่านบางเบาประดุจเสียงยุง
“นอกจากข้าแล้ว ไม่มีใครมองเห็นอีก”
ซูอี้ตอบ
“หืม… หา? นาย… นายท่าน… มองเห็น?”
ร่างสูงโปร่งของชิงหว่านสั่นระริก ก้มหน้าต่ำ ปลายเท้าทั้งสองข้างเบนเข้าหากัน ราวกับอยากจะหาที่ซุกหน้า
“แน่นอน”
ซูอี้ตอบตรงไปตรงมา และยังกล่าวอย่างมั่นใจว่า “หากไม่ใช่เพราะข้าคาดการณ์ว่าจะเกิดภาพเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จะสั่งให้คนอื่นออกไปทันเวลาได้เช่นใด? ทั้งยังเตรียมเสื้อผ้าให้เจ้าอีกด้วย?”
ชิงหว่าน “…”
สาวน้อยอาจหน้าแดงเป็นลูกท้อ นางจึงรู้แล้วว่าซูอี้คาดไว้ก่อนแล้วว่าเมื่อนางผ่านภัยพิบัติสำเร็จ อาจจะไม่มีเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย…
ซูอี้ไม่อาจเชื่อมโยงชิงหว่านผู้ที่อยู่ในอาการเขินอายเหมือนกวางน้อยกับชิงหว่านผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นพิบัติได้สำเร็จเข้าไว้รวมกัน เพราะทั้งสองแตกต่างกันเสียเหลือเกิน
ทว่าความแตกต่างเช่นนี้ก็ไม่เลวเลยเช่นกัน ใครกันจะรู้ว่า เวลาที่สาวน้อยผู้เขินอายได้ลงมือ จะมีความอหังการถึงเพียงใด?
“รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ข้ามีคำถามจะถามเจ้า”
ซูอี้พูดจบก็ก้าวเดิน ย้อนกลับขึ้นสู่ยอดเขา
ไม่นานนัก ชิงหว่านในชุดคลุมยาวสีเขียวแขนเสื้อกว้างก็มาอยู่ตรงหน้าซูอี้
นี่คือชุดของซูอี้ ชิงหว่านสวมใส่แล้ว จึงแลดูหลวมโคร่ง ทว่ากลับทำให้สาวน้อยแลดูน่ารักและสวยขึ้น
“ขอบคุณนายท่านที่ช่วยปกป้องหว่านเอ๋อร์ ทำให้หว่านเอ๋อร์ผ่านพ้นภัยพิบัติในครั้งนี้และเข้าสู่มหาวิถี!”
ชิงหว่านน้อมกราบคารวะอย่างอ่อนน้อม บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ข้าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก”
ซูอี้โบกมือ “ลุกขึ้นเถิด ข้าอยากจะถามเจ้าสักหน่อย ตอนนี้พอจะจำเรื่องราวอะไรได้บ้าง?”
ชิงหว่านพยายามนึกย้อนอยู่นานจึงตอบ “ในจิตวิญญาณของข้า มีภาพเลือนรางบางอย่างเพิ่มขึ้นมา แต่เมื่อลองสัมผัสอย่างละเอียด กลับไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้…”
ซูอี้คิดสักครู่จึงกล่าว “นี่เป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็แสดงว่าความทรงจำในอดีตของเจ้าเริ่มฟื้นฟูตามความก้าวหน้าของระดับการฝึกตนของเจ้า”
ชิงหว่านกล่าวเบา ๆ “นายท่าน หว่านเอ๋อร์ไม่รู้สึกสนใจความทรงจำในอดีตมากนัก ขอเพียงได้อยู่ข้างกายนายท่าน… หว่านเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”
ชิงหว่านกล่าวเช่นนี้หลายครั้งแล้ว
ทว่าเมื่อได้ยินอีกครั้ง ซูอี้ยังคงรู้สึกดีใจมาก หัวเราะขึ้นมา
จากนั้นเขาจึงถาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าในร่างของเจ้ามีพลังอื่นแฝงไว้?”
พูดจบ เขาก็หยิบหยกวิญญาณลึกลับชิ้นนั้นออกมา ก่อนจะกล่าว “พลังที่ว่านั่นคงจะมาจากหยกวิญญาณชิ้นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าเจอภัยพิบัติ…”
ซูอี้บอกการค้นพบและข้อสันนิษฐานของตัวเองให้ชิงหว่านรับรู้อย่างละเอียด พยายามจะเรียกคืนความทรงจำบางส่วนของชิงหว่านกลับมาด้วยวิธีนี้
ทว่าเมื่อฟังแล้ว ชิงหว่านกลับมีท่าทางงุนงงไม่เข้าใจ ไม่มีปฏิกิริยาอันใดแม้แต่น้อย
เห็นเช่นนี้แล้ว ซูอี้จึงได้แต่ปล่อยผ่านไป
เวลานี้ ชิงหว่านลังเลขึ้นมา เม้มริมฝีปากอิ่มเอิบ กล่าวขึ้นมาเบา ๆ “นายท่าน ก่อนหน้าที่จะเจอภัยพิบัติ หว่านเอ๋อร์เคยบอกไว้ว่าหากผ่านภัยพิบัติได้สำเร็จ จะ… จะนับถือนายท่านเป็นคุณชาย… ท่าน… รับปากหรือไม่?”
คำกล่าวนี้ถูกเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ติด ๆ ขัด ๆ ทั้งกลัวทั้งคาดหวัง ราวกับเกรงว่าซูอี้จะปฏิเสธ
หากว่าให้ผู้ชายคนอื่นมาเห็น คงจะต้องอิจฉาจนตาร้อนเป็นแน่
เพราะอย่างไรเสีย นางก็เป็นสาวน้อยสวยสุดยอดนางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม กิริยา หรือท่าทางสามารถกล่าวได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร งดงามสุดยอด
ในยามปกติ ล้วนเป็นที่หมายปองของผู้ชาย
ใครเลยจะคาดคิดว่า สาวน้อยผู้งดงามถึงเพียงนี้จะเป็นฝ่ายสมัครตัวขอเป็นผู้ติดตาม? อีกทั้งยังกลัวว่าจะถูกปฏิเสธอีกด้วย…
แม้กระทั่งตัวของซูอี้เองก็ยังอึ้งตะลึง ถึงกับหัวเราะพลางกล่าว “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ เพียงแค่สรรพนามเรียกแทนชื่อเท่านั้น เจ้าอยากจะเรียกอย่างไรก็ตามใจ”
ชิงหว่านดีใจขึ้นมา ดวงตางดงามเป็นประกาย กล่าวด้วยความปีติยินดี “ถ้าเช่นนั้น… วันข้างหน้านายท่านก็คือคุณชายของหว่านเอ๋อร์!”
ซูอี้คิดสักครู่ จึงกล่าว “อย่าดีใจเร็วจนเกินไปนัก วันข้างหน้าจะทำการอันใด ต้องฟังคำสั่งของข้า จะอ้างชื่อข้าเพื่อทำการอย่างอื่นไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”
ชิงหว่านพยักหน้าเต็มที่ “คุณชายโปรดวางใจ หว่านเอ๋อร์เข้าใจ”
ซูอี้กล่าวอีก “ถึงแม้เจ้าจะมองว่าข้าเป็นนาย แต่ข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นบ่าวเลย เพราะอย่างไรเสีย วันข้างหน้าเมื่อก้าวสู่หนทางแห่งวิถีวิญญาณแล้ว เจ้ากับข้ายังจะต้องฝึกคู่ ร่วมมหาวิถีด้วยกัน หากมองเจ้าเป็นบ่าว ก็จะไม่ยุติธรรมต่อเจ้า”
พอพูดถึงฝึกคู่ ร่างบอบบางของชิงหว่านก็สั่นสะท้านเล็กน้อย หน้าแดงระเรื่อ เขินอายยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่า นางยังไม่คุ้นเคยนักที่ซูอี้พูดถึงเรื่องน่าอายเช่นนี้ต่อหน้าตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ
เวลานี้ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ร่างของหยวนเหิงปรากฏขึ้นจากไกล ๆ
“นายท่าน อาวุธถูกเก็บมาหมดแล้วขอรับ”
หยวนเหิงประสานมือคารวะต่อซูอี้พลางกล่าวรายงานก่อน จากนั้นจึงแสดงความเคารพต่อชิงหว่าน พร้อมกับกล่าวแสดงความยินดี “ขอแสดงความยินดีต่อแม่นางชิงหว่าน นับแต่นี้ไปไม่ต้องอยู่ในร่างที่ล่องลอย ได้ก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด!”
ชิงหว่านนิ่งตะลึงไปชั่วครู่จึงรีบตอบ “ขอบ… ขอบคุณมาก”
อย่างรวดเร็ว คู่ศิษย์อาจารย์หลิงอวิ๋นเหอกับชิงหยาก็กลับมาด้วยเช่นกัน ต่างก็พูดแสดงความยินดีต่อชิงหว่าน
ชิงหว่านทำอะไรไม่ถูก ได้แต่คารวะตอบกลับอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ
เรื่องคบค้าสมาคมกับคนอื่น ๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่ถนัดที่จะพูดคุยกับคนอื่น ๆ นอกจากซูอี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องของนิสัย
“เจ้ากลับสู่น้ำเต้าปลุกวิญญาณก่อนเถิด”
ซูอี้ได้แต่ส่ายหน้า
“เจ้าค่ะ!”
ชิงหว่านรู้สึกโล่งใจ แปลงร่างกลายเป็นแสงเข้าไปในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ
ถึงแม้ตอนนี้สาวน้อยจะมีร่างแท้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างวิญญาณแล้ว แต่ก็ยังเป็นร่างที่มีความแตกต่างไปจากร่างแห่งเลือดเนื้อ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถซ่อนตัวอยู่ในน้ำเต้าปลุกวิญญาณได้เช่นเดิม
ชิงหยากล่าวขึ้นมาด้วยความอิจฉา “ข้าก็อยากจะมีพี่สาวผู้ฝึกผีหน้าตาสวยเช่นนี้อยู่ข้างกาย เวลาที่รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาสามารถพูดคุยกับข้าได้ เวลาที่มีเรื่องดีใจสามารถดื่มสุราด้วยได้”
หลิงอวิ๋นเหอพูดไม่ออก
ซูอี้แอบถอนใจ ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ชิงหยาคนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมคล้ายคลึงชิงถังเมื่อยังเป็นสาวน้อยเท่านั้น แม้กระทั่งกิริยาท่าทางก็ยังเหมือนกัน
หลิงอวิ๋นเหอประสานมือคารวะต่อซูอี้พลางกล่าว “สหายเต๋า พวกเราศิษย์อาจารย์ตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย ไม่ทราบว่าสหายเต๋ายินดีจะเดินทางพร้อมกับพวกเราหรือไม่?”
ซูอี้กำลังจะตอบ พลันสัมผัสรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเบนสายตามองไปไกล ๆ
แทบจะขณะเดียวกัน เสียงประหลาดดังระทึกราวกับคลื่นลูกยักษ์ก็ดังขึ้นมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ห่างไกลออกไป